"แต่ผมยังไม่อยากมีพันธะเข้ามาเกี่ยวข้องให้ต้องวุ่นวายปวดสมองเล่นตอนนี้นะครับ ผมยังรักอิสระ อยากใช้ชีวิตเที่ยวเตร็ดเตร่และทุ่มเทกับการทำงานให้เต็มที่ก่อน"
คุณอรุณีรู้นิสัยใจคอของภาคินลูกชายตัวเองเป็นอย่างดี...เจ้าอารมณ์ ไม่เคยยอมใคร ชอบหงุดหงิด ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้นแม้กระทั่งคนผู้นั้นจะสำคัญสักเพียงใดแต่หากทำให้เขาไม่พึงพอใจแล้วล่ะก็ย่อมต้องมอดไหม้กันไปข้างหนึ่ง แต่คงมีคนเดียวที่เจ้าภาคินยินยอมอย่างจำใจกัดฟันฝืน...นั่นก็คือคุณดำเกิงผู้เป็นบิดา เนื่องจากทุกๆครั้งเขาจะใช้อรุณีเมียน้อย แม่เชื้อแม่พันธุ์เข้าต่อรองเพื่อหักแข้งหักขาไม่ให้ภาคินเหิมเกริมหรือกลายเป็นนกปีกกล้าขาแข็งคิดขัดคำสั่ง "แล้วจะทำยังไง จะยอมพ่อเขาเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมาหรือเปล่า?" "ก็คงจะต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อน ไม่เช่นนั้นพ่อก็คงจะต้องใช้แม่มาขู่เหมือนทุกๆครั้ง" ภาคินประคองฝ่ามือนุ่มของมารดาขึ้นมาเสมอแผงอกแกร่ง "แม่รอผมอีกสักหน่อยนะครับ ผมสัญญาว่าผมจะทำให้แม่สุขสบายด้วยสองมือสองขาของผมเอง ผมจะไม่ยอมให้คนพวกนั้นมากดขี่ข่มเหงแม่ได้อีก" ที่เขาต้องพยายามพัฒนาศักยภาพของตนเอง ถีบตนเองขึ้นไปให้เสมอและอยู่เหนือกว่าภาคีลูกชายคนโปรด...นั่นก็เพราะคุณอรุณี เขาอยากจะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ควรจะได้ตั้งแต่แรกในฐานะภรรยาอีกคนหนึ่ง! แม่ของเขาไม่ผิด เพราะแม่ของเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณดำเกิงแต่งงานมีภรรยาและมีลูกแล้ว...คุณดำเกิงดึงคุณอรุณีเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์วงเวียนวงไฟเนื่องจากอารมณ์ชั่ววูบเมื่อครั้งไปถ่ายทำโฆษณาแถวเกาะภาคใต้ ใช้ความหวานคารมดีเข้าสู่หว่านล้อมจนหล่อนเผลอไผลตัวหลวมเข้าไป จนกระทั่งตั้งท้อง แต่พอรู้ความจริงคุณอรุณีก็พยายามตีตัวออกห่าง ขอโทษขอโพยคุณหญิงจารวีที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องร้าวฉานกันยกใหญ่เนื่องด้วยตนเข้าไปแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ แต่ก็เป็น...คุณดำเกิงเองที่ไม่ยอมปล่อย เขาเก็บคุณอรุณีไว้เป็นตุ๊กตาหน้ารถ เป็นนางบำเรอชั่วครั้งชั่วคราว...ไปบ้านโน้นทีบ้านนี้ทีสลับกันวันคี่วันคู่... "ขอบคุณมากเลยนะลูกที่ทำเพื่อแม่ แต่ไม่ต้องพยายามทำงานตัวเป็นเกลียวมานะบากบั่นขนาดนั้นก็ได้ แม่เป็นห่วง แล้วไอ้ส่วนทิฐิที่มันเป็นกำแพงอัดแน่นอยู่ในใจเพลาๆทุเลาลงหน่อย เพราะเดี๋ยวมันจะย้อนกลับไปกัดกินลูกเอง" คุณอรุณีไม่อยากเห็นบุตรชายของตนเองเป็นบ้าคลั่ง! "ผมจะไม่ปล่อยให้มันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองหรอกครับแม่ คนพวกนั้นต่างหากต้องได้รับผลกรรม" น้ำเสียงแข็งกร้าวแลดูจริงจังของภาคินทำเอาผู้เป็นมารดาอกสั่นหวาดผวาไม่ไหว "พ่อ คุณหญิงจารวี คุณภาคีพวกเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะลูก คนที่ผิดก็คือแม่เอง..." คุณอรุณียืดอกยอมรับความจริงในสิ่งที่ตัวเองก่อเอาไว้ หากวันนั้นหล่อนไม่ง่ายยินยอมผู้ชายคนนั้นและเชื่อเขาอย่างหมดจดแล้วย้อนกลับมาเอะใจดูสักนิดว่าคนเพียบพร้อมทั้งหน้าที่การงาน ฐานะ ชาติสกุลเลิศหรูจะมาจริงจังกับผู้หญิงบ้านนอกคอกนาลูกสาวคนหากุ้ง หอย ปู ปลา เป็นชาวประมงแล่นเรืออยู่ในท้องทะเลได้อย่างไร "เป็นแม่เอง แม่ผิดเอง แม่เป็นเมียน้อยเขา แม่ทำให้คุณจารวีต้องเจ็บช้ำน้ำใจ" "แต่คนที่ลากแม่เข้าไปในวงเวียนนั้นก็คือพ่อ! พ่อไม่ยอมปล่อยให้แม่ไปใช้ชีวิตอิสระ พ่อเหนี่ยวรั้งแล้วกักขังแม่เอาไว้ในบ้านหลังเล็กๆอันแสนมอสอ เป็นผู้หญิงในความลับ เป็นตุ๊กตาเริงระบำ...และไปเสวยสุขกับเมียแต่ง พ่อไม่เคยปกป้องแม่ พ่อปล่อยให้แม่ใหญ่มาทำร้ายพูดจาข่มเหงแม่สารพัดโดยที่เขายืนมองเฉยๆไม่ตอบโต้หรือคัดค้านแม้สักคำเดียว" ภาคินผ่านชีวิตช่วงนั้นมาหมดทุกสรรพสิ่งแล้ว...ตั้งแต่รู้ความจริงเขาเฝ้ามองมารดานั่งร้องห่มร้องไห้เสียใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในรอบเดือน เขาเห็นมารดาลงครัวทำอาหารตั้งแต่บ่ายสามในวันที่คนคนนั้นสัญญาดิบดีเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาหา ยังจำได้ดีทุกอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะล้วนเป็นของโปรดของพ่อ แต่สุดท้ายแม่ก็ต้องนั่งรอเก้อ...เพราะเขาดันลืม ดันเสวยสุขอยู่กับเมียแต่ง แม่ต้องทนทุกข์ก็เพื่อเขาคนนั้น... เพราะอยากให้ภาคินเติบโตมาในสังคมที่มีคุณภาพเป็นผู้ลากมากดีอยู่ในชนชั้นที่คิดว่าเหมาะสมแล้ว...อยู่เพื่อให้เขาได้เรียนโรงเรียนดีๆ ให้เขาได้กินอาหารดีๆ ไม่ต้องไปทนลำบากตรากตรำหาเช้ากินค่ำ กินมื้ออดมื้อ ข้าวเคล้าปลาทอด ฟังคำดูถูกดูหมิ่นจากญาติพี่น้อง แต่ก็ต้องแลกกับศักดิ์ศรีของแม่... "..." จริงอย่างที่ภาคินพูดทุกประการ "นี่...ลูกอยากกินขนมเค้กหน้าส้มหรือเปล่า เดี๋ยวแม่ว่าจะลงครัวทำซักชุดสองชุดแล้วเอาไปฝากขายที่ร้านหน้าปากซอยนี้ด้วย" "อยากกินกับแม่ ขนมเค้กรสส้มฝีมือแม่อร่อยที่สุดเลย" และนี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เขาตั้งใจว่าจะสานฝันให้แก่มารดา...นั่นก็คือเปิดร้านขายขนมเล็กๆให้คุณอรุณีได้ทำตามความปรารถนาของตนเองสักครั้ง เขาเชื่อว่ามันต้องขายดิบขายดีเทน้ำเทท่านั่งรับกำไรจนมือหงิกมืองอแน่ๆ จำได้ว่าเมื่อก่อนแม่ของเขาเคยทำขายอยู่ครั้งหนึ่ง...แต่ก็ต้องเลิกราล้มเลิกความฝันไป เนื่องจากความหึงหวงส่วนตัวของคุณดำเกิงที่ไม่ชอบให้คุณอรุณีออกไปด้านนอกบ่อยครั้ง กะจะขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยกระมัง! "ปากหวานจริงๆเลยนะ อะ นั่งรอตรงนี้ก่อน ดีนะเนี่ยที่ไม่ต้องรอนานเพราะแม่อบแป้งเค้กไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ เหลือแค่ปาดแย้งด้านบนก็สามารถทานได้เลย" คุณอรุณีหัวเราะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใช้ช่วงเวลาในหนึ่งวันอยู่กับบุตรชาย ... @ร้านอาหารเจ้าประจำหลังมหาวิทยาลัย "นี่ถ้าฉันไม่โทรนัดก็คงจะไม่มีใครโผล่หัวมาสินะ" พิมพ์พลอยสาวสวยประจำกลุ่ม ที่ปัจจุบันนี้เป็นเจ้าของร้านขนมเล็กๆกำลังเปิดตัวอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง "ก็ฉันทำงานนี่ ใครมันจะไปโชคดีเหมือนแกล่ะ ขายขนมอยู่ดีๆดันได้ลูกชายเจ้าของห้างมาเป็นผัวซะงั้น" ฟ้าใสเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปแห่งเดียวกับมินตราเอ่ยขึ้น "บุญวาสนากีกูสูง" แต่ก็ไม่สามารถโต้เถียงได้จริงๆ มีผัวเป็นถึงลูกชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ซ้ำพ่อแม่สามียังรัก ยังหลงเปรียบเสมือนลูกสาวอีกคนหนึ่งอีกด้วย นับได้ว่าโชคดีซ้อนสอง แต่เธอเนี่ยสิ...เป็นเพียงนางบำเรอลับๆ เอาแค่ความสุขทางกาย ทางใจแค่ได้อยู่ใกล้เขาก็พึงพอแล้ว "แล้วไหนไอ้พลกฤษณ์ไม่มาเหรอ" พลกฤษณ์คือเพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มที่สนิทสนมกับพวกเธอมากที่สุด "เห็นบอกว่ากำลังรีบมา แต่ไฟแดงด้านหน้าบริษัทมันรถติดมากก็เลยถึงช้าหน่อย" พิมพ์พลอยตอบคำถามของฟ้าใส "เออ แล้วนี่แกไม่คิดจะมีแฟนเลยเหรอยายมินตรา ดูฉันซิแต่งงานมาเกือบปีแล้ว ส่วนยายฟ้าใสก็เพิ่งจะได้ฤกษ์หมั้นหมายปลายเดือน 6 เหลือแค่แกคนเดียวแล้วนะ ระวังจะขึ้นคานไม่รู้ตัว" "จริง แกก็หน้าตาสะสวยนะยายมินตรา ไม่ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่สักหน่อย หรือจะให้ยายพิมพ์พลอยแนะนำเพื่อนผัวมันที่รวยๆให้พิจารณาสักคนสองคนดีป่ะ ชีวิตของแกจะได้สุขสบาย" ฟ้าใสสนับสนุนเต็มที่ ก็ในกลุ่มนี้ที่คบหาสมาคมกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยเหลือแค่มินตราคนเดียวนั่นแหละที่ยังคงครองสถานะโสด..."ใช่ ข้อนั้นฉันยอมรับว่าส่วนหนึ่งความผิดมันก็มาจากคุณพ่อและคุณแม่ อย่างที่นายคิดแม่ของนายไม่ผิดหรอกนะที่เข้ามาเพราะท่านไม่รู้ว่าพ่อของฉันมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แล้วแม่ของฉันผิดเหรอที่ไม่พอใจ โมโห โกรธ เจ็บใจที่จู่ๆมารู้ว่าผัวตัวเองแอบไปมีเมียน้อยแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน ในมุมมองอยู่กินกันมาร่วมหลาย 10 ปีเป็นใครๆก็เสียใจ เป็นใครๆก็โมโหทั้งนั้นแหละ! หรือนายจะเถียง" "..." ภาคินเงียบ "ในตอนแรกแม่ของฉันผิดก็จริง อันนี้ฉันยอมรับ แล้วใครรู้บ้างล่ะว่าตลอดระยะเวลาที่แม่พานายมาเลี้ยง พานายมาอุ้มชู เป็นแม่กาเหว่าที่ให้อุปการะคุณลูกกา แม่ฉันน่ะทั้งรัก ทั้งเอ็นดูและให้ทุกๆอย่างกับนายเทียบเท่ากับฉัน และที่แม่พานายมาจากแม่ของนายก็เพราะอยากให้นายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้นายได้ใช้ของดีๆ อยู่ในสังคมที่ดี ตอนแรกฉันก็เคยถามแม่ ท่านบอกว่าก็คิดอยากจะทำให้แม่ของนายเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจที่โดนพรากลูกออกจากอก เหมือนตนโดนแย่งผัว แต่พอได้เลี้ยงนายเข้าจริงๆ ท่านก็รักนายเหมือนลูกแท้ๆอีกคนหนึ่ง นายเคยรู้บ้างหรือเปล่า!" ภาคีพยายามอธิบายให้น้องชายต่างมารดาได้เข้าใจพ้องต้องกัน "งั้นเหรอ?? ไม่ลำเอียงเลยงั้นเหรอ
"ต่อไปนะคะก็จะเป็นบททดสอบแรกในส่วนของคุณภาคินค่ะ ทางคู่ค้าธุรกิจเสนอโครงการด้วยบอกมาว่าข้อเสียของคุณภาคินนั่นก็คือนิ่ง ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่แต่การเจรจาคุยงานด้วยถือว่าราบรื่นเพราะเป็นคนพูดจาคล่องแคล่ว จริงจังตลอดเวลายามทำงานและที่สำคัญมีเทคนิคมีสกิลในการต่อรองราคาทำให้บริษัทได้เปอร์เซ็นต์ต้นทุนต่ำ กำไรพุ่งสูง ถือได้ว่าส่งผลดีมากๆเลยค่ะ" เลขาสาวคนสวยกล่าวรายงานหากดูจากบททดสอบแรกผู้ชนะก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาคิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียของภาคินก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานหรือเปอร์เซ็นต์กำไรบริษัทที่จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากับของภาคี ฉะนั้นหากวางให้การงานรุ่งเรืองกิจการมั่นคงก็คงจะต้องเลือกภาคิน..."มาดูบททดสอบต่อไปกันนะคะ..." หลังจากนั้นเลขาสาวคนสวยก็ใช้รีโมทคอนโทรลเลื่อนสไลด์จอผ่านไปเรื่อยๆร่วมประมาณ 20 นาทีจนมาถึงบทสรุปสุดท้ายนั่นก็คือกำไรไตรมาสของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในโครงการของทั้งสองคน "ท้ายสุดนี้ก็จะเป็นกำไรไตรมาสบริษัทสำหรับหัวข้อโครงการทำโฆษณานะคะ หนึ่ง ส่วนของคุณภาคีจะเป็นโฆษณาแบรนด์สบู่ผลรวมทั้งหมด ดูแล้วบริษัท
วันประกาศผลการแข่งขัน..."ไม่ว่าวันนี้ผลมันจะออกมารูปแบบใด แม่ขอให้ภาคินอย่าโกรธ อย่าเกลียดพ่อเขาเลยนะลูก เพราะพ่อเขารักลูกเท่ากันทุกคน ไม่ได้ลำเอียงรักใครมากกว่ากัน ผลการแข่งขันมันก็ต้องออกมาตามหน้างานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริหารมากกว่า" นี่คือสิ่งที่คุณอรุณีกลัวมากที่สุดนั่นก็คือลูกชายจงเกลียดจงชังพ่อตัวเอง! หล่อนไม่อยากให้ภาคินเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ พยายามพูด พยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหว่านล้อมสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ในใจของภาคินให้พังลงได้... ภาคินปลูกฝังและเห็นภาพจำซ้ำๆมาโดยตลอดว่าแม่ของเขาถูกกระทำย่ำยีจากคนบ้านนั้นอย่างไร แม่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ตกเป็นตุ๊กตาเริงระบำทั้งๆที่อยากจะหนีไปใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะลูก คุณดำเกิงใช้ลูกเข้ามาเป็นข้ออ้างในการรั้งอรุณี กักขังหล่อนเอาไว้ในบ้านหลังมอซอเล็กเท่ารูหนูหลังนี้ และในทางกลับกันคุณดำเกิงก็มัดตัวบีบบังคับ ชี้นิ้วสั่งขีดกรอบให้ภาคินทำตามที่เขานิมิตหมายเอาไว้ในหัวโดยใช้แม่ของเขามาเป็นข้ออ้างเช่นเดียวกัน... มันจึงทำให้ภาคินเข้าใจผิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณดำเกิงเห็นเขาแ
ภาคินสั่งลูกน้องคนสนิทให้ช่วยกระจายข่าวและติดต่อนักสืบค้นหาตัวมินตรา ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหรือมุดน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขาสุดสีทันดรอย่างไรเขาก็จะทำ มันไม่ใช่เขารักหรือรู้สึกพิศวาสในตัวของมินตราจนกระทั่งยอมลงทุนเงินและอยากจะไขว่คว้าตัวเธอกลับมาหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะที่โดนเธอหักหน้าและเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนต่างหาก! "คิดว่าจะหนีพ้นฉันงั้นเหรอมินตรา!" ตอนนี้มินตราเป็นผู้หญิงของเขา เขาซื้อมินตรามาด้วยเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ เงินที่ใช้สอยในแต่ละเดือน รถสปอร์ตที่ให้เธอขับทุกๆวันและบ้านหลังนี้ที่ใช้อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีอีก...ถ้าเทียบกับตัวเธอที่เขาเคยระบายความเงี่ยนลงครั้งแล้วครั้งเล่ามันยังไม่ได้เศษเสี้ยวสักนิดที่เขาเสียไปด้วยซ้ำ ฉะนั้นมินตราจะต้องกลับมาชดใช้ให้เขาอย่างสาสม จนกว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจและไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบคดโกงระหว่างเงินจำนวนหลักล้านที่เสียไปและเรือนร่างของเธอ ... @ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รุ่งเช้าวันถัดมาอันแสนเบื่อหน่าย ภาคินต้องแสร้งตีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสุภาพบุรุษในคราบของพญามารผู้ยิ่งใหญ่ยโสโอหังขับรถสปอร์ตคันหรูที
ภาคินกลับมาจากทำงานด้วยสภาพเหนื่อยหน่ายเนื่องด้วยไปเจรจาทุนกับคู่ค้าคนสำคัญเพื่อพิชิตภารกิจสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเหมาะสมจะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาสกุลกรุ๊ป...การตัดสินนั้นไซร้ถูกรวบรัดให้เร็วขึ้นนั่นก็คือ 4 วันข้างหน้า...ไตรมาสกำไรจะถูกหยิบยกมาพูดเจรจากันในห้องประชุมและดูว่าผู้ใดมีสมรรถภาพมากพอในการบริหารให้เดชาบวรสกุลกรุ๊ปคงขึ้นแท่นบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของเมืองไทยอยู่... ภาคินถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดบนโซฟาไล่ตามองรอบๆบ้านที่บัดนี้มันถูกปิดมืดสนิทดำเป็นสีประกายนิลคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าไม่มีคนอยู่แต่เขาสันนิษฐานมินตราอาจจะเพลียและนอนหลับไปแล้วก็เป็นได้...เขาจึงก้าวฉับๆขึ้นชั้นบนของบ้านทว่ากลับเจอเพียงความว่างเปล่า บนเตียงนุ่มนั้นมีหมอน 2 ใบขนาดใหญ่ส่วนผ้านวมผืนนุ่มก็ถูกขึงสี่ทิศให้เนี๊ยบจนเหรียญเด้งคล้ายกับความชำนาญเหมือนพนักงานในโรงแรมหรือรีสอร์ทดังที่ผ่านการร่ำเรียนมาอย่างดี... "ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน!" ยอมรับว่าเขาค่อนข้างหัวเสียเมื่อกลับมาแล้วไม่เจอมินตราอยู่ที่บ้าน เขาเคยสั่งแล้วสั่งเล่าหลังสองทุ่มเป็นต้นไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้อีก น่าแปลกใ
@สามวันผ่านไป มินตราลาหยุดหนึ่งวันเพื่อออกไปทำธุระเยี่ยมเยือนมารดาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไล่ตระเวนหางานทำที่มั่นคงพอประทังชีวิตหากโดนเฉดหัวทิ้งจากภาคินไว้บ้าง...โดยใช้เหตุผลอ้างกับเจ้านายว่าเธอรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่เขาน่ะหรือที่จะสนใจคอยมาดูแลประคบประหงมเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาเพราะเธอได้รับเพียงประโยคถากถางน้ำใจ กระแนะกระแหน 'เรียกร้องความสนใจ' 'สำออย!' แต่เธอก็กล้ำกลืนฝืนทน...ยิ้มสู้ ปล่อยประโยคของเขาให้กลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ทำหูทวนลม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้ยิน... มินตราพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนฟูกเตียงนุ่ม ขณะเวลา 9 นาฬิกา 30 นาที แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เก็บเงินสะสมซื้อมาด้วยตัวเองขึ้นเปิดแอพพลิเคชันอากู๋ เพราะเพิ่งจะทราบจากปากของเขาเมื่อวานว่าถุงยางอนามัยที่ใช้มาตลอดระยะสามเดือนหมดอายุแล้วทั้งสิ้นเพราะมันคือแพ็คเดียวกันอยู่ในล็อตเดียวกันซึ่งเขาสั่งมาทั้งหมดเกือบ 20 กล่อง... บ้าชะมัด! ร้านนั่นขายถุงยางหมดอายุได้ยังไง 'ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุไปแล้ว 11 เดือนส่งผลอย่างไรบ้าง' ปรากฏว่า...'ข้อที่หนึ่ง อาจทำให้ถุงยางอนามัยปริ แตก ฉีกขาด รั่วซึม ในขณะที่กำลัง
"ค่ะ" มินตราไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา คงจะต้องชดใช้จนกว่าเขาจะพึงพอใจนั่นแหละภาคินถึงยอมปล่อยไปแต่โดยดี เธอลุกขึ้นยืนแล้วปลดเปลื้องเสื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาเหม่อลอย เมื่อเรือนร่างอรชรผิวขาวเนียนดุจน้ำนมยิ่งกว่าหยวกกล้วยได้เปลือยเปล่าต่อสายตาของเขาทุกกระเบียดนิ้วแล้ว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างภูมิใจฉุดกระชากลากถูตัวเธอแล้วโยนทิ้งลงบนโซฟา ก่อนใช้ฝ่ามือสัมผัสมันทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นไหปลาร้า ไหล่ลาดเนียนสวย เต้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว บั้นสะโพกกลมมน หรือจุดสงวนใจกลางกายซึ่งเคยผ่านมือเขาและปลายลิ้นของเขามาแล้วทั้งสิ้น... มินตรานอนตัวแข็งทื่อปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามเขาในขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย เกิดภาพเสมือนร่างไร้วิญญาณปล่อยให้เขากระทำชำเราตามอำเภอใจเมื่อเสร็จสรรพแล้วก็ค่อยแยกย้ายเช่นทุกๆครั้งที่ผ่านมา... "เชี้ย! ถุงแตก" ภาคินสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบโลนอย่างตกใจแล้วรีบดึงความเป็นชายออกมาในสภาพใบหน้าซีดเผือก แต่เมื่อพลิกดูข้างกล่องถุงยางอนามัยที่เขาพกเป็นแพ็คและหยิบใช้เป็นประจำก็ปรากฏว่ามันได้หมดอายุไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดเดื
"มินขอถามคุณภาคินจริงๆเถอะค่ะ คุณภาคินเคยรักมินบ้างไหมคะ" น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้นกล้ำกลืนความชอกช้ำเข้าไปในลำคอเป็นช่วงๆ พร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินลงมาด้วยอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่มันกำลังกัดกินก้อนเนื้อหัวใจดวงน้อย..."หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาบ้างนะมินตราว่าเธอมีค่าพอหรือเปล่าที่จะให้ฉันลดตัวลงไปรัก" มันเหมือนกับมีมีดปลายแหลมปักเข้ากลางอก เลือดสีแดงสดไหลทะลักอาบเรือนร่างขาวเนียนจนแทบแลไม่เห็นผิวหนังมังสา "ผู้หญิงอย่างเธอมากที่สุดก็เป็นแค่นางบำเรอช่วยปรนเปรอฉัน ตอนที่ฉันอยากก็เท่านั้นแหละ อย่าสำคัญ อย่าสำเหนียกตัวเองมากเกินไปว่าที่ฉันทนอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้เพราะรัก" ยัง...ยังไม่พอหรือไง แค่ประโยคแรกหัวใจของเธอก็ป่นปี้บอบสลายไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว แต่นี่เขายังพูดจาถมเถตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมายจะให้เนื้อที่เป็นแผลพุพองติดเชื้อเข้ากระแสเลือดจนสาหัสและเจียนตายเลยหรือ? "หากคุณไม่ได้รู้สึกดีด้วย.แล้วคุณจะดึงมินเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม!" มินตราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกซับซ้อนซ่อนเงื่อนพัวพันกันมั่วไปหมดในสมอง เขาไม่เคยรักเธอเลยสักนิดหรือไง? แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามัน
"เชิญครับคุณมินตรา นี่ก็ถึงเวลาทำงานแล้ว กรุณาเหน็ดเหนื่อยให้สมกับเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายไปให้คุณด้วย" ภาคินกดน้ำเสียงต่ำแกมบังคับบีบให้มินตราค่อยๆหลุบลงมองพื้นแล้วถอนตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดาเพื่อกระเถิบตัวตั้งท่าเตรียมรอออกจากห้อง "งั้นหนู...เอ่อ..." มินตราเหลือบขึ้นไปมองสายตาดุ กร้าวของภาคินเมื่อเธอหลุดใช้สรรพนามแทนการเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นเคยกับคุณลุงดำเกิง "งั้นดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะท่านประธาน" "ตามสบายเลยจ้ะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นมินตราจึงขออนุญาตปลีกตัวออกไปจากห้องประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปเพื่อประจำยังโต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องของภาคินนั่นเอง @ห้องทำงานภาคิน "เข้าไปคุยกับผมในห้อง" ภาคินพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะทำงานของมินตรา แกร๊ก!"ไปเสนอตัวให้พ่อผมถึงห้องเลยเหรอ?" ภาคินรั้งตัวร่างบางกระชากเข้าหากายพร้อมกับใช้ฝ่ามือของเขาบีบแขนเรียวบางของเธอจนเนื้อนุ่มบุ๋มยุบตัว "เงินที่ผมให้ใช้ในแต่ละเดือนมันขาดเหลือจนกระทั่งต้องยอมนอนกับผู้ชายที่มีสามีแล้วงั้นเหรอ?" "คุณภาคินพูดอะไรคะ? มินไม่เห็นจะเข้าใจเลย" มินตราไม่รู้ว่าตนจะต้องแสดงความ