มินตราสะลึมสะลือตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่...เธอลุกขึ้นนั่งหลังตรงกระชับผ้าห่มนวมผืนนุ่มสีขาวสะอาดขึ้นไว้บนเนินหน้าอกแล้วชำเลืองตามองข้าวของกระจัดกระจายที่หล่นรอบๆห้องรับแขกด้วยความจำใจ
และแล้วเช้าวันนี้เธอก็ไม่ได้เจอหน้าภาคินเช่นเคย เนื่องจากทุกครั้งที่เขาแวะเวียนมาหาเพื่อทำเรื่องอย่างว่า...ก็ไม่เคยค้างคืนด้วยเหมือนคู่รักคู่อื่นๆสักหน สำเร็จความใคร่ตรงไหนก็จะปล่อยเธอไว้ตรงนั้น เหมือนตอนนี้...ที่มินตรากำลังนอนหลับอยู่บนฟูกโซฟาด้วยสภาพเนื้อตัวที่แปดเปื้อนคราบน้ำคาวของเขา ถือว่ายังโชคดีที่เขายังไม่ใจไม้ไส้ระกำถึงขั้นไม่ดูดำดูแดงปล่อยให้เธอเปลือยตากแอร์ทั้งคืน "เห้อ!" มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอื้อมแขนเรียวยาวหยิบเงินสดจำนวน 10,000 บาทซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขนาดย่อมเยาตรงหน้าขึ้นมา "แทบจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากกะหรี่ด้วยซ้ำ" 'เอา เสร็จ แยกย้าย จ่ายเงิน' สโลแกนนี้มันโคตรงี่เง่าชัดๆ! เขาเห็นเธอเป็นประเภทอีตัวเห็นแก่เงินหรือไงถึงได้ใช้ฟาดหัวเอาฟาดหัวเอาทั้งๆสิ่งที่เธอต้องการนั่นก็คือหัวใจของเขาต่างหากล่ะหึ! โชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์...ซึ่งคือวันหยุดของทางบริษัท เธอจะได้มีเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มอิ่มเพื่อรอรับศึกหนักที่นับถอยหลังเคลื่อนเข้ามาถึงหากเขาต้องการเย็นนี้ มินตราประคองร่างที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงๆเพื่อเข้าไปชำระทำความสะอาดในห้องน้ำแล้วสวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซศ์คอกลมพร้อมกับกางเกงขาสั้นตามสบาย มัดผมยาวสลวยรวบขมวดขึ้นกลางหัว จากนั้นก็โปะแค่แป้งอ่อนๆ ปัดกวาดเช็ดถูเก็บข้าวของที่หล่นกระจัดกระจายจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปประมาณตอนเที่ยง... จึงถึงเวลานอนพักเอาแรงเสียที... ... @บ้านเดชาบวรสกุล "ไง! เรื่องของหนูพิรญาณ์" คำถามของคุณดำเกิงทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มเงียบสงัดเข้าสู่สภาวะตึงเครียด "ฉันจะได้คอนเฟิร์มกับทางโน้น" "ผมไม่หมั้น" ภาคินวางช้อนลงบนจานจนเกิดเสียงดังแกร๊ก แล้วแหงนหน้าขึ้นตอบคำถามของผู้เป็นบิดา "ถ้าพ่ออยากจะดองกับครอบครัวฝั่งนั้นเพื่อรวบธุรกิจเห็นแก่ผลประโยชน์ ก็นู้น! ไอ้ภาคี ลูกชายคนโตพ่อหัวแก้วหัวแหวน" "เฮ้ย! อย่าพาลมาที่กูสิวะไอ้ภาคิน" ภาคี หรือภัคคินัย เดชาบวรสกุล อายุ 35 ปี เป็นลูกชายคนโตของคุณดำเกิง ปัจจุบันนี้กำลังดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทอีกคน "คุณอารัศมีกับคุณอาเดชเดชาไม่ได้อยากได้กูไปเป็นลูกเขยสักหน่อย ให้ไอ้ภาคินนั่นแหละครับพ่อ" "งั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นหลังจากที่ทำงานเสร็จก็ช่วยไปรับหนูพิรญาณ์มาทานข้าวที่บ้านด้วยก็แล้วกัน" คุณดำเกิงพูดเองเออเองโดยไม่ได้ฟังเสียงของบุตรชายเลยสักนิด เขาเห็นว่าเหมาะสมดีแล้ว... "ผมไม่ว่าง" บ้าชะมัด! ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหัว ไม่เคยเห็นความสำคัญ มองข้ามตลอด มีอะไรก็ต้องใช้ของเหลือเดนจากไอ้ภาคี! แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ยัดเยียดเขานักยัดเยียดเขาหนา "นี่คือคำสั่ง! แกต้องไปรับหนูพิรญาณ์มาทานข้าวที่บ้านเพื่อทำความรู้จักกันซะ วันข้างหน้าหากได้ฤกษ์หมั้นหมายจะได้คุ้นชินและไม่เก้อเขิน" คำสั่งของคุณดำเกิงถือว่าเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่ใหญ่ที่สุดภายในบ้านหลังนี้... "ผมบอกแล้วว่าผมไม่หมั้น! ผมยังรักชีวิตอิสระ ไม่ชอบการผูกมัด หรือต้องมามีพันธะกับใครสักคน" ภาคินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจโชคชะตาเหลือเกิน...ตั้งแต่ที่จำความได้เขาไม่เคยได้เลือกเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองเพราะทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณดำเกิงที่จัดสรรเรียงรายเข้ามาให้เนื่องจากคิดเองเออเองว่าสิ่งนี้ดีที่สุดแล้ว "พ่อช่วยให้อิสระผมสักครั้งเถอะนะครับ" ภาคินต้องเรียนพิเศษเข้าคอร์สติววิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาลสาม! เรียนโรงเรียนอินเตอร์นานาชาติระดับประเทศที่ใช้ภาษาเมืองนอกเมืองนาในการสนทนา! เลือกห้องคิง กวดขันการเรียนเข้มงวด กลับมาถึงบ้านก็ต้องหมั่นเอาหนังสือออกมาหาความรู้และทบทวนบทเรียนอยู่เป็นประจำเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพ ท้าวความไปตอนเข้าเรียนปี 1 เขาสอบชิงทุนติดคณะนิเทศศาสตร์เอกกำกับพวกการแสดงและภาพยนตร์ เขาใฝ่ฝันกับอาชีพนี้มาโดยตลอด ทว่าสุดท้ายก็โดนตัดแข้งขัดขาเพราะคุณดำเกิงมองว่ามันค่อนข้างไร้สาระ จึงบีบบังคับให้เขาสละสิทธิ์แล้วใช้เส้นสายฝากฝังเข้าคณะบริหารธุรกิจเพื่อวันข้างหน้าจะได้ช่วยดูแลจัดการบริษัทของครอบครัว... "แต่ปีนี้แกอายุ 30 แล้วนะไอ้ภาคิน! ฉันกับคุณจารวีก็อยากมีหลานตัวเล็กๆเอาไว้อุ้ม และที่สำคัญแกจะรังเกียจเดียดฉันท์หนูพิรญาณ์ทำไม? หนูพิรญาณ์ไม่ดีตรงไหน ทั้งเพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ ฐานะชาติสกุลอยู่ในสังคมระดับชนชั้นเดียวกันกับเรา หน้าตาก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่เพียงออกไปในทางสะสวย ระดับดาราอันดับต้นๆของเมืองไทยเชียวนะเว้ย! ซ้ำพ่อของเขายังเป็นคนใหญ่คนโต เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครที่จะดีและเหมาะสมกับแกเท่าหนูพิรญาณ์อีกแล้ว" คุณดำเกิงสวนกลับไปอย่างทันควัน! "ตอนนี้ไอ้ภาคีก็อายุ 35 ปีแก่กว่าผมด้วยซ้ำ ทำไมพ่อไม่เร่งรัดให้มันรีบๆแต่งงานมีลูกมีเมียสืบสกุลล่ะครับ!" คำตอบนั่นก็คือ...ไอ้นั่นมันเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนอย่างไรล่ะ ใครจะกล้าขัดคำสั่งมัน ขนาดผู้เป็นพ่อเช่นคุณดำเกิงยังคอยประคบประหงมตามใจสารพัดเลย "ก็เพราะไอ้ภาคีมันไม่ได้เที่ยวเตร็ดเตร่ ออกหากินกลางค่ำกลางคืนเหมือนแกไง มันประพฤติตัวอยู่ในกรอบระเบียบ เป็นเด็กดี ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางที่ฉันขีดเอาไว้! ต่างจากแก! ฉันก็เลยจำเป็นต้องยัดเยียดหาเมีย หาพันธะให้แกก่อนที่แกจะไปคว้าผู้หญิงชั้นต่ำไร้สกุลรุนชาติ ผู้หญิงที่หากินกับเรือนร่างขึ้นมาเป็นสะใภ้ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลยังไงล่ะ" สุดท้ายภาคินก็ได้รับรู้ความจริงจากปากของผู้เป็นบิดาเช่นคุณดำเกิงว่า...คุณดำเกิงไม่เคยรักเขาเลยสักนิด ไม่เคยแคร์แม้กระทั่งความรู้สึก เพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในกรอบของความเหมาะสมเห็นแก่หน้าตาตัวเองเป็นที่หนึ่ง! ลืมไปก็เขามันแค่ลูก เมียน้อย ลูกบ้านเล็ก ลูกของผู้หญิงที่เข้ามาทีหลังแล้วแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์แม่ใหญ่และพ่อนี่นา...เรียกใช้สอยเพื่อหวังแก่ผลประโยชน์จะมีความรักใคร่ใยดีเช่นลูกเมียแต่งออกหน้าออกตาได้อย่างไร เขาสำเหนียกข้อนี้ดี! อรุณี แม่ของเขาก็เคยเป็นแค่ผู้หญิงในความลับมาก่อน...เคยเป็นแค่เมียน้อยที่มาทีหลังและต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆจนกระทั่งมีเขาออกมา แม่ใหญ่หรือคุณจารวีมารดาภาคีเห็นอกเห็นใจจึงเอ็นดูรับเข้ามาเป็นบุตรชายอีกคนหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะต้องรักเท่ากับลูกในไส้นี่ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ...ข้อนี้เขาเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งดีอย่างเที่ยงแท้ "งั้นก็แล้วแต่คุณดำเกิงจัดสรรชีวิตให้ผมเลยครับ" ว่าจบภาคินก็ลุกขึ้นพรวดพราดออกไปจากห้องรับประทานอาหาร แล้วคว้ากุญแจรถสปอร์ตคันหรูมุ่งหน้าสู่บ้านจัดสรรของมารดาซึ่งอยู่สองซอยถัดไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ ... "เป็นอะไร หน้าตาบูดบึ้งคิ้วขมวดเข้มเชียว ทะเลาะกับพ่อมาอีกเหรอ?" คุณอรุณีใช้น้ำเย็นเข้าลูบ พร้อมกับวางจานแคนตาลูปชิ้นเล็กหั่นซีกของโปรดบุตรชายลงบนโต๊ะ "พ่อจะจับผมคลุมถุงชนกับน้องพิรญาณ์ลูกสาวเพื่อนสนิท แต่ผมยังไม่อยากหมั้น ผมยังไม่อยากมีพันธะตอนนี้นะครับแม่" เวลาที่อยู่กับคุณอรุณี เสือร้ายอย่างภาคินที่เคยเกรี้ยวกราดทำลายทุกสิ่งสรรพก็กลายร่างเป็นเจ้าแมวน้อยชอบออดอ้อนออเซาะเหมือนตอนเล็กๆ "แต่แม่หนูคนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ"@2 เดือนผ่านไป พิธีวิวาห์สมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงเห่ร้องตกใจจากพนักงานในบริษัทญาติสนิทมิตรสหายเพื่อนฝูงและคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ แต่รับรองได้เลยว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด ระดับออแกไนซ์มืออาชีพอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเนรมิตเองตั้งแต่ประตูงานยันอาหารการกิน ทรงผม ชุดเจ้าสาวเอย รองเท้าเอย แก้วเอย ผ้าปูโต๊ะเอยหรือแม้กระทั่งทิชชู่ที่หยิบใช้ก็เป็นของแบรนด์ของมีคุณภาพทั้งนั้น...ทำให้มินตราตกเป็นเป้าสนใจและเป็นที่อิจฉาของเหล่าสาวๆ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ที่หมายปองปรารถนาอยากจะเข้ามาเป็นสะใภ้เศรษฐีหมื่นล้านตระกูลเดชาบวรสกุล...ตอนนี้คงเหลือแต่พี่คนโตไว้ให้เป็นเป้าหมายใหม่สำหรับใช้ยิงธนูแล้วเล็งไปยังจุดกึ่งกลางเขา ทว่าความเป็นไปได้ช่างน้อยแสนน้อยเหลือเกินเพราะแอบมีข่าวลือหลุดมาว่ากำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับลูกนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังคนหนึ่ง......แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมากนั่นก็คือมินตราและภาคินจะได้รู้เพศลูกตัวเอง ซึ่งถูกจัดขึ้นตามสไตล์ของพวกชนชาติทางฝั่งตะวันตกฝั่งตะวันออกที่นิยมให้พ่อแม่มาลุ้นเพศลูกโดยจะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รับรู้นั่น
ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ประตูที่เคยถูกล็อคก็เปิดง้างออกเผยให้เห็นเรือนร่างแกร่งกำยำของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าภาคินัย เดชาบวรสกุล สายตาของเขาซึ่งฉายมองทีเดิมช่างคลับคล้ายคับคลาเป็นดั่งพญาราชสีห์ สิงห์ เสือที่มีพละกำลังมาก ดูดุ ดูน่าเกรงขาม มิหวาดกลัวต่อใคร ทว่าตอนนี้กลับมีแต่แววรักฝังลึกอยู่เต็มเปี่ยม ความหวานเยิ้มดุจน้ำผึ้งเดือนห้าปรากฏชัด ค่อยๆ เดินเรียบแล้วหย่อนสะโพกนั่งท่าเทพบุตรลงบนพื้นตรงหน้าหญิงสาวที่เขาพึงใจรัก "ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ผมทำแย่ๆ กับมินมาโดยตลอด ผมรู้ว่าคำขอโทษของผมมันไม่ได้ผล และมันไม่สามารถชดเชยชดใช้กับสิ่งที่ผมทำกับมินได้ แต่ผมอยากจะให้มินรู้ว่าผู้ชายคนนี้มันสำนึกผิดแล้วจริงๆ มันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษให้กับมิน" ภาคินก้มหน้างุดก่อนที่หยดน้ำจะเริ่มเอ่อล้นอาบสองพวงแก้วจรดบนพื้นกระเบื้องจนกลายเป็นคราบกว้าง "..." "ผมรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยดีกับมินเลย ผมเป็นผู้ชายร้ายๆ เป็นผู้ชายห่วยแตกที่ปากจัด อารมณ์ร้าย หัวร้อนไม่ฟังใคร รุนแรงในสายตาของมิน แต่ผมอยากจะขอโอกาสมินสักครั้งได้ไหม ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลลูก ให้ผมได้ดูแลมิน ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อและหน้า
แล้วจะให้เธอทำเช่นไรล่ะ ในเมื่อนี่คือความสัตย์จริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอพูดถึงหลักความเป็นจริง หลักความเป็นไปของชีวิตที่คนทุกคนล้วนได้พบเจอเธอเห็นมานัดต่อนัดแล้วล่ะ ทั้งคนรอบตัว รอบกาย ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนฝูงหลายต่อหลายเหล่า ยามที่คนรู้จักกลับไปกินของเก่า กลับไปกินขี้ที่ตัวเองพยายามตะเกียกตะกายฉุดรั้งขึ้นมาเพื่อให้หลุดพ้นก็มักจะถูกหัวเราะเยาะถูกว่ากล่าวซ้ำเติมสารพัดสาระเพ"แต่นี่แม่ แม่ไม่ใช่คนพันนั้น แม่ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งหัวเราะเยาะลูก มินไม่จำเป็นต้องอาย แม่บอกมินเสมอว่าเวลาที่มินมีอะไรมินสามารถพูดคุย มินสามารถบอกแม่ได้ ถึงแม่จะให้ความปรึกษา ให้ความช่วยเหลือมิได้ไม่มากพอแต่แม่คนนี้ก็พร้อมรับฟังลูกเสมอ" คุณกลิ่นแก้วเลื่อนแขนเรียวบางขึ้นไปจับบ่าของลูกสาว "มินไม่ผิดเลยลูกที่มินจะยังรักคุณภาคินและมินอยากตัดสินใจให้โอกาสคุณภาคินอีกครั้ง มินไม่ได้เป็นคนโง่แต่เพราะมินรักเขา เพราะเขาคือผู้ชายที่มินรักต่างหากล่ะ ข้อนี้ที่มินควรจะสนใจมากที่สุด แม่ขอถามหน่อยคนพวกนั้นที่มินคิดว่าเขาจะมาหัวเราะเยาะมิน เขาได้หากับข้าวหุงข้าวหุงปลา หาเงินทำให้มินมีความสุขเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า คนที่
โคร้ม!!"คุณ!!!" วินาทีแรกที่ภาพเขากำลังหล่นร่วงจากต้นไม้ฉายเข้ามาในแววตา โสตประสาทการรับรู้ของมินตราเธอก็รีบลุกขึ้นพรวดพราดเข้าไปประคองเขาอย่างอัตโนมัติราวกับหัวใจกดรีโมทคอนโทรลสั่งมาเสียกระนั้น"โอ๊ย!! ผมเจ็บมากเลยครับมิน" ใจหนึ่งก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งเรือนร่างจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็อาจใส่จริตใส่มารยาสาไถของเพศหญิงที่มักจะชอบใช้กับพวกผู้ชายด้วยหน่อยเพื่อออดอ้อนออเซาะเรียกร้องความเห็นใจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับมินตรามากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก"เจ็บมากไหม" สีหน้าของหญิงสาวดูเป็นกังวลและแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจนรู้สึกว่ามันค่อนข้างตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยพยายามปฏิเสธเขาสารพัด ทว่าแท้จริงแล้วในใจไม่ได้คิดหรือไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ "เจ็บมากเลยครับ..." ชายหนุ่มซบลงบนเนินหน้าอกของมินตราแล้วโอบกอดเรือนร่างเธอเอาไว้ "กล้าไปเอารถออกแล้วก็ช่วยตามคนงานมาซัก 2-3 คนด้วย ฉันจะพาคุณภาคินไปโรงพยาบาล" "ครับ""มินเป็นห่วงผมเหรอครับ ดีใจจังเลยมีคนเป็นห่วงด้วย" เขาแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย"อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรคุณสักนิด แต่ที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพร
รุ่งเช้าวันถัดมา...ยามนี้พระอาทิตย์ทอแสงจ้าสว่างไสวมีสายลมพัดปลิวให้ความร่มเย็นใต้โคนต้นทุเรียนหมอนทองของจังหวัดจันทบุรี ซ้ำเห็นคนงานชาวสวนทั้งลูกเด็กเล็กแดง เพศสตรีและเพศบุรุษมาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นไม่ให้แคล้วคลาดหรือเสียเวลาสักนาทีเดียว...ภาคินยังคงลุกขึ้นทำอาหารตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อคอยเอาอกเอาใจดูแลปรนนิบัติพัดวีมินตราและเจ้าตัวเล็กที่กำลังต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนอยู่ในครรภ์...เขาแทบจะกลายเป็นลูกเขย กลายเป็นคนรับใช้และกลายเป็นแม่ครัวคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยแม้กระทั่งเหยียบย่างเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแล้วลงมือหั่นผัก หั่นหมู หั่นเนื้อ หั่นไก่ด้วยตนเองสักครั้ง"ข้าวต้มไก่ไข่พร้อมกับตับครับ อาหารพวกนี้จะช่วยบำรุงมินและลูกให้แข็งแรง" "เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรทำก็ไปทำเสีย อย่ามายืนหัวโด่เกะกะรกหูรกตาอยู่ตรงนี้ สุขภาพทัศนวิสัยการมองเห็นฉันจะเสียเอาเปล่าๆ" แม้นพูดจาถากถางน้ำใจแต่ก็ไม่กล้าสบหน้ากับเขาเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหวจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนศีรษะเอนเอียงไปทางอื่นหลบหลีกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"ครับ" ภาคินทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับกับชะตา
ภาคินไม่รู้จะทำเช่นไรจึงนำอาหารที่ตนเองปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหน้าห้องพร้อมกับเขียนโปสการ์ดบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กๆ ไว้ว่า'กินข้าวเย็นเยอะๆ นะครับ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง ผมไม่ได้เป็นห่วงแค่ลูกแต่ผมเป็นห่วงมินด้วย' แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะกินหรือเอาไปเททิ้งให้หมา...มินตราใจแข็งชะมัดยาก หากตามงอนง้อขอคืนดีเห็นทีคงใช้เวลานานพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องรีบเร่งรวบรัดจับหัวจับท้ายกินกลางตลอดตัว ไม่ให้ดิ้นหลุดด้วยวิธีการของตนเอง!บรรยากาศแห่งค่ำคืนนี้ค่อนข้างเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นเรไรร้องแซ่ซ้องก้องกังวาลเมื่ออาศัยช่วงจังหวะดีแท้แลแล้วว่ามิมีผู้ใดพลุกพล่าน ภาคินลุกย่องออกจากเต็นท์ซึ่งกางอยู่บริเวณชานระเบียงหน้าบ้านค่อยๆ ย่องเลียบผ่านด้านข้าง ก่อนใช้ราวบันไดที่ตนเองเสาะเล็งเอาไว้พาดลงบนระเบียงด้านบนตรงกับห้องของมินตรา ชายหนุ่มรูปร่างแกร่งกำยำก้าวขาฉับ ส่วนสองมือนั้นไซร้กำลังจับราวบันไดปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับพวกโจร 500 อย่างมุ่งมั่นและมีจิตใจแน่วแน่ในการกระทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้... มินตราคงชะล่าใจ บวกกับนี่เป็นชนบทแถวจังหวัดจันทบุรีเหตุไม่ค่อยพลุกพล่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่