"คราวหน้าคุณหนูให้น้าดาวไปส่งสิครับ ถ้าจะซื้อของกลับมาเยอะขนาดนี้ ให้น้าดาวไปส่งน่าจะดีกว่า"
รปภ.หนุ่มน้อยที่ลลิตราทราบชื่อภายหลังว่าชื่อคมสันต์ เอ่ยแนะนำ
"นั่นน่ะสิคะ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันเนาะ"
"ว่าแต่ คุณหนูซื้อมาทำไมเยอะแยะหรือครับ ผมนึกว่าในครัวจะมีของพวกนี้แล้วเสียอีก"
"ซื้อมาทำขนมขายค่ะ ฉันทำขนมไทยขาย"
คมสันต์ตาลุกวาว
"จริงหรือครับ!"
"จริงค่ะ เอาไว้ทำเสร็จแล้วจะเอามาให้ชิมนะคะ"
รถกอล์ฟแล่นมาถึงพอดี น้าดาวนั่นเองที่เป็นคนขับมา และก็เอ่ยเหมือนที่คมสันต์เอ่ยคือคราวหน้ายอมให้เขาขับรถให้เถอะ เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะตกงาน หญิงสาวเลยตอบรับและหัวเราะเบา ๆ อย่างขัดเขิน
ขนของขึ้นรถไฟฟ้าคันเล็กเสร็จ น้าดาวขับกลับเข้าไปด้านในโดยมีลลิตรานั่งมาด้วย
ก่อนไปถึงเรือนครัวที่อยู่ด้านหลัง จะต้องผ่านโรงรถ
ลลิตราพยายามไม่สองไปยังรถพอร์ชเหลืองที่จอดอยู่...ขนาดแค่หางตาเหลือบเห็น ยังรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ
โชคดีที่ตั้งแต่เธอลงจากรถเขาวันนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ต้องเผชิญหน้ากัน และหญิงสาวก็หวังว่าเธอจะหลบเลี่ยงเขาไปได้เรื่อย ๆ
แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งหรือไม่ก็ฟังคำภาวนาผิดไป เพราะคนที่เพิ่งเดินออกมาจากในตัวบ้านก็คือคนที่ลลิตรากำลังไม่อยากเจออย่างที่สุด!
"นั่นอะไรน่ะน้าดาว"
อธิปถามคนขับรถ พลางปรายตามองไปยังข้าวของที่บรรทุกมาในรถกอล์ฟ
"ของของคุณลูกอมครับ"
หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปากโดยไม่มีเหตุผล
แปลกที่วันนี้สีหน้าเขาชาเฉย ไม่เหมือนผู้ชายปากร้ายกวนบาทาที่เธอเคยเจอในวันแรก แถมยังไม่เหลือบมองเธอเลยสักนิด
อธิปเหมือนจะหมดความสนใจแค่นั้น กำลังจะเดินผ่านไป จุดหมายคือโรงจอดรถที่รถกอล์ฟของน้าดาวเพิ่งขับผ่านมา
แต่วินาทีต่อมาเขาก็หยุดกึกแล้วหันกลับมา
"น้าดาว... น้านุชยังอยู่ที่เดิมใช่มั้ย"
น้าดาวยกเท้าแตะเบรกให้รถหยุด ก่อนหันไปหาเจ้านายหนุ่ม
"คุณอาร์ตว่ายังไงนะครับ"
"ผมถามว่าน้านุชยังบวชอยู่ที่เดิมมั้ย..."
"ครับ เท่าที่ผมทราบ คุณผู้หญิงยังอยู่ที่เดิมครับ"
อธิปตอบรับ 'อือ' เบา ๆ ก่อนจะหันกลับไป น้าดาวหันมาสบตาลลิตราแล้วยิ้มอึกอัก
เป็นลลิตราเองที่ทนความสงสัยไม่ไหว
"เดี๋ยวค่ะน้าดาว หยุดตรงนี้ก่อน"
"อ่า ครับ ๆ"
"หนูไม่เคยรู้จักคุณผุ้หญิงคนก่อนเลย คุณจีรานุชใช่ไหมคะ"
"ใช่ครับ คุณนุชครับ ที่จริงเธอไม่ได้เป็นคุณผู้หญิงแล้ว เมื่อกี้ผมติดปากไป ผมขอโทษนะครับ"
น้าดาวเอ่ยจริงจัง ลลิตรายิ้มเหนื่อย ๆ
"จะขอโทษหนูทำไมล่ะคะ หนูแค่อยากรู้จักคุณจีรานุช แต่ไม่รู้จะถามใคร น้าพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม ว่าตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหน..."
"อ๋อ ได้ครับ ตอนนี้คุณนุชเธอบวชชีอยู่ที่เชียงใหม่..."
น้าดาวเอ่ยชื่อวัดแห่งหนึ่งที่ลลิตราพอจะเคยได้ยิน
"แล้วคุณนุชไปบวชนานแล้วหรือคะ"
"ก็ตั้งแต่ยังอยู่ที่นี่ เธอก็เวียนไปปฏิบัติธรรมเรื่อย และคงติดใจทางนั้นจริง ๆ พอคุณโอมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คุณนุชก็โกนหัวบวชชีแล้วก็ไม่กลับมาบ้านอีกเลย..."
ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่คุณอรรถพบกับแม่ของลลิตรา... หญิงสาวพักเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วถามต่อ
"แล้ว...คุณนุชเป็นคนอย่างไรหรือคะ ฟัง ๆ ดูแล้ว น่าจะเป็นคนใจดีทีเดียวใช่ไหมคะ"
"ใช่ครับ ใจดี ไม่เคยดุด่าอะไรใคร แต่ช่วงหลัง ๆ แกเริ่มหันหน้าเข้าวัดแล้วก็กลายเป็นคนเงียบ ๆ คุณโอมเองก็ดูเงียบ ๆแล้วไม่ค่อยกลับบ้าน ติดเพื่อน ผมเดาว่าแกคงเริ่มเป็นวัยรุ่น คุณนุชคงเครียดเรื่องลูกก็เลยหันหน้าเข้าวัด อันนี้ผมเดาเอาเองล้วน ๆ นะครับ"
น้าดาวบอกยิ้ม ๆ ลลิตราเอ่ยขอบคุณเบา ๆ และตัดสินใจไม่ถามต่อ เอาไว้อยู่ ๆ ไปเธอก็คงจะค่อย ๆ รู้จักแต่ละคนไปทีละนิดเอง
* * * * * ชมรมบาสเกตบอล มหาวิทยาลัย Xร่างสูง ๆ ที่ค่อนข้างเก้งก้างของวัยรุ่นหลักสิบคน กำลังรุมยื้อแย่งลูกบอลสีส้มอยู่ในสนามพื้นไวนิลสปอร์ตสีเขียว มีเด็กนักศึกษาอีกหลายคนที่นั่งเชียร์อยู่ขอบสนาม บ้างก็นั่งดูเงียบ ๆ อยู่บนอัฒจรรย์เหมือนอธิปในเวลานี้
เขานั่งรออย่างใจเย็นอยู่นานนับชั่วโมง กว่าเด็กหนุ่ม ๆ พวกนั้นจะแข่งกันเสร็จแล้วแยกย้าย...
มีเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถอนหายใจแล้วเดินขึ้นมาหาเขา เห็นได้ชัดมาแต่ไกลว่าไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
"มีอะไร"
เสียงห้าว ๆ อย่างคนแตกเนื้อนุ่มโยนคำถามใส่เป็นประโยคแรก
"ไม่มีอะไร แค่แวะมา"
อธิปตอบ แม้เสียงจะทุ่มนุ่มกว่าแต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนไปกว่ากัน
เด็กหนุ่มตัวสูงเก้งก้างยักไหล่ แล้วหันหลังกลับก่อนจะหยุดชะงักเมื่ออธิปพูดต่อ
"เสาร์นี้จะไปเชียงใหม่ ไปหาน้านุช บอกไว้เผื่อแกอยากไปด้วย"
"พี่จะไปหาแม่ผมทำไม!"
โอมหันกลับมาทันที
"แม่แก...ก็เหมือนแม่ฉัน"
"จะยังไงก็ช่าง พี่จะไปกวนแม่ทำไม แม่ผมเป็นแม่ชีแล้วนะ ไม่รู้เหรอ"
"รู้สิ..." อธิปตอนเรียบ ๆ
เขายังอยู่ที่อังกฤษตอนที่มีคนส่งข่าวไปบอกว่า นายอรรถบิดาของเขาหย่าขาดจากจีรานุชแล้ว และแม่เลี้ยงก็บวชไม่สึกตั้งแต่นั้น
"ตั้งแต่ฉันกลับมา ยังไม่เคยไปหาน้านุชเลย"
"ไม่ต้องไป ผมสงสารแม่"
"ทำไม?"
อธิปถามกลับเสียงห้วน
การที่เขาจะไปเยี่ยมเยือนคนที่เคยดูแลเขามาในช่วงหนึ่งของชีวิต มันเป็นเรื่องไม่สมควรทำตรงไหน?
โอมหน้าบึ้ง
"แม่คงไม่อยากเจอใครที่เกี่ยวข้องกับพ่ออีก ผมยังเป็นลูกแท้ ๆ แต่พี่ไม่ใช่..."
อธิปเผลอกัดกราม ในใจแปลบปลาบ
นั่นน่ะสิ... ในความรู้สึกของแม่เลี้ยง หรือกระทั่งน้องชายต่างแม่ เขาคงเป็นใครสักคนที่ไม่เคยถูกนับให้เป็นพวกเดียวกัน
โอมคงจะรู้ตัว เขาอึกอักเล็กน้อย
"ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมแค่จะบอกว่า... ผมกลัวแม่จะว้าวุ่น"
ท่าทางเด็กหนุ่มเหมือนไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบาย สีหน้ายุ่งยากใจ อธิปลุกขึ้นช้า ๆ แวบหนึ่งที่มองน้องชายมีความอาทรเจือจางแต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นจริง ๆ
"ฉันจะมาชวนแกไปกินข้าว ตั้งแต่กลับจากอังกฤษ ฉันยังไม่เคยได้กินข้าวกับแกสักมื้อ..."
"ผมไม่ว่าง นัดกับเพื่อนแล้ว"
โอมตอบโดยไม่มองหน้า สายตาคอยแต่จะมองไปด้านหน้าประตูโรงยิมราวกับอยากออกไปจากตรงนี้เต็มที
อธิปไม่เซ้าซี้ เขาพยักหน้าและเดินลงอัฒจรรย์ไปโดยไม่เอ่ยลา
โอมไม่ได้เดินตามลงไป เขาทิ้งตัวลงนั่ง ถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ
หลายนาทีกว่าเพื่อนร่วมทีมบาสจะเดินกลับเข้ามาตาม
"เฮ้ย! ไอ้โอม ทำไรอยู่วะ รอมึงอยู่คนเดียวเนี่ย"
"เออ ๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ"
เด็กหนุ่มตอบ ก่อนกระโดดลุกขึ้น ปรับสีหน้าให้ร่าเริงอีกครั้งก่อนวิ่งลงไปสมทบกับพวกเพื่อน ๆ ที่ชักชวนกันไปหาอะไรกินกันหลังซ้อม
"โอม เมื่อกี้ใครอะ หล่ออย่างกับดารา ใช่ดาราหรือเปล่า"
น้ำแข็ง เพื่อนร่วมคณะที่อาสามาเป็นผู้จัดการทีมให้เอ่ยถามระหว่างพากันเดินไปด้านหลังมหาวิทยาลัยที่มีร้านอาหารและเครื่องดื่มเรียงราย
"ไม่ใช่"
"งั้นใครอะ พี่ชายเหรอ"
"ไม่รู้สักเรื่องจะ...เป็นอะไรมั้ย"
โอมตอบกลับอย่างเย็นชา เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ โห่ขึ้นมาทันที
"โห แรงว่ะ นี่น้ำแข็ง โอมมันบอกว่าแกเผือกน่ะ"
"แกก็เผือกเหมือนกัน ฉันคุยกับโอมไม่ใช่แกไอ้เจ"
น้ำแข็งโต้กลับ เจหัวเราะชอบใจ แต่น้ำแข็งมองโอมอย่างน้อยใจ
โอมก็เพิ่งจะรู้ตัว...อีกแล้ว
เขาพูดก่อนคิดแบบนี้เสมอหรือไงนะ เด็กหนุ่มด่าตัวเองในใจ
"เออ ขอโทษ ไม่ได้จะบอกว่าเสือก และเออใช่ พี่ฉันเอง พอใจยัง ไม่ต้องถามแล้วนะ หิว รีบ ๆ เดินโว้ย กูหิวจนจะกินควายได้ทั้งตัวแล้ว"
โอมพูดเสียงดังและห้าว เร่งฝีเท้าเดินนำเพื่อน ๆ ไป น้ำแข็งค้อนประหลับประเหลือกทำท่าจะไม่ยอมตามไปด้วย แต่เจกับเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ดึงแขนตามไปด้วยจนได้เด็กสาวจึงค่อยหายงอนแล้วยอมเดินแกมวิ่งตามมาด้วยแต่โดยดี
* * * * *คืนนั้นเขากับแม่อยู่บนรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดที่พ่อเพิ่งซื้อให้
เขานั่งหลังพวงมาลัย แม่นั่งข้าง ๆ
"โอม! ช้า ๆ หน่อยลูก แม่กลัว"
"เอาน่า แม่คาดเข็มขัดไว้ก็แล้วกัน"
เขาตอบอย่างคึกคะนอง ถนนต่างจังหวัดมืดมิดทั้งสองข้างทาง มีเพียงไฟหน้ารถเท่านั้นที่ส่องสว่างพอให้เห็นทางข้างหน้าแค่ไม่กี่เมตร นาน ๆ ทีจะมีรถสักคันแล่นสวนทางมา
"โอม! หยุดเลยนะ!"
แม่ของเขาดุเสียงดังขึ้น ทั้งโกรธและกลัว
แต่เขากลับยิ่งเหยียบคันเร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ รถแรงขนาดนี้จะให้ขับช้า ๆ เหมือนตอนอยู่ในกรุงเทพฯ ได้อย่างไร เสียของกันพอดี เข็มบอกความเร็วหน้ารถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะแตะไปที่ตัวเลขสองร้อย โอมถึงกับร้องออกมาอย่างสะใจ
ร่างกายเขาตื่นตัวด้วยอดรีนาลินจนสั่นด้วยความตื่นเต้น กระทั่งลืมลดความเร็วลงเมื่อรถถึงทางโค้ง มันเป็นโค้งที่ลาดลงไปตามไหล่เขา ด้านหนึ่งเป็นผา ด้านหนึ่งเป็นกำแพงหินมหึมาตามธรรมชาติ
ก็เหมือนอีกหลาย ๆ โค้งที่เขาเพิ่งเหาะผ่านมา
เพียงแต่ว่าโค้งนี้... ยังไม่ทันพ้นโค้ง แสงไฟจากรถอีกคันที่สวนมาก็สาดเข้าสายตาเขาพอดี โอมร้องเสียงดัง...มือหักพวงมาลัย...
"อ๊ากกซซ!!!"
โอมผวาขึ้นจากที่นอน เสียงร้องกลืนหายกลายเป็นเสียงหอบหายใจถี่และหนัก เหงื่อท่วมตัวอย่างกับเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ หัวใจยังเต้นแรงจนเขาคิดว่าตัวเองจะหัวใจวายตายเสียแล้ว
เขาอยู่ที่หอ นอนอยู่บนเตียง หลังกินข้าวเสร็จ พวกไอ้เจกับเพื่อน ๆ ชวนกันไปเที่ยวต่อ แต่เขาขอกลับหอพักก่อน
ถ้าพวกนั้นอยู่ด้วยมันคงจะบ่นเขาเหมือนเดิม
'ไอ้ห่าโอมฝันร้ายอีกแล้ว กูแม่งสะดุ้งตื่น นึกว่าอยู่ในหนังผี'
เพื่อน ๆ ที่เป็นรูมเมตรู้ดีว่าโอมมักฝันร้ายสะดุ้งตื่นกลางดึก เมื่อก่อนเป็นบ่อย เดี๋ยวนี้หลังออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ลดลง เดือนนึงอาจจะมีสักคืนเท่านั้นที่ฝันถึงเหตุการณ์นั้น
วันนี้คงเพราะพี่ชายของเขา...พี่อาร์ต...มาหาถึงที่นี่ แถมยังพูดถึงแม่ของเขาอีก
เขาเลยฝันร้ายอีกจนได้
เมื่อหัวใจค่อย ๆ กลับมาเต้นเป็นปกติ เด็กหนุ่มพาร่างสูงเก้งก้างก้าวลงจากเตียง ลุกไปเปิดตู้เย็นหาน้ำเย็นดื่ม ๆเหตุการณ์วันนั้น เขากับแม่ปลอดภัย...เจ็บ แต่ก็ยังปลอดภัย
หลังเหตุการณ์ โอมแทบไม่พูดอะไรยาว ๆ อยู่เป็นเดือน ได้แต่ถามคำ ตอบคำ บางคำก็ไม่ตอบ
เวลาส่วนใหญ่ที่ตื่น ก็จะนั่งน้ำตาไหลเงียบ ๆ
'ลูกชายคุณอรรถกำลังช็อกนะครับ สมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือนก็จริง แต่เห็นชัดว่านี่เป็นผลที่เกิดทางใจ ต้องใช้เวลาสักระยะ...'
หมอบอกพ่อเขาอย่างนั้น
ใช่...โอมช็อก
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น...ไม่ใช่ทุกคนที่รอดกลับมา...
อ่านแล้วเป็นอย่างไร ฟีดแบ็กได้เลยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้ามาก ๆ ค่าาา
ลลิตรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปมากกว่าแรงปรารถนาทางเพศ เพราะมันทำให้เธอและเขาโยนตรรกเหตุผลทุกอย่างทิ้งไป เหมือนโลกนี้เหลือเพียงร่างกายของกันและกันให้เกาะเกี่ยว อธิปโจนจ้วงตักตวงเอาอย่างไม่รู้อิ่ม เสียงร้องของลลิตราแหบแห้ง หมอนใบหนาต้องทำหน้าที่ซับเสียงกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉัน... ฉันไม่ไหวแล้วนะ” เธอพูดขึ้นมาเมื่อเขาทำท่าจะเริ่มโรมรันอีกรอบ ไม่รู้แล้วว่ามันกี่โมงกี่ยาม รู้แค่ว่าอธิปกับเธอแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย มีเพียงภาษากายเท่านั้นที่แสดงออกและตอบโต้กันไปมา “อยู่เฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวฉันทำเอง” “นายไปกินอะไรมา เอาแรงมาจากไหนนักหนา เห็นฉันเป็นที่ระบายอารมณ์หรือยังไง” “เธอไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ แต่ฉันมีอารมณ์เพราะเธอต่างหากลูกอม" ทั้งที่กอดรัดกันมาไม่รู้เท่าไร ลลิตราก็ยังหน้าแดงได้อีกด้วยคำพูดของเขา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบของใกล้มือ ก่อนจะสบถออกมา “บ้าเอ๊ย ถุงยางหมดซะได้” เขาลังเลจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าตอนนี้ ถ้ากลับไปเอาถุงยางอนามัยที่อยู่บนห้องนอนก็กลัวจะขาดตอน แต่ครั้นจะให้มีอะไรกับเธอโดยไม่ป้องกันก็เสี่ยงเกินไป ไม่คิดว่าลลิตราจะเอื้อมมือสัมผัสเขา เขาสะดุ้งเล
"แต่ถ้ารวมหุ้นของพี่ชลกับแม่เข้ามาด้วยกัน...""ก็ยังไม่พออยู่ดี"ชลธิชาบอก สีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้หวงหุ้นในส่วนของตัวเองอีกแล้ว นาทีนี้การรักษาอำนาจในบริษัทไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"อาชัชคงคิดดักเอาไว้แล้วทุกทางนั่นแหละ เผลอๆ ที่พ่อล้มไป จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้""คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชล"โชติรสพยายามเรียกสติ"อาชัชอาจจะขี้อิจฉาก็จริง แต่คงไม่ถึงกับลงมือทำอะไรแบบนั้น...เอาไว้ฉันขอเวลาคิดสักนิด ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"สองพี่น้องสบตากัน น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชลธิชากับโชติรสเพิ่งจะดูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ* * * * * "ปิ่นโตค่ะ"เสียงมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้นข้างหลัง ลลิตราที่กำลังตัดแต่งไม้แขวนหน้าเรือนจึงหันกลับมาแล้วก็พบว่าน้ำค้างเป็นคนนำอาหารกลางวันมาให้วันนี้ เด็กสาววางเถาลงบนม้านั่งหน้าเรือนอย่างไม่ใส่ใจ"หนูวางตรงนี้นะ""ขอบใจจ้ะ วันนี้น้ำตาลไปไหนล่ะ"ลลิตราก็ทักถามไปอย่างนั้นเอง ใครจะเป็นคนเอาข้าวมาส่งก็ไม่มีปัญหา ให้เธอเดินไปยกสำรับกับข้าวมาเองยังได้เลยถ้าป้าเดือนไม่ห้ามไว้เสียก่อนแต่เหมือนน้ำค้างรอคำถามนั้นอยู่แล้ว มุมปากเด็กสาวยกยิ้มเล็กน้อ
"ว่ายังไงนะ"ชัชวาลถามย้ำแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกแม้โชติรสจะไม่ได้แสดงความต้องการจะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เธอถึงกับออกไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ หญิงสาวอาจนึกขึ้นมาได้เอง หรือมีใครมากระซิบบอก ว่าควรจะต้องปกป้องอำนาจของบิดาไว้ปลายสายที่โทรหาชัชวาลย้ำถึงประโยคที่ตัวเองได้ยินที่โต๊ะอาหารกรรมการบริษัทวัยห้าสิบฟังครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามกลับ"แล้วทำไมนายถึงกล้าเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน""ไม่มีอะไรมากไปกว่าผมต้องการเห็นความอยู่รอดของบริษัทครับ ถ้าบริษัทรอดผมก็รอดไปด้วย"ที่แท้คนที่โทรมาคือกิตติทัศน์ เขาพูดอย่างลื่นไหลสมกับที่เคยเป็นพนักงานขายระดับท้อปเซลล์ชัชวาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มเหยียดเล็กน้อย แต่ก็ยังถามกลับไปอย่างอารมณ์ดี"แล้วนายคิดว่าใครล่ะที่จะพาบริษัทรอด""ถ้าให้เรียนตามตรง เมื่อก่อนก็ต้องเป็นท่านประธานชาญนั่นแหละครับ แต่ตอนนี้พ่อตาของผมท่านก็ล้มป่วยกะทันหันเสียด้วยไม่ทันได้ฝากฝังอะไรกับใครกว่าจะฟื้นมาเป็นปกติได้ก็คงอีกนานเป็นปีผมเองก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ในเมื่อพ่อตาของผมอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่ากับท่า
การล้มป่วยของนายชาญ วรเศรษฐกุลเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิด แม้แต่เจ้าตัวเองก็เช่นกัน แม้อายุจะเกือบเข้าเลขหกแล้วแต่ชาญเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลาทั้งรูปร่างหน้าตาและสุขภาพภายใน ทุกหกเดือนที่ตรวจร่างกายไม่เคยมีสัญญาณความป่วยไข้ใดๆ แม้แต่น้อย เผลอๆ เขายังจะแข็งแรงกว่าวิภาที่เป็นเมียด้วยซ้ำเมื่อเส้นเลือดในหัวใจของเขาแตกและต้องพักฟื้นยาวๆ แบบนี้ ทั้งเมียและลูกก็ถึงกับช็อกกันไปหมด สภาพที่อ่อนแอลงภายในข้ามคืนของสามีทำให้วิภาต้องกลั้นน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนสงสารผัวหล่อนเหลือเกิน โชคดีที่หล่อนเป็นคนแข็ง จึงตั้งสติได้ไวโชติรสก็เหมือนจะได้เลือดแม่ด้วยเพราะแม้หวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็ไม่แสดงออกมากนัก...ไม่เหมือนชลธิชา รายนั้นทำท่าเหมือนชาญอาการเพียบหนักไปเสียแล้ว"พ่อฟื้นก็จริง แต่ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง..."ชลธิชาทุ่มเถียงกับน้องสาวตอนที่อยู่กันตามลำพัง ท่าทางคนเป็นพี่ทั้งกังวล เครียด และใจเสีย อาจเพราะบิดาคือคนที่ตามใจและเหมือนจะเข้าใจเธอทุกอย่างมาตลอด เป็นไปได้ว่าชลธิชาอาจจะผูกพันและรักพ่อมากกว่าที่ทุกคนเห็น"ก็แค่ช่วยพักฟื้น การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะพี
หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต