เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นกลางดึก อธิปที่อยู่ในชุดกางเกงนอนผ้าฝ้ายบาง ๆ ตัวเดียวยังไม่หลับ เขาขมวดคิ้วพลางเดินไปเปิดประตู...
'เธอ?'
ชายหนุ่มแปลกใจ เพราะคนที่ยืนเงยหน้าจ้องมองเขาอยู่คือลลิตรา
'เรื่องขนม ฉันจัดการให้แล้วนะ'
'ฉันรู้แล้วค่ะ'
'ถ้ารู้แล้วมาเรียกฉันดึก ๆ ดื่น ๆ ทำไมอีก'
ลลิตราเดินเข้ามาในห้องนอนของเขาโดยไม่รอให้อนุญาต อธิปที่เป็นเจ้าของห้องมองอย่างงุนงงแต่ก็ยอมหลีกทางให้โดยดี เนื้อตัวของเธอยังมีกลิ่นหอมของขนมอยู่เลย... หอมจนเขาอยากตวัดลิ้นชิมอีกสักหลาย ๆ ครั้ง
'คุณทำแบบนั้นกับฉัน คุณต้องรับผิดชอบ'
เขาสะดุ้ง เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยากจะทำอะไร
ยังไม่ทันได้ถามว่าเขาจะต้องรับผิดชอบอย่างไร ลลิตราก็โผเข้ามาหา อธิปกางแขนรับร่างนุ่มนิ่มนั้นไว้โดยไม่ทันรู้ตัว พริบตาเดียวเขาและเธอก็ล้มกลิ้งไปบนเตียง
'ลูกอม...เธอจะทำอะไรน่ะ'
เขาตั้งสติฝืนถามออกไปทั้งที่ใจยังเต้นแรง
'คุณเลียแขนฉัน?'
'ก็ใช่...'
'คุณต้องรับผิดชอบ!'
ชายหนุ่มไม่เข้าใจ แต่วินาทีต่อมาเขากับเธอก็แลกลิ้นกันอุตลุต อธิปบดเบียดความเป็นชายที่แข็งขึงเต็มที่เข้าหาร่างนุ่มนิ่ม มันลึกเข้าไป ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป จน...
"อ๊าาา..."
เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงคำรามของตัวเองที่ดังทะลุออกมาจากในความฝัน น้ำสีขาวอุ่นขุ่นเข้มกระฉูดจนเลอะกางเกงนอน หัวใจยังเต้นแรง หอบแฮ่กเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรักมาจริง ๆ
"เ-ชี่-ย-ไรวะนี่"
ชายหนุ่มครางออกมา ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่เขาฝันงั้นหรือ...?!?
แถมในฝันยังเป็นยัยลูกอม ยัยลูกแม่เลี้ยงที่แสนจะไร้ราคาคนนั้น แค่เพราะเขานึกอยากจะแกล้งยัยบ้านั่นแค่นิดเดียว ถึงกับตามมาหลอกมาหลอนกันแบบนี้
อธิปก่นด่าตัวเองไม่เลิกตอนที่ลุกจากเตียง สลัดกางเกงออกแล้วรีบพาตัวเองไปอยู่ใต้ฝักบัวอาบน้ำ
เปิดน้ำราดรดตั้งแต่หัวลงมาเผื่อว่าน้ำเย็น ๆ จะดับความร้อนรุ่มและอารมณ์ติดค้างที่ตามออกมาจากความฝัน
* * * * *
"อ้าวอาร์ต นี่เพิ่งตื่นหรือเพิ่งกลับล่ะ"
นายอรรถ รชต ชายผู้ซึ่งตื่นตีห้ามาออกกำลังกายทุกวันเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว เอ่ยทักลูกชายที่เดินมาเจอกันหน้าโถงบันได ที่ถามอย่างนั้นเพราะลูกชายไม่ได้ใส่ชุดนอน แต่แต่งตัวเหมือนพร้อมจะออกจากบ้าน
อธิปสีหน้าไร้อารมณ์ เขาหลีกเลี่ยงที่จะเจอลลิตราจึงออกบ้านมาแต่เช้ามืด ลืมคิดไปว่านอกจากแม่บ้านกับคนงานแล้ว พ่อของเขาก็เป็นมนุษย์ตื่นเช้าด้วยเหมือนกัน
"ผมจะไปเชียงใหม่"
คนเป็นลูกตอบไม่ตรงคำถาม อรรถนิ่งไปนิดก่อนถามต่อ
"ไปยังไง สายการบินอะไร"
"โลว์คอสต์" ประโยคนี้จงใจกวนคนเป็นพ่อ แต่อรรถยิ้มออกมาได้
"ไปสยามเจ็ตสิ เดี๋ยวพ่อโทรบอกเลขาให้..."
"ผมไม่มีตังค์หรอกนะ สายการบินของพ่อน่ะมันสำหรับคนรวยนั่งไม่ใช่หรือ"
อรรถหัวเราะส่ายหน้า
"พ่อจะไม่ถามว่าแกไปเชียงใหม่ทำไม แต่อยากให้แกนั่งสนามเจ็ตไป... แกเป็นลูกชายเจ้าของสายการบิน ถึงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ช่วยสร้างภาพให้พ่อหน่อยก็ดี"
อธิปใช้ลิ้นกระพุ้งแก้ม สีหน้าครุ่นคิด แต่อาจเพราะยังเช้าเกินไป สมองเขายังไม่ตื่นเต็มที่พอที่จะกวนโมโหคนเป็นพ่อได้ สุดท้ายเลยยอมพยักหน้าไปแกน ๆ
"ก็เอาสิ พ่อโทรบอกคนของพ่อก็แล้วกัน ผมจะให้น้าดาวไปส่งสนามบิน..."
อธิปพูดแล้วก็เดินตัวปลิวลงบันไดไป ไม่มีแม้กระเป๋าเดินทางหรือเป้สักใบติดตัวไปด้วย แต่อรรถไม่แปลกใจนักหรอก
วูบหนึ่งเขาอยากห้าม เพราะพอจะเดาได้ว่าลูกชายจะไปทำอะไรที่เชียงใหม่... แต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย
ครั้งหนึ่งเขาเคยยุ่มย่ามในชีวิตของภรรยาคนแรกมากเกินไป จนเธอทนไม่ได้และไปจากเขา อรรถไม่อยากทำผิดซ้ำอีก แม้หลายครั้งจะไม่พอใจการกระทำของอธิป แต่เขาก็เลือกจะให้อิสระให้ลูกชายได้คิด ตัดสินใจ และเรียนรู้ถูกผิดเอาเอง
ตอนนั้นอรรถไม่คิดเลยว่าการที่เขาเลือกเลี้ยงลูกแบบนี้ มันกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนมาทำลายอีกหลาย ๆ คนโดยไม่ได้ตั้งใจ
* * * * *
โชติรสเพิ่งกลับมาทำงานหลังลาพักร้อนไปสองสัปดาห์ และเพื่อนสนิทคนหนึ่งก็ขอแลกไฟลท์ เที่ยวบินไปเชียงใหม่วันนี้จึงมีหญิงสาวมาเป็นพนักงานต้อนรับด้วยแทน
"ทำไมทุกคนดูตื่นเต้นกันจัง วันนี้มีอะไรหรือพี่มด"
โชติรสถามหัวหน้าพนักงานต้อนรับฯ ของเที่ยวบินนี้ มือก็จัดระเบียบสิ่งของต่าง ๆ ไปด้วย
"มีวีไอพีมาบินด้วย"
มดตอบยิ้ม ๆ
"ใครล่ะ"
"ลูกชายแชร์แมน"
มือบางเรียวสวยที่ตัดเล็บสั้นเป็นระเบียบชะงักไปเล็กน้อยแต่ใจเต้นแรงตึกตัก
"ลูกชายแชร์แมน? ลูกคุณอรรถเหรอ"
"ใช่จ้ะ พวกสาว ๆ ตบแป้งกันใหญ่ นี่พี่ก็ยังไม่เคยเจอตัวจริงหรอกนะ แต่เห็นในรูปแล้วหล่อเชียว หน้าเข้มคล้ายคุณอรรถ แต่ดูเหมือนลูกครึ่ง ภรรยาคุณอรรถท่านเป็นฝรั่งเหรอ"
"อืม โชก็ไม่ทราบเหมือนกัน..."
โชติรสตอบเหมือนไม่ใส่ใจและหันเหไปทำอะไรอย่างอื่นต่อทั้งที่ใจอยากจะกรี๊ดออกมา
'ผู้ชายคนนั้นน่ะ! ฉันกินมาแล้วนะยะ แค่คิดก็ยังจุกถึงคอเลยตอนนี้!!!
* * * * *
แอร์บัส เอ สามสองศูนย์ ลำสีขาวจอดเทียบบัสเกตเหมือนทุกเที่ยวบิน อธิปขึ้นเครื่องตามขั้นตอนเหมือนผู้โดยสารทั่วไป ต่างกันเพียงไม่มีใครมองเขาเป็น "ผู้โดยสารทั่วไป" ที่นั่ง 1A ในชั้นธุรกิจ ถูกจัดไว้ให้ล่วงหน้า เบาะหนังสีเทาอ่อนสะอาดสะอ้านหอมกรุ่น ปรับเอนได้ด้วยปุ่มควบคุม ด้านหน้าเป็นจอโทรทัศน์จอเล็กพร้อมหูฟัง
เมื่อเครื่องทะยานขึ้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ หลังเสียงประกาศทักทายจากกัปตันและการสาธิตความปลอดภัยตามขั้นตอนมาตรฐาน พนักงานต้อนรับสาวสวยจึงเข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เขา...
อธิปที่สวมแว่นกันแดดสีดำกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง หันกลับมาตั้งใจจะสั่งวิสกี้ใส่น้ำแข็งก้อนเดียว...
มันอยู่บนถาดต่อหน้าเขาแล้ว? อธิปแปลกใจ นี่พ่อก็สั่งให้เตรียมไว้ให้เขาด้วยเหรอ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพนักงานต้อนรับทันที และพบว่าเธอยิ้มให้อย่างขัดเขินเล็กน้อย
"สวัสดีค่ะ จำได้ว่าคุณอาร์ตชอบแบบนี้ ถ้าไม่ใช่โชขออภัย จะไปเปลี่ยนมาให้ใหม่นะคะ"
"เดี๋ยวก่อน คุณ..."
อธิปพยายามนึกชื่อเธอ ให้ตายสิ! ลีลาหญิงสาวคืนนั้นเด็ดมาก ทำเอาหัวเขาขาวโพลนจนลืมชื่อแซ่ไปหมด
ถ้าเธอผิดหวังหรือเสียใจ ก็คงจะเก็บมันไว้แนบเนียน เพราะใบหน้าสวยมีเพียงรอยยิ้มอ่อน ๆ
"โชติรสค่ะ..."
"ใช่ ๆ ผมจำได้ ขอโทษนะเมื่อกี้แค่นึกไม่ทัน"
โชติรสยิ้มอีก หรุบตาต่ำลงเล็กน้อย ท่าทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อยราวกับเป็นคนละคนกับคืนนั้น
"คุณอาร์ตสามารถเรียกใช้บริการได้ตลอดเวลานะคะ ดิฉันยินดีดูแลอย่างเต็มที่ค่ะ"
แอร์โฮสเตสเอ่ยอย่างเป็นการเป็นงานและกำลังจะเดินกลับไปประจำที่ของเธอ แต่มือร้อน ๆ ของชายหนุ่มแตะแขนเธอไว้เบา ๆ
"เดี๋ยวสิ..."
โชติรสหันกลับมา เลิกคิ้วน้อย ๆ
อธิปถอดแว่นกันแดดออก เงยหน้ามองเธอด้วยสายตาประเมิน
"เสร็จจากไฟลต์นี้ คุณกลับกรุงเทพเลยมั้ย"
"แล้วแต่ค่ะว่ามีธุระอะไรอีกหรือเปล่า"
โชติรสตอบ ไม่ยิ้ม แต่จ้องตาเขากลับอย่างท้าทาย
"ทิ้งเบอร์คุณไว้ แล้วผมจะโทรหา"
เขาพูดแค่นั้น สวมแว่นกลับตามเดิมแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่าง โชติรสเขียนเบอร์ใส่กระดาษที่ใกล้มือที่สุด ใช้แก้ววิสกี้วางทับไว้แล้วกลับไปบริการผู้โดยสารคนอื่นต่อ...ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งเป็นมืออาชีพ หัวใจของแอร์โฮสเตสสาวสวยกำลังเต้นแรงร้อนผ่าวไปหมดทั้งตัว
นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าพรหมลิขิต!
ลลิตรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปมากกว่าแรงปรารถนาทางเพศ เพราะมันทำให้เธอและเขาโยนตรรกเหตุผลทุกอย่างทิ้งไป เหมือนโลกนี้เหลือเพียงร่างกายของกันและกันให้เกาะเกี่ยว อธิปโจนจ้วงตักตวงเอาอย่างไม่รู้อิ่ม เสียงร้องของลลิตราแหบแห้ง หมอนใบหนาต้องทำหน้าที่ซับเสียงกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉัน... ฉันไม่ไหวแล้วนะ” เธอพูดขึ้นมาเมื่อเขาทำท่าจะเริ่มโรมรันอีกรอบ ไม่รู้แล้วว่ามันกี่โมงกี่ยาม รู้แค่ว่าอธิปกับเธอแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย มีเพียงภาษากายเท่านั้นที่แสดงออกและตอบโต้กันไปมา “อยู่เฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวฉันทำเอง” “นายไปกินอะไรมา เอาแรงมาจากไหนนักหนา เห็นฉันเป็นที่ระบายอารมณ์หรือยังไง” “เธอไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ แต่ฉันมีอารมณ์เพราะเธอต่างหากลูกอม" ทั้งที่กอดรัดกันมาไม่รู้เท่าไร ลลิตราก็ยังหน้าแดงได้อีกด้วยคำพูดของเขา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบของใกล้มือ ก่อนจะสบถออกมา “บ้าเอ๊ย ถุงยางหมดซะได้” เขาลังเลจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าตอนนี้ ถ้ากลับไปเอาถุงยางอนามัยที่อยู่บนห้องนอนก็กลัวจะขาดตอน แต่ครั้นจะให้มีอะไรกับเธอโดยไม่ป้องกันก็เสี่ยงเกินไป ไม่คิดว่าลลิตราจะเอื้อมมือสัมผัสเขา เขาสะดุ้งเล
"แต่ถ้ารวมหุ้นของพี่ชลกับแม่เข้ามาด้วยกัน...""ก็ยังไม่พออยู่ดี"ชลธิชาบอก สีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้หวงหุ้นในส่วนของตัวเองอีกแล้ว นาทีนี้การรักษาอำนาจในบริษัทไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"อาชัชคงคิดดักเอาไว้แล้วทุกทางนั่นแหละ เผลอๆ ที่พ่อล้มไป จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้""คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชล"โชติรสพยายามเรียกสติ"อาชัชอาจจะขี้อิจฉาก็จริง แต่คงไม่ถึงกับลงมือทำอะไรแบบนั้น...เอาไว้ฉันขอเวลาคิดสักนิด ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"สองพี่น้องสบตากัน น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชลธิชากับโชติรสเพิ่งจะดูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ* * * * * "ปิ่นโตค่ะ"เสียงมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้นข้างหลัง ลลิตราที่กำลังตัดแต่งไม้แขวนหน้าเรือนจึงหันกลับมาแล้วก็พบว่าน้ำค้างเป็นคนนำอาหารกลางวันมาให้วันนี้ เด็กสาววางเถาลงบนม้านั่งหน้าเรือนอย่างไม่ใส่ใจ"หนูวางตรงนี้นะ""ขอบใจจ้ะ วันนี้น้ำตาลไปไหนล่ะ"ลลิตราก็ทักถามไปอย่างนั้นเอง ใครจะเป็นคนเอาข้าวมาส่งก็ไม่มีปัญหา ให้เธอเดินไปยกสำรับกับข้าวมาเองยังได้เลยถ้าป้าเดือนไม่ห้ามไว้เสียก่อนแต่เหมือนน้ำค้างรอคำถามนั้นอยู่แล้ว มุมปากเด็กสาวยกยิ้มเล็กน้อ
"ว่ายังไงนะ"ชัชวาลถามย้ำแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกแม้โชติรสจะไม่ได้แสดงความต้องการจะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เธอถึงกับออกไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ หญิงสาวอาจนึกขึ้นมาได้เอง หรือมีใครมากระซิบบอก ว่าควรจะต้องปกป้องอำนาจของบิดาไว้ปลายสายที่โทรหาชัชวาลย้ำถึงประโยคที่ตัวเองได้ยินที่โต๊ะอาหารกรรมการบริษัทวัยห้าสิบฟังครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามกลับ"แล้วทำไมนายถึงกล้าเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน""ไม่มีอะไรมากไปกว่าผมต้องการเห็นความอยู่รอดของบริษัทครับ ถ้าบริษัทรอดผมก็รอดไปด้วย"ที่แท้คนที่โทรมาคือกิตติทัศน์ เขาพูดอย่างลื่นไหลสมกับที่เคยเป็นพนักงานขายระดับท้อปเซลล์ชัชวาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มเหยียดเล็กน้อย แต่ก็ยังถามกลับไปอย่างอารมณ์ดี"แล้วนายคิดว่าใครล่ะที่จะพาบริษัทรอด""ถ้าให้เรียนตามตรง เมื่อก่อนก็ต้องเป็นท่านประธานชาญนั่นแหละครับ แต่ตอนนี้พ่อตาของผมท่านก็ล้มป่วยกะทันหันเสียด้วยไม่ทันได้ฝากฝังอะไรกับใครกว่าจะฟื้นมาเป็นปกติได้ก็คงอีกนานเป็นปีผมเองก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ในเมื่อพ่อตาของผมอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่ากับท่า
การล้มป่วยของนายชาญ วรเศรษฐกุลเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิด แม้แต่เจ้าตัวเองก็เช่นกัน แม้อายุจะเกือบเข้าเลขหกแล้วแต่ชาญเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลาทั้งรูปร่างหน้าตาและสุขภาพภายใน ทุกหกเดือนที่ตรวจร่างกายไม่เคยมีสัญญาณความป่วยไข้ใดๆ แม้แต่น้อย เผลอๆ เขายังจะแข็งแรงกว่าวิภาที่เป็นเมียด้วยซ้ำเมื่อเส้นเลือดในหัวใจของเขาแตกและต้องพักฟื้นยาวๆ แบบนี้ ทั้งเมียและลูกก็ถึงกับช็อกกันไปหมด สภาพที่อ่อนแอลงภายในข้ามคืนของสามีทำให้วิภาต้องกลั้นน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนสงสารผัวหล่อนเหลือเกิน โชคดีที่หล่อนเป็นคนแข็ง จึงตั้งสติได้ไวโชติรสก็เหมือนจะได้เลือดแม่ด้วยเพราะแม้หวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็ไม่แสดงออกมากนัก...ไม่เหมือนชลธิชา รายนั้นทำท่าเหมือนชาญอาการเพียบหนักไปเสียแล้ว"พ่อฟื้นก็จริง แต่ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง..."ชลธิชาทุ่มเถียงกับน้องสาวตอนที่อยู่กันตามลำพัง ท่าทางคนเป็นพี่ทั้งกังวล เครียด และใจเสีย อาจเพราะบิดาคือคนที่ตามใจและเหมือนจะเข้าใจเธอทุกอย่างมาตลอด เป็นไปได้ว่าชลธิชาอาจจะผูกพันและรักพ่อมากกว่าที่ทุกคนเห็น"ก็แค่ช่วยพักฟื้น การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะพี
หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต