ลลิตราถูกตั้งแง่รังเกียจแค่เพราะแม่ของเธอแต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐี -- เธอถูกลูกชายพ่อเลี้ยงที่ชื่อว่า "อธิป" เหยียดหยามต่างๆ นานา แต่กลับเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่หาเรื่องเข้าใกล้เธออยู่เรื่อย นิสัยไม่ดีแถมยังปากกับใจไม่ตรงกัน เกลียดแบบใดถึงได้เอะอะกอดเอะอะจูบ จนเธอตัวช้ำไปหมดแล้ว **พระเอกเหมือนจะธงแดงแต่จริงๆ เขียวคลั่งรัก** **นอกจากความรักพระนาง ก็ยังมีดราม่าครอบครัวเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่ชอบนิยายโรมานซ์ดราม่านะคะ
View Moreคืนนั้นพายุฝนโหมกระหน่ำ
แม้แต่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มั่นคงและแข็งแรง เสียงฝนฟ้าก็ยังคำรามลอดเข้ามาไม่ขาดสาย ลลิตรา...นอนตัวเย็นเฉียบอยู่บนเตียงกว้าง น้ำตาไหลเปียกหมอน ผ้าปูเตียงสีขาวปรากฏร่องรอยสีเข้ม... เมื่อสติกลับมา เธอก็รู้สึกอดสูจนไม่กล้าแม้แต่จะสะอื้น กระทั่งมือร้อนผ่าวของใครคนหนึ่งแตะตัวเธออีกครั้ง ลลิตราหรือลูกอมก็สะดุ้งเบา ๆ "ไปตายซะ" เสียงแหบเครือแข็งกร้าว แต่เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่แน่นตึงไปด้วยมัดกล้ามก็ไม่สะทกสะท้าน เขายังคงดึงร่างบางไปกอดแนบตัว เธอพยายามออกจากวงแขนแข็งแรงแต่ไร้ผล หนำซ้ำยิ่งดิ้นรนยิ่งเสียดสี ก็ยิ่งกระตุ้นให้อะไร ๆ ที่เพิ่งสลดกลับลุกโลดขึ้นมาอีก “ครั้งแรกอาจเป็นเพราะฉัน แต่ครั้งที่สองนี่เธอหาเรื่องเองนะ” อธิปกระซิบเสียงแตกพร่า แค่คิดถึงสัมผัสรัดรึงที่แสนอ่อนนุ่มเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาก็ทำให้เขาร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่นะ หยุดเถอะ พอได้แล้ว” “จะพออะไร ฉันยังเหลือแรงสะสางกับเธออีกทั้งคืนนั่นแหละ” “ไม่นะ ฉันไม่...” หญิงสาวขอร้องเสียงสั่น ส่ายหน้าไปมา น้ำตาและเรือนผมสีน้ำตาลเข้มกระจายแผ่บนหมอน พยายามทุบถองจิกตีเพื่อไม่ให้ผู้ชายสารเลวคนนี้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจอีก แต่อธิปไม่คิดจะหยุดยั้งแม้แต่น้อย ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยมีอะไรที่เขาอยากได้แล้วไม่ได้... และอย่างที่เขาเพิ่งประกาศกร้าวกับเธอไป... เขายังเหลือเรี่ยวแรงและเวลาที่จะ 'สะสาง' กับเธออีกทั้งคืน ห้าเดือนก่อนหน้า "อรรถ รชต" ประธานบริหารและเจ้าของสายการบินระดับลักซูรี่ 'ไซแอมเจ็ต(สยามเจ็ต)' ในวัยห้าสิบปลาย ๆ ยังคงหล่อเหลา แข็งแรง และดูหนุ่มกว่าวัย ใบหน้าคมเข้มเหมือนมีสายเลือดแขกเปอร์เซียผสมเชื้อสายตะวันตก และตอนนี้ใบหน้านั้นก็กำลังยิ้มกว้างด้วยความสุขที่ฉายชัดจนคนรอบข้างสัมผัสได้ "ยินดีต้อนรับสู่บ้านรชตนะลินดา หนูลูกอมด้วย... จากนี้ที่นี่คือบ้านของหนูกับแม่แล้วนะ" อรรถหันไปเอ่ยกับหญิงสาวต่างวัยสองคนที่เดินตามเข้ามา คนหนึ่งอายุใกล้เคียงกับเขาคือห้าสิบกว่า ๆ ส่วนอีกคนนั้นอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ หญิงทั้งคู่มีดวงตาหวานซึ้งสีน้ำตาลเข้ม สีเดียวกับเรือนผมหยักศก และจมูกโด่งปลายโค้งมนนิด ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นแม่ลูกกัน "บ้านของคุณค่ะอรรถ ฉันกับลูกแค่มาอาศัยอยู่" ลินดาเอ่ยเบา ๆ อย่างเกรงใจ แต่อรรถส่ายหน้า "เราจดทะเบียนกันแล้ว ถึงคุณจะไม่ยอมให้ผมจัดงานเลี้ยง แต่เราก็เป็นสามีภรรยากันแล้วอย่างถูกต้อง..." อรรถบอกก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วหันไปประกาศกับเหล่าแม่บ้าน คนสวน คนขับรถ คนงานทุกคนที่ทำงานที่บ้านหลังนั้น "อย่างที่ฉันเคยบอกไปแล้วว่าคุณลินดาจะมาเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้ และนี่คือคุณหนูลูกอม ลูกสาวของคุณลินดา เธอก็จะเป็นลูกสาวของฉันอีกคนเหมือนกัน... ฝากดูแลลูกกับเมียของฉันด้วยนะ" "ค่ะ/ครับ" มีเสียงตอบรับงึมงำจากเหล่าลูกจ้าง บางสายตาแสดงความสนอกสนใจ บางสายตาก็ก้มหรือแกล้งมองไปทางอื่น แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างสูงวัยสองสามคนที่มองมาอย่างตื่นเต้น ลลิตรารู้ว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเธอ เป็นมารดาของเธอต่างหากที่พวกเขาจดจำได้... ใครก็ตามที่ตอนนี้อายุสี่สิบห้าสิบขึ้นไปล้วนจดจำ "ลินดา เมธานันท์" ได้ทั้งนั้น แม่ของลลิตราเคยเป็นทั้งรองนางสาวไทย เป็นอดีตนางเอกภาพยนตร์ที่ได้ฉายไปทั่วทั้งเอเชีย ครั้งหนึ่งแม่ของเธอเคยมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนั้นนั่นแหละ "ป้าอ้อม จัดห้องใหม่ให้คุณหนูแล้วใช่ไหม" 'คุณหนู' ที่ว่า อรรถหมายถึงลูกเลี้ยงของเขา แม่บ้านที่ท่าทางแข็งขันที่สุดคนหนึ่งพยักหน้าแล้วรีบเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ "เรียบร้อยแล้วค่ะ ป้าให้เด็กทำความสะอาด เปลี่ยนเครื่องนอนใหม่หมด ตอนนี้ห้องหอมฟุ้ง รับรองว่าคุณหนูจะต้องชอบแน่ ๆ ค่ะ" "ขอบคุณนะคะ" ลลิตรารีบเอ่ยกับป้าอ้อม ท่าทางยังไม่คุ้นชินกับการเป็น 'นาย' อรรถกำลังจะบอกให้แม่บ้านพาเด็กสาวขึ้นไปชมห้องใหม่ ก็มีเสียงรถเร่งเครื่องดังทะยานมาจอดหน้ามุกประตู รถสปอร์ตสีเหลืองสดที่คนขับจงใจเร่งเครื่องให้ดังราวกับอยู่ในสนามแข่ง ลลิตราดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะบังเอิญอะไรขนาดนี้ เธอปราดไปยืนข้างลินดา จับมือคนเป็นแม่ไว้ด้วยท่าทีปกป้องตามสัญชาตญาณ ลินดาเงยหน้ามองลูกสาวที่สูงกว่าตัวเองอย่างแปลกใจ "มีอะไรหรือลูก" "รถคันนี้ไงคะที่เฉี่ยวหนูเมื่อสองสามวันก่อน แล้วก็แค่เปิดกระจกรถโยนเงินมาให้" ลลิตรากัดฟันกระซิบเพราะไม่อยากให้อรรถได้ยิน เธอไม่อยากให้พ่อเลี้ยงมีเรื่องไม่สบายใจตั้งแต่วันแรกที่เธอกับแม่เข้าบ้าน ลินดาสีหน้าไม่แน่ใจ "มันจะใช่หรือลูก" "รถแบบนี้ ในกรุงเทพฯ คงมีไม่กี่คันหรอกค่ะ และถ้าคนขับคือหมอนั่น มันก็คงจะใช่" หญิงสาวเอ่ย ดวงตาเปล่งประกายเอาเรื่อง แผลถลอกปอกเปิกตามเนื้อตัวยังปรากฎชัดหลายแผล รวมถึงที่บนใบหน้าสวย ๆ ของเธอด้วย "ถ้าใช่ แม่ขอนะลูกอม" ลินดารีบกระซิบตอบ เห็นชัดว่ากลัวลูกสาวจะเอาเรื่องใครก็ตามที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถคันนั้น คนเป็นลูกเม้มปากกัดกรามแน่นยอมพยักหน้าแกน ๆ อรรถกำลังรอคอยเจ้าของรถคันนั้นอยู่เช่นกัน เขาจึงไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยาของสองแม่ลูก สีหน้าของอรรถดีใจ แม้จะแอบหวั่นใจอยู่บ้างนิด ๆ ใครบางคนดับเครื่องยนต์แล้วก้าวลงจากรถ ก่อนพาร่างสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรก้าวยาว ๆ เข้ามาสมทบกับทุกคนที่ยืนอยู่ ใบหน้าขาว ๆ มีแว่นกันแดดสีดำอำพรางไว้ และเมื่อเขาถอดแว่นออกลลิตราก็จดจำได้ทันที 'นี่คุณ ลงจากรถมาเลยนะ ในซอยแคบแค่นี้ขับรถทุเรศ ๆ แบบนี้ได้ยังไง' ลลิตราที่เนื้อตัวเปรอะเลอะไปด้วยน้ำโคลนกำลังโต้เถียงกับคนบนรถสปอร์ตหรู กระจกฝั่งข้างคนขับลดลงเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากพอให้เธอเห็นว่าคนขับเป็นผู้ชายและคนนั่งข้างเป็นผู้หญิงสาวสวยเสียด้วย 'ลงมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลย เรียกประกันของคุณมา แล้วพาพี่เขาไปโรงพยาบาล' 'ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่เป็นอะไร' วินมอเตอร์ไซค์ที่ยังเป็นวัยรุ่นรีบบอก ท่าทางเหมือนเกรงใจรถหรูคันนี้อยู่มาก คงกลัวว่าจะโดนคนรวย ๆ เรียกค่าสีรถสินะ ลลิตราเข้าใจอย่างนั้น และทั้งที่ตัวเองก็เจ็บมีแผลเลือดออก แต่เธอยังหันไปแหวใส่คนบนรถ 'ลงมาสิ ฉันบอกให้ลงมาตกลงกัน' 'อาร์ต เอาไงดี เรียกตำรวจเลยมั้ย' สาวสวยที่นั่งข้างคนขับสีหน้ายุ่งยากรำคาญใจ แต่ชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยกลับสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย ก้มหยิบอะไรบางอย่างก่อนจะชะโงกตัวข้ามสาวสวย แล้วโปรยบางอย่างลงมา ลลิตรากำลังงุนงงตอนที่รถหรูสีเหลืองสดคันนั้นแล่นจากไป ทิ้งไว้เพียงธนบัตรสีเทาหลายสิบใบที่ลอยเกลื่อนอยู่บนแอ่งน้ำขัง หญิงสาวกำลังนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่งขนมให้ลูกค้าตอนที่รถหรูคันนั้นขับเบียดมาอย่างเร็วและแรงจนน้ำที่เอ่อขังหลังฝนตกสาดกระเซ็นใส่มอเตอร์ไซค์ รถเล็กเสียหลักล้มไถล เธอกับวินมอเตอร์ไซค์กลิ้งไปหลายตลบ กล่องขนมไทยที่เธอนั่งทำหลังขดหลังแข็งมาทั้งคืนเละเทะทั้งหมด แต่คนบนรถนั่นไม่มีแม้แต่คำว่าขอโทษ... ลลิตราจ้องหน้าเขาเขม็ง เธอพอจะรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เพราะพ่อเลี้ยงของเธอเคยบอกไว้ว่าท่านมีลูกชายสองคน "กลับมาพอดีเลยนะ สวัสดีคุณน้าลินดาสิ นี่น้าลินดาเขาจะมาอยู่กับเราตั้งแต่วันนี้ไป และนี่น้องลูกอม ลูกสาวของน้าลินดา เขาอายุน้อยกว่าอาร์ตสักสามสี่ปีนี่แหละ..." อรรถแนะนำสมาชิกใหม่ก่อน และหันมาบอกลินดากับลูกสาวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ "คุณลิน...หนูลูกอม... นี่ลูกชายคนโตของลุงเอง ชื่ออาร์ต หนูเรียกพี่เขาว่าพี่อาร์ตได้เลยนะ" "ผมไม่มีน้องสาว"หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต
"อื้อหือ หอมออกไปถึงข้างนอกเลยค่ะคุณลูกอม"น้ำตาลที่เดินหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่มาหาลลิตราที่บ้านฝรั่ง เอ่ยขึ้นเมื่อกลิ่นเทียนอบหอมอบอวลไปทั่วบ้านเล็กๆ"วันนี้ทำอะไรหรือคะ""กลีบลำดวนจ้ะ""งือ หนูกับน้ำค้างชอบกินม้ากมาก""ได้กินแน่นอนจ้า ไม่ต้องห่วง หนนี้ปั้นไว้เยอะเลย""อุ๊ย! หนูไม่ได้ตั้งใจจะขอกินฟรีนะคะคุณลูกอม"น้ำตาลรีบบอก เด็กสาวไม่ได้คิดเรื่องนั้นจริงๆ แต่ลลิตรายิ้มส่ายหน้านิดๆ"ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็ตั้งใจจะแบ่งไปในครัวอยู่แล้วล่ะ กลัวแต่ว่าจะบ่นว่ากินแต่ของหวานๆ แล้วจะเบื่อกันเสียก่อน""อุ๊ย! ไม่เบื่อหรอกค่ะ ยิ่งยัยพี่น้ำค้างนะ ทำหน้าบึ้งเหมือนไม่ชอบ แต่หนูเอาอะไรไปก็เห็นกินหมดเกลี้ยงทุกที"น้ำตาลวางปิ่นโตไว้ที่อีกมุมหนึ่ง วันนี้ในครัวใหญ่ทำแกงจืดวุ้นเส้นเต้าหู้หมูสับที่มีเห็ดหอมสดๆ เยอะพอๆ กับหมูเพราะรู้ว่าทั้งคุณลินดาและลลิตราชอบกินเห็ดหอมมากๆน้ำตาลมาส่งข้าวเสร็จก็ขอตัวกลับไปช่วยงานในครัวเพราะวันนี้ลลิตรายังไม่จำเป็นต้องมีลูกมือ ลลิตราเรียงขนมถาดสุดท้ายเข้าตู้อบเสร็จแล้วก็รอเวลาขนมสุก เธอแบ่งส่วนที่ทำเสร็จไปก่อนหน้านั้นแล้วจัดใส่จานแล้วเดินไปที่ห้องทำงานที่เพิ่งจัดใหม่ เห็นแ
อธิปแกล้งทำหน้างงแล้วมองไปยังมือที่วางทับมือของเธออีกที"โอ๊ะ ขอโทษที"เขาปล่อยมือออกอย่างอ้อยอิ่ง เธอรีบคว้าแก้วแล้วจะเดินออกจากร้าน แต่ร่างสูงขวางไว้เนียนๆ"โอมมันยังลาเพื่อนไม่เสร็จเลย กลับไปตอนนี้ก็ไปนั่งหง่าวอยู่ดี นั่งคุยกันสักแป๊บสิ""ฉันมาส่งน้องโอม จะมาคุยกับคุณทำไม""เดี๋ยวนี้ฉันเป็น 'คุณ' ไปแล้วเหรอ""ใช่ค่ะคุณอาร์ต"ลลิตราเน้นเสียง เงยหน้ามองเขาอย่างท้าทายริมฝีปากอธิปคลี่ยิ้ม แต่ดวงตากลับแข็งกร้าวขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ"อย่าเรียกห่างเหินขนาดนั้นเลย...เราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้ากันขนาดนั้น ฉันอยากให้เธอเรียกฉันว่า 'พี่' เหมือนเดิมด้วยซ้ำ"ลลิตราหน้าแดงซ่านในพริบตา อธิปยิ้มเยาะ แสดงว่าเธอเข้าใจความนัยของเขาแต่เธอก็ทำให้เขาประหลาดใจเพราะแทนที่จะเดินหนีหรือตอกกลับเขาแรงๆ เหมือนเคย เธอกลับแสยะยิ้ม...จ้องตาเขาตรงๆ"ก็ได้ ฉันจะเรียกคุณว่า 'พี่' จากนี้คุณจะได้ไม่ลืมว่าเราสองคนมีสถานะเป็นแค่พี่กับน้อง ถึงจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่นั่นแหละคือสถานะของเรา...ถ้าเราคิดจะข้ามไปเป็นอย่างอื่น เราจะต้องโดนสังคมประณามสาปแช่ง โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้คุณ...พี่...ก็มีคู่หมั้นแล้ว...ฉันหวังว่าเราจะไม่มีเรื่องใ
หญิงสาวตัวเย็นวาบรีบปราดไปที่ประตูแต่ยังไม่เปิดให้เขา''ลูกอม...ขอฉันเข้าไปหน่อยได้ไหม"น้ำเสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้าจนน่าสงสาร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ลลิตราจะยอมเปิดให้เขา"ฉันมีอะไรอยากคุยกับเธอ ทำไมเธอยังไม่นอน""ฉันจะนอนแล้ว นายไปซะเถอะ"พูดจบหญิงสาวก็เดินไปปิดไฟแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนทันที เธอนั่งกอดเข่าบนเตียง หัวใจยังเต้นแรง"คนใจร้าย! คนเห็นแก่ตัว!..."สารพัดคำที่ลลิตราขุดขึ้นมาด่าอธิปอยู่ในความมืด ก็เหมือนเมื่อก่อนที่เธอแช่งชักหักกระดูกเขาอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ที่ต่างออกไปคือหัวใจเธอไม่ได้เกลียดเขาอย่างแต่ก่อนอีกแล้วความเงียบงันกลับมาปกคลุมราตรีอีกครั้ง อธิปคงกลับไปแล้ว ก็ดีแล้วล่ะ เพราะถ้าเห็นหน้าเขาในตอนนี้ ลลิตราไม่คิดว่าตัวเองจะมีกำลังใจต่อต้านเขาเลยแม้แต่นิดเดียวหญิงสาวก้มซบหน้ากับหัวเข่า ยอมรับกับตัวเองทั้งน้ำตา...เธอรักผู้ชายคนนั้น...เธอรักอธิปเข้าเสียแล้ว* * * * * อธิปไม่กลับมานอนบ้านอีกเลยจนถึงวันที่โอมต้องเดินทาง แม้หวาดหวั่นกับการต้องเจอหน้าพี่ชายของโอม แต่ลลิตราก็ต้องไปส่งเด็กหนุ่มถึงสนามบินให้ได้อยู่แล้วไม่ได้มีแค่ครอบครัวที่มาส่ง เพื่อนสนิทของโอมหลายคนก็มาด้วย ในห
อีกไม่กี่วัน โอมก็จะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เด็กหนุ่มไปเชียงใหม่เพื่อกราบลามารดาเสียก่อน"อยากให้แม่ไปส่งที่สนามบินไหม"จีรานุชถามลูกชายอย่างอ่อนโยน ใจนางอยากไปส่งลูกวันเดินทางอยู่แล้ว แต่ต้องถามโอมก่อนว่าเขาสบายใจหรือเปล่า"ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ เดินทางเหนื่อยเปล่าๆ นี่โอมก็เลยมาหาแม่เองแล้วไง"จีรานุชเอื้อมมือไปจับมือลูกชาย แม้นางจะเป็นนักบวชแต่ความเป็นแม่ไม่ได้หายไป จะไม่ได้เจอลูกอีกหลายปีก็อยากจะสัมผัสคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข คนที่นางอุ้มท้อง คลอด และเลี้ยงดูเขามาด้วยความรักจนเติบใหญ่มาเป็นชายหนุ่มที่สง่างามได้ถึงเพียงนี้แต่ถึงเขาจะไม่ได้น่ารักอย่างตอนนี้ ก็ไม่เคยมีสักนาทีที่คนเป็นแม่จะไม่ภาคภูมิใจก่อนโอมจะกลับ จีรานุชบีบมือเขาไว้แน่น เงยหน้ามองลูกชายที่สูงกว่าแม่ไปเยอะแล้ว"โอม...ลูกยังฝันร้ายอยู่อีกไหม"จีรานุชไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยหรือไม่ก็อยากจะอ้อมค้อมได้มากกว่านี้ แต่นางไม่เห็นประโยชน์จึงถามออกไปตรงๆ เลยดีกว่าแม้ว่ามันอาจกระทบแผลใจของทั้งคู่แต่โอมกลับสงบนิ่งกว่าที่นางคิด"ไม่ค่อยแล้วครับแม่ ที่จริงครั้งสุดท้ายที่โอมฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นก็นานหลายเดือนแล้ว ยิ่งช่ว
Comments