Share

14. อาการป่วย

last update Huling Na-update: 2025-06-25 22:17:41

“พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ

“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน

“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย

“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา

“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด

“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่าตนเองคงเหนื่อยล้าเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงได้เอ่ยเช่นนั้นกับมารดาไป

“อย่างไรเจ้าให้ท่านหมอตรวจดูก่อนเถิด แม่เป็นห่วง”

“ขอรับท่านแม่” ลี่อินจำใจพยักหน้ารับ ทั้งที่ในใจเขามิอยากให้ท่านพ่อ ท่านแม่เสียเงินทองค่าจ้างท่านหมอ

“คุณชาย ช่วงนี้ท่านมีอาการหนาวสั่นบ้างหรือไม่”

“ขอรับ ข้ารู้สึกหนาวสั่นในตอนกลางคืน แต่ก็เป็นปกติมิใช่หรือ เพราะช่วงนี้เริ่มเข้าเหมันตฤดูแล้ว”

“เป็นปกติ หากท่านมิได้มีอาการใบหน้าซีด มือเท้าเย็น ลิ้นซีดมีฝ้าขาว และชีพจรบกพร่องร่วมด้วย แต่อาการพวกนี้เกิดกับท่านทั้งหมด แล้วท่านมีอาการถ่ายหนักเหลวบ้างหรือไม่” ท่านหมอเอ่ยอธิบายอาการที่ลี่อินเป็นอยู่ตอนนี้อย่างละเอียด

“ขะ ขอรับ” ลี่อินเขินอายไม่น้อยที่ต้องตอบคำถามเช่นนี้ แม้ในห้องจะมีเพียงบิดา มารดา และพี่น้องทั้งสามของเขา แต่คำถามเช่นนี้มันออกจะน่าอายไปเสียหน่อย

“เช่นนั้นสิ่งที่คุณชายเป็นอยู่ตอนนี้คงเป็นภาวะหยางพร่อง”

“แล้วอันตรายหรือไม่เจ้าคะ” ซูเมิ่งร้อนรนถามออกไป

“หากได้รับการรักษาและดูแลร่างกายอยู่เสมอก็มิได้ถึงแก่ชีวิต”

“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านหมอแล้วขอรับ” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยกับท่านหมออย่างนอบน้อม

“เอ่อ แท้จริงแล้วมีวิธีรักษาอยู่สองวิธี วิธีแรกคือทานยาบำรุงและดูแลร่างกาย แต่วิธีนี้จะเห็นผลช้ามาก หากผู้ป่วยมีอาการหนักอาจทำให้การรักษาเช่นนี้มิทันการ” คำพูดของท่านหมอทำให้ครอบครัวสกุลลู่ถึงกับใจเสีย

“แล้วอีกวิธีเล่าขอรับ” เฉินกงจ้องมองไปที่ท่านหมออย่างคาดหวัง

“อีกวิธีได้ผลดีชะงัก แต่ทว่าสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงโอสถรักษานั้นหายากมาก จึงมีราคาสูงถึงจินละห้าตำลึงทอง” ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะเอ่ยจนจบประโยค ลี่อินก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นมา

“รักษาวิธีแรกเถิดขอรับท่านหมอ” เขามิอยากให้ครอบครัวต้องเสียเงินทองไปกับยาสมุนไพรที่ว่า อีกอย่างเขาอาจจะมิได้มีอาการหนักถึงขนาดรักษาด้วยวิธีแรกไม่หาย

“ไม่!!!” สามพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ชีวิตของคนในครอบครัวต้องมาก่อน จะเสียเงินทองมากเท่าใด หากรักษาชีวิตคนในครอบครัวไว้ได้ก็ถือว่าคุ้มค่า

“ใช้สมุนไพรที่ว่าเถิดเจ้าค่ะ ท่านหมอ…จะต้องเสียกี่ตำลึงทอง พวกข้าก็มีจ่าย ขอเพียงให้พี่สามหายขาดก็เพียงพอ” ลู่หวังเหล่ย ซูเมิ่ง เฉิงกง และหมิงยู่เองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เยว่ชิงพูด

“แต่ว่า…” ลี่อินพยายามเอ่ยค้านขึ้นมา

“พ่อเองก็คิดเห็นตามที่น้องของเจ้าว่า เงินทองที่หามาได้หากมินำมาใช้จะนำไปทำสิ่งใดเล่า ชีวิตของคนในครอบครัวเราย่อมสำคัญที่สุด”

“ใช่แล้วน้องสาม ขอให้เจ้าหายดีเท่านั้นก็เพียงพอ เงินทองจะหาเพิ่มเมื่อใดก็ได้” หมิงยู่ยกยิ้มให้กับน้องชายอย่างอ่อนโยน เขาเข้าใจดีว่าน้องสามคงจะมิอยากให้ครอบครัวเสียเงินทองที่เก็บออมมาได้

“…” ลี่อินก้มหน้าคิดหนัก

“พี่สามรักษาตัวให้หายเถิด เพราะค่าจ้างคนบรรเลงดนตรีในร้านคงจะราคาสูงไม่น้อย หากท่านไม่รีบหาย ร้านของเราอาจจะล่มจม เพราะจ้างคนบรรเลงดนตรีก็เป็นได้” เยว่ชิงส่งยิ้มขำให้กับพี่ชาย นางตั้งใจเอ่ยเรื่องเกินจริงหวังให้พี่ชายรู้สึกขบขันไปด้วย

“คิกๆ หากค่าจ้างแพงถึงเพียงนั้น พี่คงต้องรีบหายแล้วกระมัง” ลี่อินหัวเราะให้กับคำพูดเกินจริงของน้องสาว เขาเข้าใจความปรารถนาดีของทุกคน โชคดีเหลือเกินที่เขาได้เกิดมาในสกุลลู่

“ดีแล้วลูก รักษาตัวเองให้หายดีก่อน…รบกวนท่านหมอด้วยนะเจ้าคะ” ซูเมิ่งหันไปเอ่ยกับท่านหมอ

“มิต้องกังวลไป ข้าจะรีบไปเตรียมสมุนไพรมาทำโอสถให้ โอสถที่ว่าจะต้องให้คุณชายดื่มเป็นประจำทุกเช้า หากว่าอาการเริ่มดีขึ้น ข้าจะปรับให้คุณชายดื่มเพียงเจ็ดวันครั้ง และหากอาการคงที่ คุณชายก็จะได้ดื่มโอสถเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ฉะนั้นแล้วหากคุณชายกังวลเรื่องเงินที่ซื้อโอสถ ท่านจะต้องดูแลตนเองและรักษาอาการให้คงที่” หลังจากท่านหมอเอ่ยอธิบายวิธีการดูแลตนเองให้กับลี่อินและทุกคนฟังแล้ว จึงขอตัวกลับไปเตรียมสมุนไพรเพื่อทำโอสถทันที

.

.

.

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านหมอ” เยว่ชิงเอ่ยถามท่านหมอที่มาตรวจ อาการพี่สาม หลายเดือนที่ผ่านมาพี่สามได้ดื่มโอสถที่ท่านหมอปรุงให้หมดไปหลายขวด ซึ่งที่ผ่านมาอาการของพี่สามก็ดีขึ้นตามลำดับ

“อาการของคุณชายเริ่มดีขึ้นแล้ว ต่อไปข้าจะลดโอสถ ให้คุณชายดื่มโอสถเพียงเจ็ดวันครั้งเท่านั้น ทั้งคุณชายมิได้มีอาการอื่นมาแทรกซ้อน ถือว่าคุณชายดูแลตนเองได้ดีทีเดียว”

“เช่นนั้นข้าจออกไปทำงานได้หรือไม่ขอรับ” ลี่อินคิดถึงการบรรเลงกู่เจิงเหลือเกิน แม้เขาจะได้บรรเลงกู่เจิงอยู่ในเรือนตลอด แต่ทว่าเขากลับคิดถึงเสียงชื่นชมจากลูกค้าในร้านมากกว่า

“ไปได้ แต่อย่าได้หักโหมจนเกินไป มิเช่นนั้นค่ายาที่จ่ายไปจะสูญเปล่า หลังจากนี้หากว่าอาการคงที่แล้วคุณชายย่อมออกไปทำงานได้ตามเดิม”

“ขอบพระคุณท่านหมอขอรับ” ครอบครัวสกุลลู่เอ่ยขอบคุณท่านหมอจากนั้นลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งจึงเดินออกไปส่งท่านหมอที่หน้าเรือน อาการลี่อินดีขึ้นเช่นนี้ ครอบครัวสกุลลู่จึงเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้บ้าง ในมื้ออาหารจึงกลับมามีเสียงหัวเราะขบขันดังเก่าก่อน

เวลาล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย (21:00-22:59 น.) แล้ว แต่ทว่าเยว่ชิงกลับยังมิอาจข่มตาหลับลงได้ นางย้อนนึกถึงเรื่องราวในนิยายเรื่องชะตาร้ายขึ้นมาอีกครั้ง ยามที่ลู่เยว่ชิงเจ็ดหนาวพี่สามล้มป่วย เรื่องราวตอนนี้ตรงกับที่นิยายได้บอกไว้ ฉะนั้นแล้ว เมื่อลู่เยว่ชิงอายุได้สิบหนาวพี่ใหญ่จะถูกทางการเกณฑ์ไปทำสงครามและกลับมาเมื่อลู่เยว่ชิงอายุสิบสองหนาว ในตอนนั้นพี่ใหญ่ก็พิการขาไปเสียแล้ว

“มีเวลาอีกสองหนาว ก่อนที่พี่ใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร” เยว่ชิงพึมพำออกมาแผ่วเบา นางย้อนนึกถึงตอนที่นางอ่านเรื่องราวหลังจากพี่ใหญ่พิการขา

เฉินกงกลับมาจากสงครามพร้อมร่างกายและดวงใจที่บอบช้ำ ยามเห็นสายตาที่ครอบครัวมองมาทางเขาอย่างโศกเศร้า เขายิ่งนึกต่ำใจในโชคชะตา หากฟ้าจะลิขิตให้เขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างคนไร้ค่าเช่นนี้ สู้ให้เขาตายจากไปอย่างสมเกียรติ ดีกว่าให้เขามีชีวิตอยู่เป็นภาระของครอบครัว ทั้งบิดา มารดา น้องชายและน้องสาวต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินทองมาใช้จ่าย แต่เขากลับทำสิ่งใดไม่ได้ วันๆ กิน นอน เป็นภาระให้ผู้อื่นต้องมาดูแล

“พี่ใหญ่เรียกข้ากับน้องมา มีสิ่งใดหรือขอรับ”

“มิมีสิ่งใด พี่เพียงอยากฝากฝังพวกเจ้าให้ดูแลท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น หมิงยู่ เจ้าจงเติบใหญ่เป็นเสาหลักให้สกุลลู่ของเรา อย่าได้อ่อนแอ เยว่ชิง พี่ขอให้เจ้าเติบใหญ่มีชีวิตที่สดใส แม้วันหน้าจะแต่งออกไปแล้ว แต่อย่าได้ลืมสกุลเดิมของเราเล่า”

“แต่งออกอันใดกันเจ้าคะ น้องยังมิพ้นวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ” สามพี่น้องหัวเราะร่า เสียงดังลั่นจนบ่าวในเรือนยกยิ้มตาม แต่กลับมิมีผู้ใดรับรู้เลยว่านั่นจะเป็นเสียงหัวเราะสุดท้ายของเฉินกง…คุณชายใหญ่สกุลลู่

“ชีวิตนี้เยว่ชิงจะไม่ยอมให้พี่ใหญ่ต้องพบเจอสิ่งเลวร้ายเช่นนั้นเป็นแน่”

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   16. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (2)

    “คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   15. พี่ใหญ่ต้องไปแล้ว (1)

    “นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   14. อาการป่วย

    “พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   13. ช่วยเหลือ (2)

    “ท่านพ่อ เยว่ชิงว่าเรารับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานที่ร้านดีหรือไม่เจ้าคะ”“นั่นสิขอรับ ท่านพ่อจะปล่อยเขาไว้เช่นนี้หรือ” ลี่อินเอ่ยสำทับขึ้นมา เขาสงสารเผิงจง มีทั้งมารดาและน้องสาวให้เลี้ยงดู บิดาขของเขาก็หายตัวไป คงจะลำบากไม่น้อย“ท่านพี่…” ซูเมิ่งขยับเข้ามาลูบแขนของสามีเบาๆ นางเองก็สงสารเผิงจงไม่น้อย จึงอยากให้สามีรับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานในร้านซิ่งฟู่“เข้าใจแล้ว…เผิงจง เจ้าอยากมาทำงานที่ร้านนี้หรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเลือกที่จะถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อน“ขะ ขอรับนายท่าน เมตตาข้าน้อยและครอบครัวด้วยขอรับ” เผิงจงรีบตอบรับทันที ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาให้“เช่นนั้นก็พาพวกข้าไปรับมารดากับน้องสาวเจ้าไปที่สกุลลู่ก่อน แล้วข้าจะให้คนตามหมอมาดูอาการของมารดาเจ้า”“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน ฮูหยิน คุณชาย คุณหนู” เผิงจงรีบก้มเคารพทุกคนที่ช่วยเหลือเขาจากนั้นเผิงจงก็รีบนำเจ้านายคนใหม่ของตนไปพบมารดาและน้องสาวที่ท้ายตลาด เมื่อไปถึงเผิงจงก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาและน้องสาวฟัง ทั้งเผิงฮวาที่เป็นมารดาและเผิงจูเด็กหญิงตัวน้อย ต่างก็ซาบซึ้งต่อความเมตตาของสกุลลู่ หลังจากที่ทั้

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   12. ช่วยเหลือ (1)

    “หยุดนะ ทุบตีเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร อยากถูกจับส่งทางการหรือ” หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม เห็นผู้คนกำลังเดือดร้อน จะให้นิ่งเฉยคงมิใช่บุตรสกุลลู่แล้ว“พวกเจ้าไม่เกี่ยว หลีกไป เด็กคนนี้มันขโมยเงินข้า ข้าจะให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง” ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะแต่งกายดูดี แต่กลับมีสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเด็กหนุ่มที่ดูมีแววตาที่แน่วแน่และซื่อตรง“ข้ามิได้ขโมย เงินนี่เป็นค่าแรงที่ข้ามาช่วยท่านขนของเข้าร้าน แต่พอข้าทำงานเสร็จ ท่านกลับมิยอมให้ข้า” เด็กหนุ่มเถียงคอเป็นเอ็น น้ำสีใสร่วงหล่นออกมาจากตาเป็นสาย เยว่ชิงเห็นท่าทีมิยอมอ่อนของชายผู้นั้นนางจึงได้รีบตัดปัญหา“เพียงแค่คืนเงินให้ ท่านก็จะไม่ทำร้ายเขาใช่หรือไม่”“ใช่”“นี่ ข้าไม่คืนนะ! เงินนี้สำคัญกับข้ามาก” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาเสียงแข็ง“เท่าใด เงินที่เจ้าถืออยู่นั้นมีเท่าใด” เยว่ชิงเอ่ยถาม“ห้าสิบอีแปะ”“เช่นนั้นเงินห้าสิบอีแปะนี่ข้าจะคืนให้ท่าน แต่…ข้าขอตีท่านคืนได้หรือไม่ ท่านจะได้รับรู้ว่าผู้ที่ถูกตีเขาเจ็บเพียงใด” เยว่ชิงยื่นเงินห้าสิบอีแปะให้ชายผู้นั้น ซึ่งเขาก็รับไปอย่างรวดเร็ว“หากเป็นเจ้าที่ตี ข้าจะให้เจ้าตีข้าสักสิ

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   11. ร้านซิ่งฟู่

    “แฮ่กๆ แฮ” เสียงหอบหายใจของเยว่ชิงดังขึ้นหลังจากที่นางใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการฝึกดาบไม้ที่พี่ชายซื้อให้ เด็กน้อยวัยห้าหนาวย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องซื้อดาบทีไร นางก็เจ็บใจทุกครั้ง แม้จะผ่านมาหนึ่งหนาวแล้วก็ตาม เพราะบรรดาพี่ชายทั้งสามคนต่างค้านหัวชนฝา มิยอมให้นางซื้อดาบของจริง ทั้งยังขู่ว่าหากมิเอาดาบไม้ก็จะมิยอมซื้อสิ่งใดให้เลย เยว่ชิงจึงจำใจเลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงทนทาน และเลือกซื้อตำราฝึกซ้อมดาบมาอีกหนึ่งเล่ม เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยว่านางเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มาจากที่ใด“มูมู่ ตาเจ้าแล้ว” เยว่ชิงตะโกนเรียกมูมู่พร้อมกับโยนลูกหนังลูกเล็กออกไป มูมู่จึงรีบวิ่งไปกระโดดงับลูกหนังได้ในทันที ยิ่งวันเวลาผ่านไปมูมู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสือหนุ่มที่มีอายุสองหนาวย่างเข้าสามหนาว“ดีมาก รอบนี้มูมู่ทำได้เร็วกว่าคราก่อน เด็กดีๆ” เยว่ชิงกับมูมู่มักจะมาเล่นด้วยกันเช่นนี้เสมอ หลังจากที่เยว่ชิงฝึกดาบเสร็จหนึ่งรอบมูมู่ก็จะได้ฝึกวิ่งฝึกกระโดดด้วยเช่นกัน ทั้งเยว่ชิงยังเคยใช้มูมู่เป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกดาบอีกด้วย แม้มูมู่จะทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบไปมาก็เถอะนะ“คุณหนูเจ้าคะ จะได้เวลามื้อเช้

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status