มินตราสะลึมสะลือตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่...เธอลุกขึ้นนั่งหลังตรงกระชับผ้าห่มนวมผืนนุ่มสีขาวสะอาดขึ้นไว้บนเนินหน้าอกแล้วชำเลืองตามองข้าวของกระจัดกระจายที่หล่นรอบๆห้องรับแขกด้วยความจำใจ
และแล้วเช้าวันนี้เธอก็ไม่ได้เจอหน้าภาคินเช่นเคย เนื่องจากทุกครั้งที่เขาแวะเวียนมาหาเพื่อทำเรื่องอย่างว่า...ก็ไม่เคยค้างคืนด้วยเหมือนคู่รักคู่อื่นๆสักหน สำเร็จความใคร่ตรงไหนก็จะปล่อยเธอไว้ตรงนั้น เหมือนตอนนี้...ที่มินตรากำลังนอนหลับอยู่บนฟูกโซฟาด้วยสภาพเนื้อตัวที่แปดเปื้อนคราบน้ำคาวของเขา ถือว่ายังโชคดีที่เขายังไม่ใจไม้ไส้ระกำถึงขั้นไม่ดูดำดูแดงปล่อยให้เธอเปลือยตากแอร์ทั้งคืน "เห้อ!" มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอื้อมแขนเรียวยาวหยิบเงินสดจำนวน 10,000 บาทซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขนาดย่อมเยาตรงหน้าขึ้นมา "แทบจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากกะหรี่ด้วยซ้ำ" 'เอา เสร็จ แยกย้าย จ่ายเงิน' สโลแกนนี้มันโคตรงี่เง่าชัดๆ! เขาเห็นเธอเป็นประเภทอีตัวเห็นแก่เงินหรือไงถึงได้ใช้ฟาดหัวเอาฟาดหัวเอาทั้งๆสิ่งที่เธอต้องการนั่นก็คือหัวใจของเขาต่างหากล่ะหึ! โชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์...ซึ่งคือวันหยุดของทางบริษัท เธอจะได้มีเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มอิ่มเพื่อรอรับศึกหนักที่นับถอยหลังเคลื่อนเข้ามาถึงหากเขาต้องการเย็นนี้ มินตราประคองร่างที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงๆเพื่อเข้าไปชำระทำความสะอาดในห้องน้ำแล้วสวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซศ์คอกลมพร้อมกับกางเกงขาสั้นตามสบาย มัดผมยาวสลวยรวบขมวดขึ้นกลางหัว จากนั้นก็โปะแค่แป้งอ่อนๆ ปัดกวาดเช็ดถูเก็บข้าวของที่หล่นกระจัดกระจายจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปประมาณตอนเที่ยง... จึงถึงเวลานอนพักเอาแรงเสียที... ... @บ้านเดชาบวรสกุล "ไง! เรื่องของหนูพิรญาณ์" คำถามของคุณดำเกิงทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มเงียบสงัดเข้าสู่สภาวะตึงเครียด "ฉันจะได้คอนเฟิร์มกับทางโน้น" "ผมไม่หมั้น" ภาคินวางช้อนลงบนจานจนเกิดเสียงดังแกร๊ก แล้วแหงนหน้าขึ้นตอบคำถามของผู้เป็นบิดา "ถ้าพ่ออยากจะดองกับครอบครัวฝั่งนั้นเพื่อรวบธุรกิจเห็นแก่ผลประโยชน์ ก็นู้น! ไอ้ภาคี ลูกชายคนโตพ่อหัวแก้วหัวแหวน" "เฮ้ย! อย่าพาลมาที่กูสิวะไอ้ภาคิน" ภาคี หรือภัคคินัย เดชาบวรสกุล อายุ 35 ปี เป็นลูกชายคนโตของคุณดำเกิง ปัจจุบันนี้กำลังดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทอีกคน "คุณอารัศมีกับคุณอาเดชเดชาไม่ได้อยากได้กูไปเป็นลูกเขยสักหน่อย ให้ไอ้ภาคินนั่นแหละครับพ่อ" "งั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นหลังจากที่ทำงานเสร็จก็ช่วยไปรับหนูพิรญาณ์มาทานข้าวที่บ้านด้วยก็แล้วกัน" คุณดำเกิงพูดเองเออเองโดยไม่ได้ฟังเสียงของบุตรชายเลยสักนิด เขาเห็นว่าเหมาะสมดีแล้ว... "ผมไม่ว่าง" บ้าชะมัด! ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหัว ไม่เคยเห็นความสำคัญ มองข้ามตลอด มีอะไรก็ต้องใช้ของเหลือเดนจากไอ้ภาคี! แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ยัดเยียดเขานักยัดเยียดเขาหนา "นี่คือคำสั่ง! แกต้องไปรับหนูพิรญาณ์มาทานข้าวที่บ้านเพื่อทำความรู้จักกันซะ วันข้างหน้าหากได้ฤกษ์หมั้นหมายจะได้คุ้นชินและไม่เก้อเขิน" คำสั่งของคุณดำเกิงถือว่าเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่ใหญ่ที่สุดภายในบ้านหลังนี้... "ผมบอกแล้วว่าผมไม่หมั้น! ผมยังรักชีวิตอิสระ ไม่ชอบการผูกมัด หรือต้องมามีพันธะกับใครสักคน" ภาคินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจโชคชะตาเหลือเกิน...ตั้งแต่ที่จำความได้เขาไม่เคยได้เลือกเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองเพราะทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณดำเกิงที่จัดสรรเรียงรายเข้ามาให้เนื่องจากคิดเองเออเองว่าสิ่งนี้ดีที่สุดแล้ว "พ่อช่วยให้อิสระผมสักครั้งเถอะนะครับ" ภาคินต้องเรียนพิเศษเข้าคอร์สติววิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาลสาม! เรียนโรงเรียนอินเตอร์นานาชาติระดับประเทศที่ใช้ภาษาเมืองนอกเมืองนาในการสนทนา! เลือกห้องคิง กวดขันการเรียนเข้มงวด กลับมาถึงบ้านก็ต้องหมั่นเอาหนังสือออกมาหาความรู้และทบทวนบทเรียนอยู่เป็นประจำเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพ ท้าวความไปตอนเข้าเรียนปี 1 เขาสอบชิงทุนติดคณะนิเทศศาสตร์เอกกำกับพวกการแสดงและภาพยนตร์ เขาใฝ่ฝันกับอาชีพนี้มาโดยตลอด ทว่าสุดท้ายก็โดนตัดแข้งขัดขาเพราะคุณดำเกิงมองว่ามันค่อนข้างไร้สาระ จึงบีบบังคับให้เขาสละสิทธิ์แล้วใช้เส้นสายฝากฝังเข้าคณะบริหารธุรกิจเพื่อวันข้างหน้าจะได้ช่วยดูแลจัดการบริษัทของครอบครัว... "แต่ปีนี้แกอายุ 30 แล้วนะไอ้ภาคิน! ฉันกับคุณจารวีก็อยากมีหลานตัวเล็กๆเอาไว้อุ้ม และที่สำคัญแกจะรังเกียจเดียดฉันท์หนูพิรญาณ์ทำไม? หนูพิรญาณ์ไม่ดีตรงไหน ทั้งเพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ ฐานะชาติสกุลอยู่ในสังคมระดับชนชั้นเดียวกันกับเรา หน้าตาก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่เพียงออกไปในทางสะสวย ระดับดาราอันดับต้นๆของเมืองไทยเชียวนะเว้ย! ซ้ำพ่อของเขายังเป็นคนใหญ่คนโต เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครที่จะดีและเหมาะสมกับแกเท่าหนูพิรญาณ์อีกแล้ว" คุณดำเกิงสวนกลับไปอย่างทันควัน! "ตอนนี้ไอ้ภาคีก็อายุ 35 ปีแก่กว่าผมด้วยซ้ำ ทำไมพ่อไม่เร่งรัดให้มันรีบๆแต่งงานมีลูกมีเมียสืบสกุลล่ะครับ!" คำตอบนั่นก็คือ...ไอ้นั่นมันเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนอย่างไรล่ะ ใครจะกล้าขัดคำสั่งมัน ขนาดผู้เป็นพ่อเช่นคุณดำเกิงยังคอยประคบประหงมตามใจสารพัดเลย "ก็เพราะไอ้ภาคีมันไม่ได้เที่ยวเตร็ดเตร่ ออกหากินกลางค่ำกลางคืนเหมือนแกไง มันประพฤติตัวอยู่ในกรอบระเบียบ เป็นเด็กดี ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางที่ฉันขีดเอาไว้! ต่างจากแก! ฉันก็เลยจำเป็นต้องยัดเยียดหาเมีย หาพันธะให้แกก่อนที่แกจะไปคว้าผู้หญิงชั้นต่ำไร้สกุลรุนชาติ ผู้หญิงที่หากินกับเรือนร่างขึ้นมาเป็นสะใภ้ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลยังไงล่ะ" สุดท้ายภาคินก็ได้รับรู้ความจริงจากปากของผู้เป็นบิดาเช่นคุณดำเกิงว่า...คุณดำเกิงไม่เคยรักเขาเลยสักนิด ไม่เคยแคร์แม้กระทั่งความรู้สึก เพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในกรอบของความเหมาะสมเห็นแก่หน้าตาตัวเองเป็นที่หนึ่ง! ลืมไปก็เขามันแค่ลูก เมียน้อย ลูกบ้านเล็ก ลูกของผู้หญิงที่เข้ามาทีหลังแล้วแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์แม่ใหญ่และพ่อนี่นา...เรียกใช้สอยเพื่อหวังแก่ผลประโยชน์จะมีความรักใคร่ใยดีเช่นลูกเมียแต่งออกหน้าออกตาได้อย่างไร เขาสำเหนียกข้อนี้ดี! อรุณี แม่ของเขาก็เคยเป็นแค่ผู้หญิงในความลับมาก่อน...เคยเป็นแค่เมียน้อยที่มาทีหลังและต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆจนกระทั่งมีเขาออกมา แม่ใหญ่หรือคุณจารวีมารดาภาคีเห็นอกเห็นใจจึงเอ็นดูรับเข้ามาเป็นบุตรชายอีกคนหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะต้องรักเท่ากับลูกในไส้นี่ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ...ข้อนี้เขาเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งดีอย่างเที่ยงแท้ "งั้นก็แล้วแต่คุณดำเกิงจัดสรรชีวิตให้ผมเลยครับ" ว่าจบภาคินก็ลุกขึ้นพรวดพราดออกไปจากห้องรับประทานอาหาร แล้วคว้ากุญแจรถสปอร์ตคันหรูมุ่งหน้าสู่บ้านจัดสรรของมารดาซึ่งอยู่สองซอยถัดไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ ... "เป็นอะไร หน้าตาบูดบึ้งคิ้วขมวดเข้มเชียว ทะเลาะกับพ่อมาอีกเหรอ?" คุณอรุณีใช้น้ำเย็นเข้าลูบ พร้อมกับวางจานแคนตาลูปชิ้นเล็กหั่นซีกของโปรดบุตรชายลงบนโต๊ะ "พ่อจะจับผมคลุมถุงชนกับน้องพิรญาณ์ลูกสาวเพื่อนสนิท แต่ผมยังไม่อยากหมั้น ผมยังไม่อยากมีพันธะตอนนี้นะครับแม่" เวลาที่อยู่กับคุณอรุณี เสือร้ายอย่างภาคินที่เคยเกรี้ยวกราดทำลายทุกสิ่งสรรพก็กลายร่างเป็นเจ้าแมวน้อยชอบออดอ้อนออเซาะเหมือนตอนเล็กๆ "แต่แม่หนูคนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ""ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ