ลิ้นสาก ๆ ของชายหนุ่มจงใจลากผ่านแอ่งชีพจรบนข้อมือของลลิตรา เธอชาวาบเหมือนโดนไฟช็อต ดึงมือออกอย่างแรงแต่อธิปก็จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยนะ! ปล่อย!”
เธอกัดฟันบอก ไม่ได้กลัวเขามากเท่ากลัวคนอื่นเดินเข้ามาเห็น
ไม่กี่นาทีก่อน ทุกคนยังสลอนกันอยู่ในครัว เธอเองที่ออกปากให้ทุกคนกลับไปพักเพราะเกรงใจที่ทำงานกันมาทั้งวันยังมาช่วยเธอทำขนม
แต่ตอนนี้เธออยากตะโกนเรียกให้ทุกคนกลับมาจริง ๆ
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า
ปกติเวลาหลังอาหารมื้อเย็น เมื่ออรรถกับลินดารับประทานอาหารเสร็จแล้ว คนในครัวก็จะช่วยกันเก็บล้างทำความสะอาดและแยกย้ายกันไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน ถือว่างานวันนั้นได้เสร็จสิ้น
แต่วันนี้ ทั้งแม่ครัว แม่บ้าน และคนงานทุกคนที่พักอยู่ที่เรือนเล็กด้านหลัง มาออกันอยู่ในครัวเพื่อช่วยลลิตราทำขนม
“ป้าเดือนคะ ไม่ต้องช่วยลูกอมจริง ๆ ลูกอมทำเองได้”
ลลิตราพยายามบอก
“ปกติลูกอมก็ทำเองนะคะ แล้วป้ากับคนอื่น ๆ ก็ทำงานกันมาทั้งวันแล้ว ลูกอมไม่รบกวนหรอกค่ะ นี่พูดจริง ๆ นะคะนี่”
ป้าเดือนกำลังจะอ้าปากตอบ แต่หลานสาวที่เป็นผู้ช่วยแม่ครัวนามว่าน้ำค้างพูดขึ้นมาก่อน
“คุณเขาก็พูดถูกนะป้า เขาจ้างเรามาทำอาหารให้คุณท่าน ไม่ได้จ้างให้มาช่วยใครทำขนม แทนที่จะได้พัก...”
“ก็ถ้าเอ็งอยากพักก็กลับไปพักสิ ใครว่าอะไรล่ะ”
ป้าเดือนตอบหลานสาวเสียงดุ
“พวกเอ็งทุกคนก็เหมือนกัน ข้าไม่ได้เกณฑ์ให้มาช่วยคุณหนู วันนี้ข้าแค่ว่าง ๆ แล้วก็ยังไม่ง่วงไม่เหนื่อย ก็เลยอยากอยู่ดูว่าคุณหนูเค้าจะทำอะไรยังไง ใครไม่อยากอยู่ก็กลับไปสิวะ ใครจะห้าม”
“งั้นฉันไป”
น้ำค้างบอกก่อนจะเดินออกจากครัว ไม่สนใจอะไรใครทั้งนั้น
ป้าเดือนก็ไม่สนใจหลานสาวแท้ ๆ คนนี้เหมือนกัน หันมาช่วยลลิตราเช็ดและเจียนใบตองต่อ
“ป้าไม่ได้ทำขนมกินแบบนี้มานานแล้ว เมื่อก่อนสมัยอยู่บ้านล่ะทำบ่อย”
“หมายถึงบ้านที่ไหนหรือคะ”
ลลิตราชวนคุย แม่ครัวคนอื่น ๆ ที่อาบน้ำอาบท่าแล้วก็นั่งพับเพียบแปล้คอยช่วยอยู่ใกล้ ๆ ไปด้วย
“ลำพูนจ้ะ นี่ก็คนลำพูนกันเกือบทั้งหมดเลยนะ ป้าก็คนลำพูน ไอ้ดาวนั่นก็น้องชายป้ามาด้วยกัน ไอ้น้ำค้างนั่นก็หลาน ลูกพี่ชาย ส่วนน้ำตาลนี่ก็ญาติ...”
ป้าเดือนแนะนำทุกคนที่อยู่ในครัวตอนนั้นอีกรอบ น้ำตาลส่งยิ้มมาให้ ไม่กี่วันที่เจ้านายคนใหม่มาอยู่ที่นี่ ก็มีน้ำตาลนี่แหละที่กลายเป็นคนสนิทที่สุดของคุณลินดาไปเสียแล้ว
“สาว ๆ ป้าเคยทำขนมขาย ทำได้แทบทุกอย่างเลยนะ ดีจริงไม่คิดว่าสาว ๆ อย่างคุณหนูก็จะทำขนมขายเหมือนกันด้วย”
“หนูขายทางออนไลน์ค่ะ”
หญิงสาวบอก น้ำตาลจึงหันไปบอกคนเป็นป้าว่าหมายถึงสั่งซื้อได้ทางโทรศัพท์ อย่างที่ป้าฝากให้เธอทำอยู่ทุกเดือนนั่นแหละ
“แล้วใครมาซื้อหรือคะ”
เด็กสาวถามอย่างสงสัย
“ส่วนใหญ่ก็เป็นโรงเรียน บริษัท หน่วยงานราชการอะไรพวกนี้จ้ะ เขาสั่งทีละร้อย ๆ ชุดอย่างที่เห็นนี่แหละ เอาไปเป็นขนมกินตอนเบรกประชุมอะไรแบบนี้”
ลลิตราตอบพลางมือก็พับกระทงใบตองไปพลาง
กลิ่นหอมของกะทิกับเผือกข้าวโพดนึ่งหอมตลบอบอวลไปทั้งครัว ออเดอร์วันพรุ่งนี้คือตะโก้เผือกและตะโก้ข้าวโพด ส่วนน้ำอัญชันมะนาวและน้ำตะไคร้ก็ต้มเสร็จแล้วแค่รอให้เย็นแล้วค่อยกรอกลงขวดใบเล็กขนาดน่ารัก
“แล้วป้าเดือนยังจำสูตรขนมได้ไหมล่ะคะ”
“จำได้สิคะคุณหนู ไม่มีลืมหรอก ถ้าให้ทำอีกก็ทำได้”
“ดีจัง” ลลิตรายิ้มดีใจ “คราวหน้าถ้าลูกอมคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรใหม่ ๆ ก็มาถามป้าดีกว่า สูตรที่ลูกอมทำก็จำ ๆ ดู ๆ มาจากในอินเทอร์เน็ต ถ้าได้สูตรจากคนรุ่นเก่า ๆ น่าจะอร่อยกว่าเยอะ”
“เขาบอกว่าพี่แก่แน่ะ”
น้าเดือนที่นั่งกินข้าวอยู่ด้านหลังเพราะมาทีหลังคนอื่นเอ่ยขึ้นมา เลยโดนพี่สาวแท้ ๆ ที่เป็นหัวหน้าแม่ครัวด่ากลับไปหนึ่งทีเป็นภาษาเหนือ
เสียงหัวเราะในครัวฟังแล้วครื้นเครง ลลิตราทำขนมเผื่อทุกคนในบ้านด้วยเพราะถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ายาของแม่ สามารถทำเกิน ๆ เพื่อแบ่งคนที่บ้านกินได้
แต่จู่ ๆ เสียงหัวเราะก็หยุดชะงักเมื่อใครบางคนเดินเข้ามาในครัว คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยลงมาเหยียบที่นี่
“คุณอาร์ต...จะรับอะไรหรือคะ”
ป้าเดือนรีบเอ่ยถาม ลลิตราที่นั่งหันหลังให้ตัวแข็งขึ้นมาทันที สักพักก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มตอบ
“มาหาป้าเดือน ไม่อยู่เหรอ”
“ป้าเดือนแกลากลับสุโขทัยไปเมื่อเช้านี้ค่ะ ไปช่วยงานบวชหลาน อีกสองสามวันถึงจะกลับ คุณหนูจะให้ป้าทำอะไรให้ทานไหมคะ”
หัวหน้าแม่ครัวถามอย่างใส่ใจเพราะคิดว่าที่เจ้านายลงมาถึงที่นี่คงเพราะหิว เพราะเมื่อมื้อเย็นอธิปยังไม่กลับบ้าน
ชายหนุ่มยังไม่ตอบ แต่เดินเข้ามาในครัวช้า ๆ ทุกคนนิ่งเงียบและก้มหน้าก้มตา นอกจากป้าอ้อม น้าดาว กับป้าเดือนที่อยู่ที่นี่มานานกว่าใคร ก็ไม่มีใครคุ้นเคยกับชายหนุ่มนัก
ยิ่งสามเดือนที่อธิปเพิ่งกลับมา ก็ปะทะคารมกับคุณอรรถไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง พวกเด็ก ๆ แม่บ้านแม่ครัวจึงค่อนข้างหวาด ๆ คุณอาร์ต แม้ว่าตอนแรก ๆ จะตกตะลึงในความหล่อของเจ้านายหนุ่มลูกครึ่งก็ตามที
“แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่ ที่บ้านจะมีงานหรือไง”
“เปล่าหรอกค่ะ กำลังช่วยคุณหนูลูกอมทำขนมค่ะ”
“ทำไปทำไม”
อธิปถามเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ทำขาย” หนนี้ลลิตราเป็นฝ่ายตอบเอง ห้วน ๆ และไม่มองหน้าเขา
“แล้วไง เธอจ่ายเงินจ้างแม่ครัวของบ้านฉันให้มาช่วยเธองั้นเหรอ”
“เปล่า พวกเขามาช่วยด้วยน้ำใจ”
หนนี้เธอเงยหน้าขึ้นมองตอบเขา แววตาเริ่มจะเอาเรื่อง
“อ้างคำว่าน้ำใจ แต่ความจริงคือขูดรีดแรงงาน ใช้งานฟรี พวกนี้เขาทำงานกันมาทั้งวันแล้วยังต้องมาช่วยเธอทำงานส่วนตัวอีกสินะ”
“พวกป้าอาสาเองค่ะคุณอาร์ต ป้าอาสาเอง”
ป้าเดือนรีบบอกก่อนสองคนจะเถียงกันไปมากกว่านี้ แต่อธิปไม่ยอมด้วย
“ผมรู้ป้ามีน้ำใจ แต่วันนี้ถือว่าผมขอ... ให้ลูกสาวคนใหม่ของพ่อผมเขาได้เรียนรู้ซะบ้างว่า แค่มาอยู่ที่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นคนจ่ายเงินเดือน”
“ค่ะ ค่ะ คุณลูกอมไม่ได้ขอหรอกค่ะ ป้าดื้อจะช่วยเอง...”
ป้าเดือนยังพยายามจะอธิบายต่อ แต่น้าดาวที่รีบอิ่มข้าวทันทีค่อย ๆ ย่อตัวเข้ามาสะกิดพี่สาว
คนอื่น ๆ ที่เหลือก็เริ่มเลิกลั่ก ไม่รู้จะทำตัวยังไงให้ถูกใจลูกชายคนจ่ายเงินเดือน
“ทุกคนกลับไปพักได้แล้ว เดี๋ยวตรงนี้ผมจะอยู่ช่วยน้องสาวผมเอง”
“เอ่อ...”
ป้าเดือนยังลังเล แต่เมื่อน้องชายสะกิดอีกรอบบวกกับเริ่มรับรู้ถึงสีหน้าบึ้งตึงของนายจ้างอย่างอธิป หนึ่งนาทีต่อมาทุกคนก็หายหน้ากลับเรือนพักไปจนหมด
เหลือเพียงชายหนุ่มกับหญิงสาวอยู่ในครัวกันตามลำพัง
ลลิตราไม่แลเขา กระทงพับเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่ตักเนื้อข้าวโพดที่กวนรอไว้แล้วใส่ไปในกระทงแล้วค่อยหยอดกะทิปิดท้ายเท่านั้น เธอลุกขึ้นไปที่เตา เปิดหม้อข้าวโพดกวนที่ยังระอุอยู่
“เอ๊ะ!”
หญิงสาวอุทานเมื่อจู่ ๆ เงาดำ ๆ สูง ๆ ปราดมาใกล้ ลลิตราสะบัดทัพพีออกไปด้วยสัญชาติญาณ เสียงโลหะกระทบพื้นดังแกร๊ง เนื้อข้าวโพดอุ่นจัดเปรอะเลอะแขนข้างหนึ่ง เธอรีบตรงไปที่ก๊อกน้ำแล้วเปิดล้างทันที
อธิปขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูจากไออุ่น ๆ ที่ลอยจากหม้อก็พอเดาอุณหภูมิได้ เขาก้าวยาว ๆ แค่สองก้าวก็ไปยืนอยู่ข้าง ๆ เธอที่อ่างล้างมือ
ลลิตราผงะหนีเขาอีกรอบ แต่หนนี้เขาจับข้อมือเธอไว้ทันและไม่ยอมปล่อยโดยง่าย
“นาย! ปล่อยนะ”
“ไม่ต้องโอเวอร์แอ็กติ้ง ฉันแค่จะดูแขน มันร้อนไม่ใช่หรือไง”
“เรื่องของฉัน!”
“ประเดี๋ยวเธอก็จะตีหน้าเศร้าเล่าให้พ่อฉันฟังอีกว่าเจ็บตัวเพราะฉันอีกแล้ว เพราะงั้นเอามือมานี่ มาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้”
เขาสั่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดและเริ่มโมโห ลลิตรายื้อยุดแต่แค่มือข้างเดียวของเขาก็มีกำลังมากกว่าเธอพยายามออกแรงทั้งตัวเสียอีก
“แขนเธอโดนลวกนี่”
คิ้วเข้ม ๆ ของอธิปขมวดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นเนื้อขาวผ่องเริ่มมีรอยปื้นแดงจาง ๆ ลลิตรากำลังจะสั่งให้เขาปล่อยแขนเธออีกครั้งแต่ก็พลันชาวาบเหมือนโดนไฟช็อต... เร็วเหมือนโดนตัวอะไรฉก เมื่ออธิปดึงแขนเธอขึ้นไปจรดริมฝีปากเขา แล้วแลบเลียข้อมือแดง ๆ นั้นอย่างอ้อยอิ่ง
ลลิตราช็อกตาตั้ง
“ไอ้บ้า! ปล่อยนะ”
“ฉันปฐมพยาบาลเธออยู่นะ”
เขาเอ่ยอีก และครั้งนี้จงใจตวัดลิ้นสากลากผ่านข้อมือบางอย่างเน้น ๆ
ลลิตราทนไม่ไหวแล้ว เธอเต้นเร่า ๆ เพื่อให้เขาปล่อยมือจากแขนเธอ
แต่อธิปออกแรงอีกเพียงนิดเดียว เธอก็ไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว และก่อนจะทันรู้ตัว จมูกโด่งแหลมก็ก้มลงมาเฉียดขมับ เสียงกระซิบของเขาดังชัดอยู่ข้างหู
“ตัวเธอหอมขนม...น่ากินดีจัง”
ลลิตราหูอื้อไปหมดแล้ว เธอรวบรวมกำลังใจเฮือกสุดท้าย ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบเท้าเขาไปเต็มแรง มันได้ผลเพราะอธิปยอมปล่อยมือทันที... เมื่อเป็นอิสระลลิตราก็วิ่งออกจากห้องครัว เรื่องขนมเอาไว้ก่อน ตอนนี้คือเธอต้องเอาตัวออกมาให้ห่างไอ้คนลามกจกเปรตนี่ นี่เธอต้องตัดแขนทิ้งเลยมั้ย มันจะติดเชื้อหรือเปล่า...ลลิตราโวยวายในใจระหว่างที่วิ่งเตลิดหนีหายไป
ในห้องครัว อธิปเผลอเลียริมฝีปาก หัวเราะหึ ๆ เขาสูดหายใจลึกตั้งสติอยู่สองสามนาทีก่อนจะเดินไปเคาะประตูเรียกหาป้าเดือนอีกรอบ
“คะคุณอาร์ต?”
ป้าเดือนที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่กับน้ำตาลรีบเปิดประตูออกมาทันที
“คุณหนูลูกอมของป้าคงปวดหัวหรือไม่ก็ปวดท้อง ปวดฟัน วิ่งกลับเข้าบ้านไปหายาแล้ว...”
“อ้าวแล้ว...”
“ป้ากับเด็ก ๆ ไปช่วยกันทำที่เหลือให้เสร็จได้ไหม ไม่งั้นยัยนั่นไม่มีของไปส่งลูกค้าโดนฟ้องตายเลย ป้าทำเป็นใช่ไหม”
“เป็นค่ะ ทำได้ค่ะ เอ...แกเป็นอะไรไปนะเมื่อกี้ยังดี ๆ แท้ๆ”
อธิปไม่ตอบ ตายังเป็นประกายรื่นเริงมุมปากเผลอยกยิ้มเล็กน้อยตอนที่ล้วงกระเป๋าเสื้อและกางเกง ได้แบงค์ยู่ยี่กับเหรียญมากำนึงส่งใส่มือป้าเดือน
“ช่วยหน่อยก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมจ่ายทิปพิเศษให้...ทำไงก็ได้ให้มีของส่งลูกค้าพรุ่งนี้”
“ได้ค่ะคุณอาร์ต ป้าทำได้ ไม่ต้องให้เงิน...”
“รับไปเถอะครับ ผมมีติดตัวแค่นี้ เดี๋ยวผมเอามาให้อีก...ขอบคุณนะครับป้า”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มไพเราะเป็นครั้งแรกกับป้าเดือน ผู้สูงวัยถึงกับงงงันไปครู่ เพิ่งรู้ว่าคนเย่อหยิ่งอย่างคุณอาร์ตคนนี้ก็ทำเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ก็เป็น
ลลิตรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปมากกว่าแรงปรารถนาทางเพศ เพราะมันทำให้เธอและเขาโยนตรรกเหตุผลทุกอย่างทิ้งไป เหมือนโลกนี้เหลือเพียงร่างกายของกันและกันให้เกาะเกี่ยว อธิปโจนจ้วงตักตวงเอาอย่างไม่รู้อิ่ม เสียงร้องของลลิตราแหบแห้ง หมอนใบหนาต้องทำหน้าที่ซับเสียงกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉัน... ฉันไม่ไหวแล้วนะ” เธอพูดขึ้นมาเมื่อเขาทำท่าจะเริ่มโรมรันอีกรอบ ไม่รู้แล้วว่ามันกี่โมงกี่ยาม รู้แค่ว่าอธิปกับเธอแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย มีเพียงภาษากายเท่านั้นที่แสดงออกและตอบโต้กันไปมา “อยู่เฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวฉันทำเอง” “นายไปกินอะไรมา เอาแรงมาจากไหนนักหนา เห็นฉันเป็นที่ระบายอารมณ์หรือยังไง” “เธอไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ แต่ฉันมีอารมณ์เพราะเธอต่างหากลูกอม" ทั้งที่กอดรัดกันมาไม่รู้เท่าไร ลลิตราก็ยังหน้าแดงได้อีกด้วยคำพูดของเขา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบของใกล้มือ ก่อนจะสบถออกมา “บ้าเอ๊ย ถุงยางหมดซะได้” เขาลังเลจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าตอนนี้ ถ้ากลับไปเอาถุงยางอนามัยที่อยู่บนห้องนอนก็กลัวจะขาดตอน แต่ครั้นจะให้มีอะไรกับเธอโดยไม่ป้องกันก็เสี่ยงเกินไป ไม่คิดว่าลลิตราจะเอื้อมมือสัมผัสเขา เขาสะดุ้งเล
"แต่ถ้ารวมหุ้นของพี่ชลกับแม่เข้ามาด้วยกัน...""ก็ยังไม่พออยู่ดี"ชลธิชาบอก สีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้หวงหุ้นในส่วนของตัวเองอีกแล้ว นาทีนี้การรักษาอำนาจในบริษัทไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"อาชัชคงคิดดักเอาไว้แล้วทุกทางนั่นแหละ เผลอๆ ที่พ่อล้มไป จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้""คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชล"โชติรสพยายามเรียกสติ"อาชัชอาจจะขี้อิจฉาก็จริง แต่คงไม่ถึงกับลงมือทำอะไรแบบนั้น...เอาไว้ฉันขอเวลาคิดสักนิด ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"สองพี่น้องสบตากัน น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชลธิชากับโชติรสเพิ่งจะดูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ* * * * * "ปิ่นโตค่ะ"เสียงมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้นข้างหลัง ลลิตราที่กำลังตัดแต่งไม้แขวนหน้าเรือนจึงหันกลับมาแล้วก็พบว่าน้ำค้างเป็นคนนำอาหารกลางวันมาให้วันนี้ เด็กสาววางเถาลงบนม้านั่งหน้าเรือนอย่างไม่ใส่ใจ"หนูวางตรงนี้นะ""ขอบใจจ้ะ วันนี้น้ำตาลไปไหนล่ะ"ลลิตราก็ทักถามไปอย่างนั้นเอง ใครจะเป็นคนเอาข้าวมาส่งก็ไม่มีปัญหา ให้เธอเดินไปยกสำรับกับข้าวมาเองยังได้เลยถ้าป้าเดือนไม่ห้ามไว้เสียก่อนแต่เหมือนน้ำค้างรอคำถามนั้นอยู่แล้ว มุมปากเด็กสาวยกยิ้มเล็กน้อ
"ว่ายังไงนะ"ชัชวาลถามย้ำแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกแม้โชติรสจะไม่ได้แสดงความต้องการจะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เธอถึงกับออกไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ หญิงสาวอาจนึกขึ้นมาได้เอง หรือมีใครมากระซิบบอก ว่าควรจะต้องปกป้องอำนาจของบิดาไว้ปลายสายที่โทรหาชัชวาลย้ำถึงประโยคที่ตัวเองได้ยินที่โต๊ะอาหารกรรมการบริษัทวัยห้าสิบฟังครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามกลับ"แล้วทำไมนายถึงกล้าเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน""ไม่มีอะไรมากไปกว่าผมต้องการเห็นความอยู่รอดของบริษัทครับ ถ้าบริษัทรอดผมก็รอดไปด้วย"ที่แท้คนที่โทรมาคือกิตติทัศน์ เขาพูดอย่างลื่นไหลสมกับที่เคยเป็นพนักงานขายระดับท้อปเซลล์ชัชวาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มเหยียดเล็กน้อย แต่ก็ยังถามกลับไปอย่างอารมณ์ดี"แล้วนายคิดว่าใครล่ะที่จะพาบริษัทรอด""ถ้าให้เรียนตามตรง เมื่อก่อนก็ต้องเป็นท่านประธานชาญนั่นแหละครับ แต่ตอนนี้พ่อตาของผมท่านก็ล้มป่วยกะทันหันเสียด้วยไม่ทันได้ฝากฝังอะไรกับใครกว่าจะฟื้นมาเป็นปกติได้ก็คงอีกนานเป็นปีผมเองก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ในเมื่อพ่อตาของผมอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่ากับท่า
การล้มป่วยของนายชาญ วรเศรษฐกุลเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิด แม้แต่เจ้าตัวเองก็เช่นกัน แม้อายุจะเกือบเข้าเลขหกแล้วแต่ชาญเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลาทั้งรูปร่างหน้าตาและสุขภาพภายใน ทุกหกเดือนที่ตรวจร่างกายไม่เคยมีสัญญาณความป่วยไข้ใดๆ แม้แต่น้อย เผลอๆ เขายังจะแข็งแรงกว่าวิภาที่เป็นเมียด้วยซ้ำเมื่อเส้นเลือดในหัวใจของเขาแตกและต้องพักฟื้นยาวๆ แบบนี้ ทั้งเมียและลูกก็ถึงกับช็อกกันไปหมด สภาพที่อ่อนแอลงภายในข้ามคืนของสามีทำให้วิภาต้องกลั้นน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนสงสารผัวหล่อนเหลือเกิน โชคดีที่หล่อนเป็นคนแข็ง จึงตั้งสติได้ไวโชติรสก็เหมือนจะได้เลือดแม่ด้วยเพราะแม้หวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็ไม่แสดงออกมากนัก...ไม่เหมือนชลธิชา รายนั้นทำท่าเหมือนชาญอาการเพียบหนักไปเสียแล้ว"พ่อฟื้นก็จริง แต่ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง..."ชลธิชาทุ่มเถียงกับน้องสาวตอนที่อยู่กันตามลำพัง ท่าทางคนเป็นพี่ทั้งกังวล เครียด และใจเสีย อาจเพราะบิดาคือคนที่ตามใจและเหมือนจะเข้าใจเธอทุกอย่างมาตลอด เป็นไปได้ว่าชลธิชาอาจจะผูกพันและรักพ่อมากกว่าที่ทุกคนเห็น"ก็แค่ช่วยพักฟื้น การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะพี
หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต