"คราวหน้าคุณหนูให้น้าดาวไปส่งสิครับ ถ้าจะซื้อของกลับมาเยอะขนาดนี้ ให้น้าดาวไปส่งน่าจะดีกว่า"
รปภ.หนุ่มน้อยที่ลลิตราทราบชื่อภายหลังว่าชื่อคมสันต์ เอ่ยแนะนำ
"นั่นน่ะสิคะ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันเนาะ"
"ว่าแต่ คุณหนูซื้อมาทำไมเยอะแยะหรือครับ ผมนึกว่าในครัวจะมีของพวกนี้แล้วเสียอีก"
"ซื้อมาทำขนมขายค่ะ ฉันทำขนมไทยขาย"
คมสันต์ตาลุกวาว
"จริงหรือครับ!"
"จริงค่ะ เอาไว้ทำเสร็จแล้วจะเอามาให้ชิมนะคะ"
รถกอล์ฟแล่นมาถึงพอดี น้าดาวนั่นเองที่เป็นคนขับมา และก็เอ่ยเหมือนที่คมสันต์เอ่ยคือคราวหน้ายอมให้เขาขับรถให้เถอะ เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะตกงาน หญิงสาวเลยตอบรับและหัวเราะเบา ๆ อย่างขัดเขิน
ขนของขึ้นรถไฟฟ้าคันเล็กเสร็จ น้าดาวขับกลับเข้าไปด้านในโดยมีลลิตรานั่งมาด้วย
ก่อนไปถึงเรือนครัวที่อยู่ด้านหลัง จะต้องผ่านโรงรถ
ลลิตราพยายามไม่สองไปยังรถพอร์ชเหลืองที่จอดอยู่...ขนาดแค่หางตาเหลือบเห็น ยังรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ
โชคดีที่ตั้งแต่เธอลงจากรถเขาวันนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ต้องเผชิญหน้ากัน และหญิงสาวก็หวังว่าเธอจะหลบเลี่ยงเขาไปได้เรื่อย ๆ
แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งหรือไม่ก็ฟังคำภาวนาผิดไป เพราะคนที่เพิ่งเดินออกมาจากในตัวบ้านก็คือคนที่ลลิตรากำลังไม่อยากเจออย่างที่สุด!
"นั่นอะไรน่ะน้าดาว"
อธิปถามคนขับรถ พลางปรายตามองไปยังข้าวของที่บรรทุกมาในรถกอล์ฟ
"ของของคุณลูกอมครับ"
หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปากโดยไม่มีเหตุผล
แปลกที่วันนี้สีหน้าเขาชาเฉย ไม่เหมือนผู้ชายปากร้ายกวนบาทาที่เธอเคยเจอในวันแรก แถมยังไม่เหลือบมองเธอเลยสักนิด
อธิปเหมือนจะหมดความสนใจแค่นั้น กำลังจะเดินผ่านไป จุดหมายคือโรงจอดรถที่รถกอล์ฟของน้าดาวเพิ่งขับผ่านมา
แต่วินาทีต่อมาเขาก็หยุดกึกแล้วหันกลับมา
"น้าดาว... น้านุชยังอยู่ที่เดิมใช่มั้ย"
น้าดาวยกเท้าแตะเบรกให้รถหยุด ก่อนหันไปหาเจ้านายหนุ่ม
"คุณอาร์ตว่ายังไงนะครับ"
"ผมถามว่าน้านุชยังบวชอยู่ที่เดิมมั้ย..."
"ครับ เท่าที่ผมทราบ คุณผู้หญิงยังอยู่ที่เดิมครับ"
อธิปตอบรับ 'อือ' เบา ๆ ก่อนจะหันกลับไป น้าดาวหันมาสบตาลลิตราแล้วยิ้มอึกอัก
เป็นลลิตราเองที่ทนความสงสัยไม่ไหว
"เดี๋ยวค่ะน้าดาว หยุดตรงนี้ก่อน"
"อ่า ครับ ๆ"
"หนูไม่เคยรู้จักคุณผุ้หญิงคนก่อนเลย คุณจีรานุชใช่ไหมคะ"
"ใช่ครับ คุณนุชครับ ที่จริงเธอไม่ได้เป็นคุณผู้หญิงแล้ว เมื่อกี้ผมติดปากไป ผมขอโทษนะครับ"
น้าดาวเอ่ยจริงจัง ลลิตรายิ้มเหนื่อย ๆ
"จะขอโทษหนูทำไมล่ะคะ หนูแค่อยากรู้จักคุณจีรานุช แต่ไม่รู้จะถามใคร น้าพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม ว่าตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหน..."
"อ๋อ ได้ครับ ตอนนี้คุณนุชเธอบวชชีอยู่ที่เชียงใหม่..."
น้าดาวเอ่ยชื่อวัดแห่งหนึ่งที่ลลิตราพอจะเคยได้ยิน
"แล้วคุณนุชไปบวชนานแล้วหรือคะ"
"ก็ตั้งแต่ยังอยู่ที่นี่ เธอก็เวียนไปปฏิบัติธรรมเรื่อย และคงติดใจทางนั้นจริง ๆ พอคุณโอมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คุณนุชก็โกนหัวบวชชีแล้วก็ไม่กลับมาบ้านอีกเลย..."
ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่คุณอรรถพบกับแม่ของลลิตรา... หญิงสาวพักเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วถามต่อ
"แล้ว...คุณนุชเป็นคนอย่างไรหรือคะ ฟัง ๆ ดูแล้ว น่าจะเป็นคนใจดีทีเดียวใช่ไหมคะ"
"ใช่ครับ ใจดี ไม่เคยดุด่าอะไรใคร แต่ช่วงหลัง ๆ แกเริ่มหันหน้าเข้าวัดแล้วก็กลายเป็นคนเงียบ ๆ คุณโอมเองก็ดูเงียบ ๆแล้วไม่ค่อยกลับบ้าน ติดเพื่อน ผมเดาว่าแกคงเริ่มเป็นวัยรุ่น คุณนุชคงเครียดเรื่องลูกก็เลยหันหน้าเข้าวัด อันนี้ผมเดาเอาเองล้วน ๆ นะครับ"
น้าดาวบอกยิ้ม ๆ ลลิตราเอ่ยขอบคุณเบา ๆ และตัดสินใจไม่ถามต่อ เอาไว้อยู่ ๆ ไปเธอก็คงจะค่อย ๆ รู้จักแต่ละคนไปทีละนิดเอง
* * * * * ชมรมบาสเกตบอล มหาวิทยาลัย Xร่างสูง ๆ ที่ค่อนข้างเก้งก้างของวัยรุ่นหลักสิบคน กำลังรุมยื้อแย่งลูกบอลสีส้มอยู่ในสนามพื้นไวนิลสปอร์ตสีเขียว มีเด็กนักศึกษาอีกหลายคนที่นั่งเชียร์อยู่ขอบสนาม บ้างก็นั่งดูเงียบ ๆ อยู่บนอัฒจรรย์เหมือนอธิปในเวลานี้
เขานั่งรออย่างใจเย็นอยู่นานนับชั่วโมง กว่าเด็กหนุ่ม ๆ พวกนั้นจะแข่งกันเสร็จแล้วแยกย้าย...
มีเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถอนหายใจแล้วเดินขึ้นมาหาเขา เห็นได้ชัดมาแต่ไกลว่าไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
"มีอะไร"
เสียงห้าว ๆ อย่างคนแตกเนื้อนุ่มโยนคำถามใส่เป็นประโยคแรก
"ไม่มีอะไร แค่แวะมา"
อธิปตอบ แม้เสียงจะทุ่มนุ่มกว่าแต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนไปกว่ากัน
เด็กหนุ่มตัวสูงเก้งก้างยักไหล่ แล้วหันหลังกลับก่อนจะหยุดชะงักเมื่ออธิปพูดต่อ
"เสาร์นี้จะไปเชียงใหม่ ไปหาน้านุช บอกไว้เผื่อแกอยากไปด้วย"
"พี่จะไปหาแม่ผมทำไม!"
โอมหันกลับมาทันที
"แม่แก...ก็เหมือนแม่ฉัน"
"จะยังไงก็ช่าง พี่จะไปกวนแม่ทำไม แม่ผมเป็นแม่ชีแล้วนะ ไม่รู้เหรอ"
"รู้สิ..." อธิปตอนเรียบ ๆ
เขายังอยู่ที่อังกฤษตอนที่มีคนส่งข่าวไปบอกว่า นายอรรถบิดาของเขาหย่าขาดจากจีรานุชแล้ว และแม่เลี้ยงก็บวชไม่สึกตั้งแต่นั้น
"ตั้งแต่ฉันกลับมา ยังไม่เคยไปหาน้านุชเลย"
"ไม่ต้องไป ผมสงสารแม่"
"ทำไม?"
อธิปถามกลับเสียงห้วน
การที่เขาจะไปเยี่ยมเยือนคนที่เคยดูแลเขามาในช่วงหนึ่งของชีวิต มันเป็นเรื่องไม่สมควรทำตรงไหน?
โอมหน้าบึ้ง
"แม่คงไม่อยากเจอใครที่เกี่ยวข้องกับพ่ออีก ผมยังเป็นลูกแท้ ๆ แต่พี่ไม่ใช่..."
อธิปเผลอกัดกราม ในใจแปลบปลาบ
นั่นน่ะสิ... ในความรู้สึกของแม่เลี้ยง หรือกระทั่งน้องชายต่างแม่ เขาคงเป็นใครสักคนที่ไม่เคยถูกนับให้เป็นพวกเดียวกัน
โอมคงจะรู้ตัว เขาอึกอักเล็กน้อย
"ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมแค่จะบอกว่า... ผมกลัวแม่จะว้าวุ่น"
ท่าทางเด็กหนุ่มเหมือนไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบาย สีหน้ายุ่งยากใจ อธิปลุกขึ้นช้า ๆ แวบหนึ่งที่มองน้องชายมีความอาทรเจือจางแต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นจริง ๆ
"ฉันจะมาชวนแกไปกินข้าว ตั้งแต่กลับจากอังกฤษ ฉันยังไม่เคยได้กินข้าวกับแกสักมื้อ..."
"ผมไม่ว่าง นัดกับเพื่อนแล้ว"
โอมตอบโดยไม่มองหน้า สายตาคอยแต่จะมองไปด้านหน้าประตูโรงยิมราวกับอยากออกไปจากตรงนี้เต็มที
อธิปไม่เซ้าซี้ เขาพยักหน้าและเดินลงอัฒจรรย์ไปโดยไม่เอ่ยลา
โอมไม่ได้เดินตามลงไป เขาทิ้งตัวลงนั่ง ถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ
หลายนาทีกว่าเพื่อนร่วมทีมบาสจะเดินกลับเข้ามาตาม
"เฮ้ย! ไอ้โอม ทำไรอยู่วะ รอมึงอยู่คนเดียวเนี่ย"
"เออ ๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ"
เด็กหนุ่มตอบ ก่อนกระโดดลุกขึ้น ปรับสีหน้าให้ร่าเริงอีกครั้งก่อนวิ่งลงไปสมทบกับพวกเพื่อน ๆ ที่ชักชวนกันไปหาอะไรกินกันหลังซ้อม
"โอม เมื่อกี้ใครอะ หล่ออย่างกับดารา ใช่ดาราหรือเปล่า"
น้ำแข็ง เพื่อนร่วมคณะที่อาสามาเป็นผู้จัดการทีมให้เอ่ยถามระหว่างพากันเดินไปด้านหลังมหาวิทยาลัยที่มีร้านอาหารและเครื่องดื่มเรียงราย
"ไม่ใช่"
"งั้นใครอะ พี่ชายเหรอ"
"ไม่รู้สักเรื่องจะ...เป็นอะไรมั้ย"
โอมตอบกลับอย่างเย็นชา เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ โห่ขึ้นมาทันที
"โห แรงว่ะ นี่น้ำแข็ง โอมมันบอกว่าแกเผือกน่ะ"
"แกก็เผือกเหมือนกัน ฉันคุยกับโอมไม่ใช่แกไอ้เจ"
น้ำแข็งโต้กลับ เจหัวเราะชอบใจ แต่น้ำแข็งมองโอมอย่างน้อยใจ
โอมก็เพิ่งจะรู้ตัว...อีกแล้ว
เขาพูดก่อนคิดแบบนี้เสมอหรือไงนะ เด็กหนุ่มด่าตัวเองในใจ
"เออ ขอโทษ ไม่ได้จะบอกว่าเสือก และเออใช่ พี่ฉันเอง พอใจยัง ไม่ต้องถามแล้วนะ หิว รีบ ๆ เดินโว้ย กูหิวจนจะกินควายได้ทั้งตัวแล้ว"
โอมพูดเสียงดังและห้าว เร่งฝีเท้าเดินนำเพื่อน ๆ ไป น้ำแข็งค้อนประหลับประเหลือกทำท่าจะไม่ยอมตามไปด้วย แต่เจกับเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ดึงแขนตามไปด้วยจนได้เด็กสาวจึงค่อยหายงอนแล้วยอมเดินแกมวิ่งตามมาด้วยแต่โดยดี
* * * * *คืนนั้นเขากับแม่อยู่บนรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดที่พ่อเพิ่งซื้อให้
เขานั่งหลังพวงมาลัย แม่นั่งข้าง ๆ
"โอม! ช้า ๆ หน่อยลูก แม่กลัว"
"เอาน่า แม่คาดเข็มขัดไว้ก็แล้วกัน"
เขาตอบอย่างคึกคะนอง ถนนต่างจังหวัดมืดมิดทั้งสองข้างทาง มีเพียงไฟหน้ารถเท่านั้นที่ส่องสว่างพอให้เห็นทางข้างหน้าแค่ไม่กี่เมตร นาน ๆ ทีจะมีรถสักคันแล่นสวนทางมา
"โอม! หยุดเลยนะ!"
แม่ของเขาดุเสียงดังขึ้น ทั้งโกรธและกลัว
แต่เขากลับยิ่งเหยียบคันเร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ รถแรงขนาดนี้จะให้ขับช้า ๆ เหมือนตอนอยู่ในกรุงเทพฯ ได้อย่างไร เสียของกันพอดี เข็มบอกความเร็วหน้ารถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะแตะไปที่ตัวเลขสองร้อย โอมถึงกับร้องออกมาอย่างสะใจ
ร่างกายเขาตื่นตัวด้วยอดรีนาลินจนสั่นด้วยความตื่นเต้น กระทั่งลืมลดความเร็วลงเมื่อรถถึงทางโค้ง มันเป็นโค้งที่ลาดลงไปตามไหล่เขา ด้านหนึ่งเป็นผา ด้านหนึ่งเป็นกำแพงหินมหึมาตามธรรมชาติ
ก็เหมือนอีกหลาย ๆ โค้งที่เขาเพิ่งเหาะผ่านมา
เพียงแต่ว่าโค้งนี้... ยังไม่ทันพ้นโค้ง แสงไฟจากรถอีกคันที่สวนมาก็สาดเข้าสายตาเขาพอดี โอมร้องเสียงดัง...มือหักพวงมาลัย...
"อ๊ากกซซ!!!"
โอมผวาขึ้นจากที่นอน เสียงร้องกลืนหายกลายเป็นเสียงหอบหายใจถี่และหนัก เหงื่อท่วมตัวอย่างกับเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ หัวใจยังเต้นแรงจนเขาคิดว่าตัวเองจะหัวใจวายตายเสียแล้ว
เขาอยู่ที่หอ นอนอยู่บนเตียง หลังกินข้าวเสร็จ พวกไอ้เจกับเพื่อน ๆ ชวนกันไปเที่ยวต่อ แต่เขาขอกลับหอพักก่อน
ถ้าพวกนั้นอยู่ด้วยมันคงจะบ่นเขาเหมือนเดิม
'ไอ้ห่าโอมฝันร้ายอีกแล้ว กูแม่งสะดุ้งตื่น นึกว่าอยู่ในหนังผี'
เพื่อน ๆ ที่เป็นรูมเมตรู้ดีว่าโอมมักฝันร้ายสะดุ้งตื่นกลางดึก เมื่อก่อนเป็นบ่อย เดี๋ยวนี้หลังออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ลดลง เดือนนึงอาจจะมีสักคืนเท่านั้นที่ฝันถึงเหตุการณ์นั้น
วันนี้คงเพราะพี่ชายของเขา...พี่อาร์ต...มาหาถึงที่นี่ แถมยังพูดถึงแม่ของเขาอีก
เขาเลยฝันร้ายอีกจนได้
เมื่อหัวใจค่อย ๆ กลับมาเต้นเป็นปกติ เด็กหนุ่มพาร่างสูงเก้งก้างก้าวลงจากเตียง ลุกไปเปิดตู้เย็นหาน้ำเย็นดื่ม ๆเหตุการณ์วันนั้น เขากับแม่ปลอดภัย...เจ็บ แต่ก็ยังปลอดภัย
หลังเหตุการณ์ โอมแทบไม่พูดอะไรยาว ๆ อยู่เป็นเดือน ได้แต่ถามคำ ตอบคำ บางคำก็ไม่ตอบ
เวลาส่วนใหญ่ที่ตื่น ก็จะนั่งน้ำตาไหลเงียบ ๆ
'ลูกชายคุณอรรถกำลังช็อกนะครับ สมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือนก็จริง แต่เห็นชัดว่านี่เป็นผลที่เกิดทางใจ ต้องใช้เวลาสักระยะ...'
หมอบอกพ่อเขาอย่างนั้น
ใช่...โอมช็อก
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น...ไม่ใช่ทุกคนที่รอดกลับมา...
อ่านแล้วเป็นอย่างไร ฟีดแบ็กได้เลยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้ามาก ๆ ค่าาา
พายุยังไม่เคลื่อนผ่าน พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนยังจะตกหนักอีกหลายวัน แต่ในความมืดมนของท้องฟ้านั้น ครอบครัววรเศรษฐกุลกลับสว่างไสวด้วยข่าวดีเพราะชลธิชาให้กำเนิดบุตรสาวคนแรกอย่างปลอดภัยในโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง"เป็นตาคนแล้วนะ แถมยังได้หลานสาวด้วย เลิกเจ้าชู้ได้แล้ว"วิภาเอ่ยลอยๆ ชาญหัวเราะเบาๆ ไม่ตอบว่ากระไร อาจเพราะมัวแต่ปลื้มอกปลื้มใจหลานตาคนแรกนี้คนนี้กิตติทัศน์ก็ดีใจไม่น้อย ความรู้สึกของการเป็นพ่อคนที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัส ทว่าเพราะลูกสาวของเขาเกิดในตระกูลมหาเศรษฐี แทบจะมีพี่เลี้ยงคอยรับใช้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก ไหนจะแม่ยายอย่างวิภาที่คอยประกบทั้งลูกและหลานไม่ห่าง จนเหมือนทุกคนลืมเว้นพื้นที่ให้กิตติทัศน์ได้แสดงบทบาทความเป็นพ่อและสามี...ชายหนุ่มออกมาหากาแฟดื่มแก้เซ็ง ชลธิชาเพิ่งให้นมลูกและหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย อีกหลายชั่วโมงกว่าเธอจะตื่น แม่ยายเขาไล่ให้เขากลับไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านทั้งที่เขาก็อยากอยู่ใกล้ๆ ยัยหนูลูกสาวของเขาเหมือนกัน..."เฮ้อ..."เซลล์หนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว อดคิดไม่ได้ว่าในเมื่อชลธิชาก็ไม่จำเป็นต้องมีเขาอยู่ข้างๆ เธอก็ได้...ถ้าในอนาคตจะหย
ณ ประเทศสิงคโปร์โชติรสสวมแว่นตาดำปิดบังเกือบครึ่งของใบหน้า เดินมาที่ห้องพักชั้นบนของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านมารีน่าเบย์ แม้ค่อนข้างแน่ใจว่าจะไม่เจอคนรู้จักที่นี่ แต่เธอก็อดใจเต้นแรงไม่ได้อยู่ดี...เมื่อกดกริ่งเรียกคนด้านใน อึดใจเดียวประตูก็แง้มออก หญิงสาวก้าวเข้าไปเพียงสองก้าว ประตูก็ปิดตามหลังและโดยไม่ทันตั้งตัวใครที่รออยู่ก็ผลักเธอเข้ากับผนังห้องแล้วระดมจูบอย่างหิวกระหายโชติรสชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที แต่วินาทีต่อมาเธอก็ยกแขนโอบรอบคอเขาแล้วจูบตอบอย่างร้อนแรงพอกัน...ก็ทั้งคู่นัดกันเพื่อสิ่งนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง...จังหวะหนึ่งที่บานกระจกในห้องสะท้อนเงาสองร่าง เผยให้เห็นว่าผู้ชายที่กำลังโรมรันพันตูอยู่กับโชติรสนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เขาคือซีอีโอคนใหม่ของสยามเจ็ต...ภพธร...* * * * "พ่อจะไม่อยู่ตั้งสามอาทิตย์ แกแวะมาดูบ้านบ้างสิอาร์ต"อรรถเอ่ยกับลูกชายคนโตทางโทรศัพท์ เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ไม่เห็นหน้าอธิปเลย อีกไม่กี่วันเขาจะเดินทางไปยุโรปกับลินดา จึงโทรไปบอกลูกชายให้รับทราบไว้"ให้ป้าอ้อมดูแลไปสิฮะ หรือไม่ก็...ลูกสาวของพ่อไง หรือว่ายัยลูกอมก็ไปด้วย""เปล่า ลูกอมไม่ได้ไป พ่อกับน้าลินดาไปก
"โอม! กูมึงชอบมึงไงเข้าใจปะ กูชอบมึงตั้งแต่วันรับน้องแล้ว กูไม่สนแล้วว่ามึงจะคิดยังไงเพราะกูแค่อยากบอกว่ากูชอบมึง กูโคตรชอบมึงเลย จบนะ!"พูดจบก็ลุกพรวดจะเดินหนีไป แต่โอมคว้าแขนไว้ก่อน และเขาหัวเราะออกมาจริงๆ เป็นเสียงหัวเราะแบบที่น้ำแข็งจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นเขาหัวเราะแบบนี้เธอหันไปมองเขาอย่างโกรธๆ แต่สีหน้าของโอมตอนนี้กลับยิ้มเต็มหน้าและดวงตา"นี่ถึงกับพูดมึงกูเลยเหรอ นี่ชอบจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย""เออ! ชอบ! และกูก็จะไม่พูดเพราะๆ กับมึงแล้ว กูเหนื่อย กูขี้เกียจเก๊ก""ก็ไม่เห็นต้องเก๊กเลย น่าจะพูดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว""พูดแบบไหน?""ก็แบบที่เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็..."โอมปล่อยมือ กระแอมแล้วมองไปทางอื่น เหมือนหูเขาจะแดงขึ้นมาเล็กน้อย"แล้วก็อะไร?""แล้วก็...น่าจะบอกออกมาตั้งนานแล้วปะ""อ้าว...แล้วแกไม่รู้รึไง?""รู้ ใครจะไม่รู้วะ แต่แค่อยากได้ยินปะ"โอมพูดออกไปแล้วก็กระแอมอีกรอบ คราวนี้ไม่ใช่แค่หูที่แดงแต่ลามมาที่หน้าและคอ เขาเหลือบมองหน้าน้ำแข็งนิดๆ น้ำแข็งอ้าปากเหมือนจะพูดแต่พูดไม่ออก หน้าตายังงงมากกว่าจะเขิน "เออ ความรู้สึกช้าแบบนี้นี่ไง ถึงได้ไม่รู้อะไรสักที"พูดจบเขาก็เดินกลับเข้าโรงยิม
พนักงานสยามเจ็ตตื่นเต้นกับว่าที่ซีอีโอคนใหม่มาก เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้เลยว่าใครจะมานั่งเก้าอี้นี้แทนอรรถ...หนึ่งในคนที่ตื่นเต้นและแปลกใจที่สุดคงไม่พ้นโชติรสและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เคยได้ให้บริการ "คุณเจย์" ภพธร มาก่อนโดยที่ตอนนั้น"เจอกันอีกแล้วนะครับ"บรรดาแอร์โฮสเตสสาวยิ้มปลื้มที่ซีอีโอคนใหม่จดจำพวกเธอได้"เสียดายเนาะที่มีเมียแล้ว" อีกคนพูดเพราะไปสืบมาแล้วว่าภพธรหรือคุณเจย์แต่งงานแล้ว แม้ไม่รู้ว่าใครคือผู้หญิงหรือผุ้ชายผู้โชคดีคนนั้นก็ตามโชติรสก็เผลอนึกเสียดายเหมือนกัน ทั้งที่เธอไม่มีเหตุผลให้คิดแบบนั้นเลย แต่ไม่ว่าจะรู้สึกกับซีอีโอคนใหม่อย่างไร หญิงสาวก็เก็บมันไว้ในใจอย่างแนบเนียน* * * * *"โอม ช่วงนี้ได้เจอพี่อาร์ตเขาบ้างหรือเปล่า"อรรถถามลูกชายระหว่างกินอาหารเช้าด้วยกันก่อนที่โอมจะไปมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มส่ายหน้า"ไม่เลยครับ""อืม เห็นช่วงก่อนกลับมากินข้าวที่บ้านบ่อยๆ จู่ๆ ก็หายไปอีก...คงแล้วแต่อารมณ์เขาล่ะมั้ง"อรรถถามเองตอบเอง เขาเข้าใจว่าลูกชายคนโตเป็นคนอารมณ์แปรปรวน นึกจะมาจะไปก็คงเอาแน่เอานอนไม่ได้...นี่ถ้าฝากฝังให้ดูแลบริษัทจริงๆ จะทำปั่นป่วนไหมนะ..."โอม...
"นายก็ไม่ได้ดีไปกว่าแฟนเก่าฉันหรอก เห็นแก่ตัวเหมือนกัน คิดเข้าข้างตัวเองเหมือนกัน และก็...ตอแยฉันไม่เลิกเหมือนกัน""ฉันไม่ได้..."อธิปนึกอยากจะเถียง แต่จำนนด้วยหลักฐาน เขายอมปล่อยมือออกจากเอวบางอย่างเสียดายแต่ยังไม่ยอมก้าวห่างไปไหน "ฉันไม่เหมือนแฟนเก่าเธอ เพราะฉันยังไม่มีพันธะอะไรกับใคร""คุณโชติรสได้ยินแบบนี้เธอคงยิ้มดีใจสินะ""ฉันกับโช เราไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น"อธิปแก้ตัว แล้วเขาก็รู้สึกรังเกียจตัวเองขึ้นมานิดๆ ทันทียังไม่นับว่าตอนนี้ลลิตราก็มองมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน...เขามันทุเรศจริงๆ"ช่างฉันเถอะ ฉันมาคุยเรื่องของเรา...อย่าบอกนะว่าเธอไม่เคยรู้สึกกับฉันเลยสักครั้ง..."อธิปยังดื้อดึง ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากคนตรงหน้ารวดเร็วจนเธอผงะหนีแทบไม่ทัน"เธอรู้สึก ฉันดูออก... ไม่ต้องอายหรอกเพราะฉันก็รู้สึก ฉันแทบบ้าที่รู้ว่าเธออยู่ใกล้แค่นี้แต่ทำอะไรไม่ได้...และฉันไม่คิดจะอดทนอีกต่อไป เธอ...ลูกอม...แฟนเก่าเธอมันแต่งงานไปแล้ว แต่ฉันยังว่าง ฉันให้เธอได้ทุกอย่างขอแค่เธอ..."อธิปละไว้ในฐานที่เข้าใจ ลลิตราแค่นหัวเราะ "นายนี่มันเหลือเชื่อจริงๆ""แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะ เยส หรือ โน""แป
"ก็ฉันไม่คิดว่าจะเป็นนายนี่!"ลลิตราเถียง มือยกจับคอเสื้อโดยอัตโนมัติ นึกโล่งอกที่ยังสวมเสื้อชั้นใน และเสื้อนอนผ้าฝ้ายก็ไม่ได้บางจนหมิ่นเหม่"ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วเธอเปิดประตูให้ใคร""เปิดให้น้องโอมมั้ง!" หญิงสาวประชด แต่อธิปกลับสีหน้าจริงจัง"ไม่ต้องมากวน! เธอกำลังรอใคร? ถึงได้รีบเปิดประตูแบบไม่คิดอย่างนั้น""เอ๊ะ! มันเรื่องของฉันนะ นายออกไปได้แล้ว มีอะไรไปคุยกับพรุ่งนี้""แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอตอนนี้ เดี๋ยวนี้""ฉันไม่สะดวก"ลลิตราตอบเสียงแข็ง ตามองออกไปนอกประตู หวังให้น้ำตาลหรือแม้แต่น้ำค้างก็ได้ เดินถือถาดอาหารเข้ามาขัดจังหวะอีกเช่นเคยแต่ท่าทางของเธอทำให้อธิปไม่พอใจเพราะคิดว่าเธอกำลังรอใครอยู่จริงๆ เขายื่นแขนที่ยาวกว่าและมีกำลังมากกว่าปิดประตูใส่หน้าเธอดังโครม แถมยังกดล็อกเสร็จสรรพ"นายอธิป! อย่ามาทำตัวแบบนี้กับฉันนะ!""ทำตัวแบบไหน"อธิปเลิกคิ้ว สีหน้ายียวน แต่แววตาที่เข้มขึ้นบ่งบอกว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์ยั่วล้อมีอะไรบางอย่างในท่าทีนั้นที่ทำให้ลลิตรารู้สึกขึ้นมาว่าวันนี้เขาเอาจริง!ถ้อยคำแรงๆ ที่ตั้งใจจะพูดในตอนแรกจึงถูกกลืนกลับไปทันที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ทำใจดีสู้เสือ"นาย...ค