“ท่านพ่อ เยว่ชิงว่าเรารับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานที่ร้านดีหรือไม่เจ้าคะ”
“นั่นสิขอรับ ท่านพ่อจะปล่อยเขาไว้เช่นนี้หรือ” ลี่อินเอ่ยสำทับขึ้นมา เขาสงสารเผิงจง มีทั้งมารดาและน้องสาวให้เลี้ยงดู บิดาขของเขาก็หายตัวไป คงจะลำบากไม่น้อย
“ท่านพี่…” ซูเมิ่งขยับเข้ามาลูบแขนของสามีเบาๆ นางเองก็สงสารเผิงจงไม่น้อย จึงอยากให้สามีรับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานในร้านซิ่งฟู่
“เข้าใจแล้ว…เผิงจง เจ้าอยากมาทำงานที่ร้านนี้หรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเลือกที่จะถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อน
“ขะ ขอรับนายท่าน เมตตาข้าน้อยและครอบครัวด้วยขอรับ” เผิงจงรีบตอบรับทันที ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาให้
“เช่นนั้นก็พาพวกข้าไปรับมารดากับน้องสาวเจ้าไปที่สกุลลู่ก่อน แล้วข้าจะให้คนตามหมอมาดูอาการของมารดาเจ้า”
“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน ฮูหยิน คุณชาย คุณหนู” เผิงจงรีบก้มเคารพทุกคนที่ช่วยเหลือเขา
จากนั้นเผิงจงก็รีบนำเจ้านายคนใหม่ของตนไปพบมารดาและน้องสาวที่ท้ายตลาด เมื่อไปถึงเผิงจงก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาและน้องสาวฟัง ทั้งเผิงฮวาที่เป็นมารดาและเผิงจูเด็กหญิงตัวน้อย ต่างก็ซาบซึ้งต่อความเมตตาของสกุลลู่ หลังจากที่ทั้งสามแม่ลูกย้ายเข้ามาเป็นบ่าวสกุลลู่ เผิงฮวาก็ได้รับหน้าที่ให้ดูแลครัวในร้านซิ่งฟู่ เพราะลู่หวังเหล่ยและบุตรทั้งสี่กลัวว่าซูเมิ่งจะเหนื่อย ส่วนเผิงจงและเผิงจูรับหน้าที่เรียกลูกค้า ทั้งเยว่ชิงยังขอให้เผิงจูมาดูแลนางอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
“เสี่ยวจูทานขนมหรือไม่”
“คุณหนูทานเถิดเจ้าค่ะ บ่าวไม่หิว” ทั้งที่ตนเองมองขนมตาละห้อย แต่กลับเอ่ยปฏิเสธ เด็กผู้นี้เจียมตนเกินไปแล้ว ทั้งที่อายุมากกว่าเยว่ชิงเพียงสองหนาว แต่เผิงจูกลับตัวเล็กจ้อย เยว่ชิงจึงเรียกเผิงจูว่าเสี่ยวจู
เยว่ชิงยัดขนมใส่มือของเผิงจู เดิมทีนางต้องการให้เผิงจูมาอยู่ใกล้ชิดเพื่อสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับบิดาของเผิงจูและสกุลหม่า แต่นานวันเยว่ชิงก็ยิ่งเอ็นดูเผิงจูมากขึ้น เพราะนางดูแลเยว่ชิงได้ดีมิขาดตกบกพร่อง ท่านแม่ยังเอ่ยเย้าอยู่หลายครา ว่าในยามเยว่ชิงแต่งออกคงมิมีสิ่งใดต้องเป็นห่วง เพราะมีเผิงจูอยู่ก็เทียบเท่ามีแม่นมลี่อยู่ด้วย
“ช่วยข้าทานทีเถิด ข้าอิ่มแล้ว”
“เจ้าค่ะคุณหนู ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” เผิงจูนำขนมเข้าปาก เด็กหญิงวัยเจ็ดหนาวยิ้มแย้มทานขนมอย่างเอร็ดอร่อย คุณหนูของนางมักใจดีและเมตตาต่อนางเสมอ ทั้งยังมิเคยกดขี่ข่มเหงนางเลยสักครั้ง เผิงจูจึงตั้งมั่นว่าจะดูแลคุณหนูด้วยชีวิตของนาง อีกอย่างเผิงจูยังนับถือคุณหนูของนางอย่างมาก เพราะแม้ว่าคุณหนูจะมีอายุเพียงห้าหนาว แต่กลับเป็นเด็กหญิงที่มีความคิด ความอ่านดี พูดจาฉะฉาน น่าเชื่อถือจนบางทีใต้เท้าลู่ยังต้องฟังคำคุณหนู
“รีบทานเข้า เราต้องไปทำงานที่ร้านซิ่งฟู่กันต่อ เฮ้อออ ข้าเกียจคร้านเสียจริง!!!” เยว่ชิงบ่นเช่นนี้ทุกครั้งก่อนออกไปทำงาน แม้จะบ่นแต่ก็ทำงานไม่หยุด จนเผิงจูเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณหนูของนางเกียจคร้านดังที่พูดหรือไม่
“โฮรก~” เสียงคำรามของมูมู่ดังขึ้นราวกับต้องการตอบรับเยว่ชิง แต่เสียงนั้นกลับทำให้เผิงจูตกใจไม่น้อย นางมาอาศัยอยู่ที่สกุลลู่ไม่กี่เดือนจึงยังมิคุ้นชินกับมูมู่มากนัก แม้คุณหนูของนางจะเอ่ยว่ามูมู่ไม่กัด แต่นางก็ยังกลัวอยู่ดี คงจะต้องใช้เวลาทำความรู้จักกับมูมู่ให้มากกว่านี้จึงจะชินชา
“มูมู่เองก็เกียจคร้านใช่หรือไม่ ฮือออ เมื่อใดข้าจะได้หยุดพักเสียที”
“เช่นนั้นวันนี้คุณหนูอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะไปช่วยงานที่ร้านเองเจ้าค่ะ”
“ไม่ๆ แม้จะเหนื่อย แต่ตอนนี้ยังหยุดพักไม่ได้ เพราะสกุลลู่ของเรายังไม่มีเงินทองมากพอ” เยว่ชิงหันมาตอบเผิงจู หากว่าวันใดร้านซิ่งฟู่มั่นคงแล้ว เยว่ชิงจะให้ครอบครัวหยุดพักอยู่ที่เรือนและได้ทำในสิ่งที่พวกเขาอยากทำ นางเองก็จะใช้ชีวิตเป็นคุณหนูสกุลลู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องมากังวลเรื่องเงินทอง คิดได้ดังนั้นเยว่ชิงก็รีบออกไปทำงานที่ร้านซิ่งฟู่ทันที
.
.
.
วันเวลาล่วงเลยมากว่าสองหนาว กิจการร้านซิ่งฟู่เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ จนบัดนี้ร้านซิ่งฟู่กลายเป็นเหลาอาหารชื่อดังของเมืองหลวงแคว้นเฉิงไปเสียแล้ว ผู้คนทั้งในแคว้นและนอกแคว้นต่างอยากเข้ามาใช้บริการ แต่กลับมิมีผู้ใดรับรู้ว่าร้านซิ่งฟู่แท้จริงแล้วเป็นของสกุลลู่ อาจเพราะสกุลลู่มิได้ป่าวประกาศออกไป ทั้งเสี่ยวเอ้อในร้านทุกคนต่างใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า จึงมิมีผู้ใดรู้ว่าเจ้าของร้านและเสี่ยวเอ้อในร้านเป็นคนของสกุลลู่
“พี่สาม เยว่ชิงว่าเราจ้างผู้อื่นมาเล่นดนตรีดีหรือไม่ ท่านทำงานทั้งวันเช่นนี้ เยว่ชิงกลัวว่าท่านจะเหนื่อย” เยว่ชิงเดินเข้ามาเอ่ยกับลี่อินก่อนที่จะขึ้นไปบรรเลงกู่เจิงบนแท่นแสดง นางกังวลเรื่องอาการป่วยของลี่อินมาก เพราะบัดนี้เยว่ชิงมีอายุเจ็ดหนาวแล้ว หากอ้างอิงจากในนิยายเรื่องชะตาร้าย ลี่อินจะมีอาการป่วยในช่วงนี้
“พี่บรรเลงกู่เจิงมิไพเราะแล้วหรือ เจ้าจึงจะจ้างผู้อื่น” ลี่อินแสร้งตีหน้าเศร้า เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนี้น้องสาวของเขาจะต้องใจอ่อน ยอมให้เขาขึ้นแสดงต่อไปแน่
ตั้งแต่เกิดมา เขามิได้เข้มแข็งเช่นพี่ใหญ่ มิได้ช่างเจรจาเช่นพี่รอง มิได้ฉลาดหลักแหลมเช่นน้องสาว บรรเลงกู่เจิงจึงเป็นอย่างเดียวที่เขาทำได้ดีและช่วยเหลือครอบครัวได้ แม้จะไม่มากมายนักแต่เขาก็อยากทำ
“เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนั้นเจ้าคะ เสียงบรรเลงกู่เจิงของพี่สามยังเป็นอันดับหนึ่งในใจเยว่ชิงเสมอเจ้าค่ะ เพียงแต่เยว่ชิงมิอยากให้พี่สามเหน็ดเหนื่อยก็เท่านั้น”
“พี่มิได้เหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย พี่อยากทำ”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ แต่หากว่าพี่สามเหนื่อยบอกเยว่ชิงนะเจ้าคะ”
“ได้ หากเหนื่อยพี่จะบอกเจ้าเป็นคนแรก” ลี่อินยกยิ้มให้น้องสาว สองมือหยิบหน้ากากมาสวมใส่ก่อนจะขึ้นไปนั่งบรรเลงกู่เจิงบนแท่นแสดง
เยว่ชิงอดถอดถอนหายใจกับความดื้อรั้นของพี่สามของนางมิได้ เดิมทีพี่สามควรจะเป็นผู้ที่ว่าง่ายกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ อ่อนโยน เมตตา จิตใจดี แต่กลับดื้อรั้นเป็นที่สุด ตากลมของเยว่ชิงจ้องมองไปบนแท่นแสดง ซึมซับเสียงกู่เจิงที่ลี่อินบรรเลงอย่างจรรโลงใจ แต่บรรเลงไปได้ไม่นาน…
ตึง~ สายของกู่เจิงขาดสะบัด พร้อมกับร่างของลี่อินที่ล้มพับลงไปนอนกองกับพื้น
“พี่สาม!!!”
“คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ
“นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่
“พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่
“ท่านพ่อ เยว่ชิงว่าเรารับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานที่ร้านดีหรือไม่เจ้าคะ”“นั่นสิขอรับ ท่านพ่อจะปล่อยเขาไว้เช่นนี้หรือ” ลี่อินเอ่ยสำทับขึ้นมา เขาสงสารเผิงจง มีทั้งมารดาและน้องสาวให้เลี้ยงดู บิดาขของเขาก็หายตัวไป คงจะลำบากไม่น้อย“ท่านพี่…” ซูเมิ่งขยับเข้ามาลูบแขนของสามีเบาๆ นางเองก็สงสารเผิงจงไม่น้อย จึงอยากให้สามีรับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานในร้านซิ่งฟู่“เข้าใจแล้ว…เผิงจง เจ้าอยากมาทำงานที่ร้านนี้หรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเลือกที่จะถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อน“ขะ ขอรับนายท่าน เมตตาข้าน้อยและครอบครัวด้วยขอรับ” เผิงจงรีบตอบรับทันที ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาให้“เช่นนั้นก็พาพวกข้าไปรับมารดากับน้องสาวเจ้าไปที่สกุลลู่ก่อน แล้วข้าจะให้คนตามหมอมาดูอาการของมารดาเจ้า”“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน ฮูหยิน คุณชาย คุณหนู” เผิงจงรีบก้มเคารพทุกคนที่ช่วยเหลือเขาจากนั้นเผิงจงก็รีบนำเจ้านายคนใหม่ของตนไปพบมารดาและน้องสาวที่ท้ายตลาด เมื่อไปถึงเผิงจงก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาและน้องสาวฟัง ทั้งเผิงฮวาที่เป็นมารดาและเผิงจูเด็กหญิงตัวน้อย ต่างก็ซาบซึ้งต่อความเมตตาของสกุลลู่ หลังจากที่ทั้
“หยุดนะ ทุบตีเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร อยากถูกจับส่งทางการหรือ” หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม เห็นผู้คนกำลังเดือดร้อน จะให้นิ่งเฉยคงมิใช่บุตรสกุลลู่แล้ว“พวกเจ้าไม่เกี่ยว หลีกไป เด็กคนนี้มันขโมยเงินข้า ข้าจะให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง” ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะแต่งกายดูดี แต่กลับมีสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเด็กหนุ่มที่ดูมีแววตาที่แน่วแน่และซื่อตรง“ข้ามิได้ขโมย เงินนี่เป็นค่าแรงที่ข้ามาช่วยท่านขนของเข้าร้าน แต่พอข้าทำงานเสร็จ ท่านกลับมิยอมให้ข้า” เด็กหนุ่มเถียงคอเป็นเอ็น น้ำสีใสร่วงหล่นออกมาจากตาเป็นสาย เยว่ชิงเห็นท่าทีมิยอมอ่อนของชายผู้นั้นนางจึงได้รีบตัดปัญหา“เพียงแค่คืนเงินให้ ท่านก็จะไม่ทำร้ายเขาใช่หรือไม่”“ใช่”“นี่ ข้าไม่คืนนะ! เงินนี้สำคัญกับข้ามาก” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาเสียงแข็ง“เท่าใด เงินที่เจ้าถืออยู่นั้นมีเท่าใด” เยว่ชิงเอ่ยถาม“ห้าสิบอีแปะ”“เช่นนั้นเงินห้าสิบอีแปะนี่ข้าจะคืนให้ท่าน แต่…ข้าขอตีท่านคืนได้หรือไม่ ท่านจะได้รับรู้ว่าผู้ที่ถูกตีเขาเจ็บเพียงใด” เยว่ชิงยื่นเงินห้าสิบอีแปะให้ชายผู้นั้น ซึ่งเขาก็รับไปอย่างรวดเร็ว“หากเป็นเจ้าที่ตี ข้าจะให้เจ้าตีข้าสักสิ
“แฮ่กๆ แฮ” เสียงหอบหายใจของเยว่ชิงดังขึ้นหลังจากที่นางใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการฝึกดาบไม้ที่พี่ชายซื้อให้ เด็กน้อยวัยห้าหนาวย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องซื้อดาบทีไร นางก็เจ็บใจทุกครั้ง แม้จะผ่านมาหนึ่งหนาวแล้วก็ตาม เพราะบรรดาพี่ชายทั้งสามคนต่างค้านหัวชนฝา มิยอมให้นางซื้อดาบของจริง ทั้งยังขู่ว่าหากมิเอาดาบไม้ก็จะมิยอมซื้อสิ่งใดให้เลย เยว่ชิงจึงจำใจเลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงทนทาน และเลือกซื้อตำราฝึกซ้อมดาบมาอีกหนึ่งเล่ม เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยว่านางเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มาจากที่ใด“มูมู่ ตาเจ้าแล้ว” เยว่ชิงตะโกนเรียกมูมู่พร้อมกับโยนลูกหนังลูกเล็กออกไป มูมู่จึงรีบวิ่งไปกระโดดงับลูกหนังได้ในทันที ยิ่งวันเวลาผ่านไปมูมู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสือหนุ่มที่มีอายุสองหนาวย่างเข้าสามหนาว“ดีมาก รอบนี้มูมู่ทำได้เร็วกว่าคราก่อน เด็กดีๆ” เยว่ชิงกับมูมู่มักจะมาเล่นด้วยกันเช่นนี้เสมอ หลังจากที่เยว่ชิงฝึกดาบเสร็จหนึ่งรอบมูมู่ก็จะได้ฝึกวิ่งฝึกกระโดดด้วยเช่นกัน ทั้งเยว่ชิงยังเคยใช้มูมู่เป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกดาบอีกด้วย แม้มูมู่จะทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบไปมาก็เถอะนะ“คุณหนูเจ้าคะ จะได้เวลามื้อเช้