พ่อบ้านเฉียนรวบรวมคำพูดแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า "ตอนนี้นายน้อยไม่มีอะไรต้องกังวล ดังนั้นเขาจึงประชันหน้ากับพวกเราได้เต็มที่ แต่ถ้าหลังบ้านเกิดไฟลุกไหม้ เขาก็จะเสียสมาธิแล้วพวกเราก็จะมีโอกาสขึ้นมา" "โอ้ พ่อบ้านเฉียนพูดถูก" มู่ฉินเห็นด้วยยิ่งนัก เธอถองข้อศอกใส่สามีตัวเอง "พูดอะไรบ้างสิ" เจียงอวี้จึงเอ่ยขึ้นมาว่า "เป็นความคิดที่ดีอยู่หรอก แต่… พวกเราจะจุดไฟหลังบ้านเจียงเย่าจิ่งได้ยังไงล่ะ นั่นต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญไม่ใช่รึไง?" นายท่านเจียงยังคงเงียบ เพราะเหตุผลเดียวกันนี้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจียงเย่าจิ่งกับซ่งอวิ้นอวิ้นจะมีความสัมพันธ์ที่ดี ประกอบกับมีลูกเพิ่มเข้ามา ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนแนบแน่นขึ้นไปอีก "ไม่เห็นจะยากเลย พวกเราก็แค่หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งลงไปท่ามกลางความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเสียก็ใช้ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" ถึงแม้ว่ามู่ฉินจะย่างเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่เสน่ห์ของเธอก็ยังคงอยู่ ประกอบกับการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทำให้ยากจะมองอายุที่แท้จริงของเธอออก เธอกลอกตาดำขลับ "ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง มือที่สามถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามที่สุดเลยเชียวล่ะ ถ้ามีมือที
ซ่งรุ่ยเจี๋ยเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า "พี่มาแต่เช้าขนาดนั้น คงรู้เรื่องนั้นแล้วใช่ไหม?" ซ่งอวิ้นอวิ้นไม่ได้ปิดบัง "ใช่" แววตาที่ไร้ชีวิตชีวาของซ่งรุ่ยเจี๋ย มองไปทางอื่นโดยไร้จุดมุ่งหมาย "ตำรวจมาถามเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วถามว่าผมได้เจอแม่หรือเปล่า" ซ่งอวิ้นอวิ้นฟังอยู่เงียบ ๆ ที่จริงเขารู้แก่ใจว่าเมื่อไป๋ซิ่วฮุ่ยถูกใครสักคนพาตัวออกไปก็หมดทางรอดแล้ว "นายต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะ" ซ่งอวิ้นอวิ้นไม่รู้ว่าจะปลอบใจเขาอย่างไรดี ซ่งรุ่ยเจี๋ยเงยหน้าขึ้น "แม่ผมตายเมื่อคืนนี้ พี่รู้เรื่องเร็วขนาดนั้นได้ยังไงกัน?" "ฉัน..." พอนึกถึงสิ่งที่เจียงเย่าจิ่งพูด เธอก็เปลี่ยนเปลี่ยนคำพูดเป็น "ฉันเพิ่งจะได้ยินตำรวจพูดถึงรู้น่ะสิ" "อ้อ" ซ่งรุ่ยเจี๋ยรู้ว่าเธอกำลังโกหกอยู่ชัด ๆ เธอกำลังปิดบังอะไรสักอย่างใช่ไหม? ทำไมต้องปิดบังด้วยเล่า? เพราะเธอรู้ว่าคนที่ฆ่าแม่ของเขาคือเจียงเย่าจิ่งอย่างนั้นเหรอ? ทำไมเธอไม่พูดอะไรเลยล่ะ? ตั้งใจที่จะปิดบังไม่ให้เขารู้ใช่ไหม? เขากำหมัดที่อยู่ใต้ผ้าห่มแน่น พลางรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ "ผมเสียใจด้วยนะ" ซ่งอวิ้นอวิ้นเอ่ยเสียงเบา ซ่งรุ่ยเจี๋ยยิ้มเหยีย
เมื่อซ่งรุ่ยเจี๋ยได้ยินเสียง เขาก็รีบซ่อนโทรศัพท์มือถือเอาไว้ใต้ผ้าห่ม เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนทั้งซ่งอวิ้นอวิ้นหรือหานซินก็ไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา! หานซินวางอาหารเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียง "เธอหิวหรือยัง? รีบมากินอาหารเช้าเถอะ" เมื่อหานซินพูดจบ เธอก็ค่อย ๆ หยิบอาหารที่เตรียมไว้ออกมา "ผมไม่อยากกิน ผมอยากอยู่คนเดียว" ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของซ่งรุ่ยเจี๋ยฉายแววเย็นชา ไม่ได้แสดงความเสียใจออกมานัก หานซินคิดจะเกลี้ยกล่อม แต่ซ่งอวิ้นอวิ้นเอ่ยขัดจังหวะหานซินได้ทันเวลา "แม่คะ ให้เขาอยู่คนเดียวสักพักเถอะ" หานซินกล้ำกลืนคำพูดเกลี้ยกล่อมกลับลงไปแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า "อาหารอยู่ตรงนี้นะ เธอหิวเมื่อไหร่ก็มากินล่ะ" ซ่งรุ่ยเจี๋ยไม่พูดอะไร หานซินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ "เฮ้อ" "พอเถอะค่ะ" ซ่งอวิ้นอวิ้นดึงตตัวหานซินออกไป "รุ่ยเจี๋ย นายก็พักผ่อนด้วยนะ" ซ่งอวิ้นอวิ้นปิดประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วบอกหานซินวว่า "รุ่ยเจี๋ยต้องการเวลาทำใจ เขากินอะไรไม่ลงหรอกค่ะ อย่าไปเกลี้ยกล่อมเขาเลย ไป๋ซิ่วฮุ่ยเป็นแม่ของเขา เขาคงรับไม่ได้ไปสักพัก นี่เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้" หานซินเข้าใจแล้ว "แม่รู้ แม่เป็น
ฮั่วซุนไม่มีทางเลือกนอกจากบอกเจียงเย่าจิ่ง เจียงเย่าจิ่งชะงักแล้วหันมามองฮั่วซุน "นายว่ายังไงนะ?" ฮั่วซุนทวนคำอีกครั้งแล้วพูดว่า "เขาคิดจะจับตัวหยางเชี่ยนเชี่ยน ทำยังไงดีครับ?" เจียงเย่าจิ่งยื่น "เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?" มู่ฉินพูดตรงเข้าประเด็น "ฉันได้ยินมาว่าตอนที่เธอตกน้ำ หยางเชี่ยนเชี่ยนช่วยเธอไว้ใช่ไหมล่ะ? ถ้าตอนนั้นเธอจมน้ำไปซะ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นของลูกชายฉันแล้ว เป็นหล่อนที่ทำลายเรื่องดี ๆ ของฉัน เธอคิดว่าฉันจะปล่อยหล่อนไปงั้นเหรอ?" "ต้องการอะไรก็ว่ามา" เจียงเย่าจิ่งพูดตามตรง "เอาล่ะ ในเมื่อเธอตรงไปตรงมาขนาดนั้น ฉันก็จะไม่พูดจาอ้อมค้อมกับเธออีก หยางเชี่ยนเชี่ยนเป็นผู้มีพระคุณของเธอใช่ไหมล่ะ? ฉันขอแลกเธอกับลูกชายของฉันว่ายังไงล่ะ?" มู่ฉินเอ่ยขึ้น หลังจากได้พบหยางเชี่ยนเชี่ยน เธอก็รู้ว่าหยางเชี่ยนเชี่ยนชอบเจียงเย่าจิ่ง ดังนั้นตอนนี้ทั้งสองคนจึงบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ตอนที่กำลังดำเนินแผนการครั้งนี้ มู่ฉินคิดว่าเธอสามารถใช้เหตุการณ์ครั้งนี้มาแลกเปลี่ยนเพื่อให้เจียงเย่าจิ่งยอมปล่อยลูกชายของเธอไป "ลูกชายของคุณไม่ไ
เจียงเย่าจิ่งรีบเดินออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด! เบื้องหลังของเขาคือเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวของหยางเชี่ยนเชี่ยน ฮั่วซุนรู้สึกสับสน เจียงเย่าจิ่งไม่ใช่คนโหดเหี้ยมแบบนั้น โดยเฉพาะคนที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก "คุณเจียงครับ?" เจียงเย่าจิ่งชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถแล้วพูดว่า "ไปบอกมู่ฉินว่าฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของลูกชายเธออีก" เมื่อสักครู่นี้เขาไม่แยแส เพราะคิดว่านี่อาจจะเป็นการแสดงละครตบตาของมู่ฉินกับหยางเชี่ยนเชี่ยน นี่เป็นการแสดงละครตบตากันชัด ๆ เพียงแต่มู่ฉินให้สัญญากับหยางเชี่ยนเชี่ยนว่าเธอจะไม่ถูกข่มขืน นั่นเป็นแค่คำหวานของเธอเท่านั้น เธอรู้ว่าการจะทำให้เจียงเย่าจิ่งเชื่อนั้น ลำพังแค่การแสดงละครตบตาย่อมหลอกเขาไม่ได้ ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่หยางเชี่ยนเชี่ยนตอบตกลงที่จะเล่นละครฉากนี้กับมู่ฉิน เธอก็ถูกลิขิตให้ต้องเสียความบริสุทธิ์แล้ว! ฮั่วซุนพยักหน้าอยู่เงียบ ๆ จากนั้นเขาก็รีบกลับไป ดูเหมือนว่าเขาจะมาช้าเกินไปเสียแล้ว น้ำเสียงของหยางเชี่ยนเชี่ยนฟังดูน่าสลดใจ แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องนำความมาบอกกล่าว มู่ฉินยิ้มราวกับคาดเอาไว้แล
ซ่งหยุนหยุนแต่งงาน แต่เจ้าบ่าวกลับไม่เคยออกมาปรากฏตัวเลยสีแดงของผ้าปูที่นอนและอักษรมงคลที่อยู่บนผนังนั้นเตะตา ราวกับฟาดเข้าที่ใบหน้าของเธออับอาย! ไม่ยอม!?แล้วอย่างไรล่ะ?ตั้งแต่เกิดมา ชีวิตของเธอก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น รวมไปถึงเรื่องการแต่งงานด้วยเพียงเพราะความโลภของพ่อ จึงทำให้เธอต้องแต่งงานกับตระกูลเจียงปู่ของเธอเคยเป็นคนขับรถของผู้เฒ่าเจียง แต่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เขาเสียชีวิตขณะพยายามช่วยผู้เฒ่าเจียงธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ ที่ต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโตและเผชิญหน้ากับภาวะล้มละลายนั้น พ่อที่ฉลาดหลักแหลมจึงรู้ดีว่า ถ้าเขาเอ่ยปากขอเงินจากตระกูลเจียง บุญคุณนี้ก็จะสิ้นสุดลงทันที ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีทำร้ายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยการขอให้เจียงเหยาจิง ซึ่งเป็นหลานชายของผู้เฒ่าเจียงแต่งงานกับเธอด้วยฐานะร่ำรวยของตระกูลเจียง สามารถมอบสินสอดก้อนโตให้เขาได้อย่างแน่นอนอีกทั้งยังได้ปรองดองกับตระกูลเจียงอีกด้วยตระกูลเจียงเองก็ไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวเสียหน้าเจียงเหยาจิงไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้มาก เขาจึงไม่ไปเข้าร่วมพิธีงานแต่งที่มีแค่สองตระกูล และห้ามไม่ให้เ
ผู้อำนวยการกล่าว “เธอคือเฉินเหวินเหยียน แพทย์ประจำการเมื่อคืนนี้ครับ” ฮั่วซุนเดินเข้าไปดูตารางงานของเฉินเหวินเหยียนแล้วพูดว่า “ตามผมมา” เฉินเหวินเหยียนสับสนเล็กน้อย “ไปไหนคะ...” “ตามไปเถอะ” ผู้อำนวยการไม่รีรอให้เธอถามต่อ พลันดึงเธอแล้วพูดว่า “อย่าปล่อยให้คุณเจียงรอนาน” ไม่นานเธอก็ถูกพาตัวไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการ เจียงเหยาจิงทิ้งตัวลงบนโซฟา ร่างสูงเพรียวสง่า หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็นริมฝีปากซีดของเขา ไอของน้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลปกปิดรอยเลือดบนร่างกายของเขา เขาสวมชุดสูทสีดำสนิท ใบหน้าดุดันเปล่งประกายรังสีอำมหิต แค่มองหน้าของเขาก็น่ากลัว! ผู้ช่วยเดินไปข้างหลังเจียงเหยาจิงแล้วโน้มตัวกระซิบ “มีคนจงใจทำลายเทปบันทึกกล้องวงจรปิดของเมื่อคืนนี้ทั้งหมดครับ น่าจะป็นคนที่ไล่ล่าคุณ คงกลัวว่าจะทิ้งหลักฐานไว้ ส่วนผู้หญิงคนนี้คือแพทย์ประจำเวรเมื่อคืนครับ เธอชื่อเฉินเหวินเหยียน ผู้อำนวยการยืนยันว่าเธอเป็นคนเข้าเวร ผมเองก็เพิ่งไปตรวจสอบในเครื่องบันทึกเวลาทำงาน เธอเป็นคนที่เข้าเวรเมื่อคืนจริง ๆ ครับ” เจียงเหยาจิงเงยหน้ามอง เฉินเหวินเหยียนสูดลมหายใจ คน ๆ นี้คือเจ้าของเทียนจูกรุ๊
คนที่โทรมาคือพี่ชายคนสนิท ทั้งสองจบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์แห่งเดียวกัน แต่เขาจบก่อนเธอสองปี เขาเคยไปเรียนที่ต่างประเทศ และตอนนี้ก็มีชื่อเสียงมากในจีน เขาดูแลตัวเองอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นจึงถือได้ว่าทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน “ว่าไงคะ” เธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว “พี่มีคนไข้ แต่ตอนนี้พี่ติดธุระด่วนไปไม่ได้ เธอช่วยไปแทนพี่หน่อยสิ” ซ่งหยุนหยุนเหลือบดูนาฬิกา วันนี้เธอไม่มีเคสรักษาคนไข้นอก ช่วงบ่ายมีผ่าตัดสองเคส ดังนั้นเธอจึงว่างในช่วงเช้า “โอเคค่ะ” “ที่อยู่คือ สวนกุหลาบ เฟสเอ ห้องสามศูนย์หก เธอแค่บอกเขาว่ามาหาคุณฮั่ว คนเฝ้าประตูจะแจ้งเอง” “อืม” “อย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ และอย่าถามคำถามอะไรมาก เธอแค่รักษาเขาก็พอ” ฝั่งนู้นกำชับมา “เข้าใจแล้วค่ะ” ซ่งหยุนหยุนรับปาก หลังจากวางสายโทรศัพท์ เธอก็นั่งแท็กซี่ไปยังสถานที่แห่งนั้น ที่แห่งนี้คือเขตพื้นที่ระดับไฮเอนด์ ที่มีการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับสูง คนเฝ้าประตูกันเธอไว้ เธอจึงบอกว่ามาหาคุณฮั่ว คนเฝ้าประตูจึงโทรไปยืนยันก่อนที่จะให้เธอเข้าไป เธอกดกริ่งที่ห้องสามศูนย์หก ประตูเปิดอย่างรวดเร็ว ฮั่วซุนขมวดคิ้ว