ชายแดนแคว้นฉู่
“พรึ่บ!” ร่างงามระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ หญิงสาวนอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่บริเวณชายป่าเขตแดนแคว้นฉู่ ซึ่งเดิมทีเป็นของแคว้นฉู่ทั้งหมด ภายหลังต้องแบ่งสิทธิในการดูแลและครอบครองเมืองแถบชายแดนของแคว้นฉู่ทั้งหมดให้กับแคว้นเทียนโจวคนละครึ่งช่วยกันปกครอง เพื่อทางเทียนโจวสามารถสอดส่องและส่งกองทหารมาตรึงตามชายแดน มิให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้นมาได้อีก ด้วยผลจากการพ่ายแพ้สงครามในศึกเหิงไห่เมื่อห้าปีก่อน ทำให้แคว้นฉู่จำต้องยินยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งดีกว่าจะต้องเสียแคว้นให้อยู่ใต้การปกครองของเทียนโจวตลอดไป และการก้าวเดินถอยหลังของวาวาถึงห้าก้าวในเขตแดนปีศาจเข้าสู่ภพมนุษย์ทำให้เธอกลับมาในยุคอดีตภายหลังจากสงครามครั้งใหญ่ระหว่างแคว้นเทียนโจวและแคว้นฉู่เสร็จสิ้นไปแล้วเป็นเวลานานถึงห้าปี ในขณะที่จอมมารชินซางทรงสวมกอดนางเอาไว้แนบอกตลอดเวลาจึงทำให้พระองค์หวนกลับคืนสู่อดีตกาลเช่นเดียวกัน แต่ทรงกลับมาเพียงลำพังโดยไร้สิ้นนางในอ้อมกอด ด้วยเพราะเฉินวาวาก้าวถอยหลังถึงห้าก้าวทำให้กลับมาช้ากว่าพระองค์ห้าปี ร่างงามที่กำลังนอนคว่ำหน้าหมดสติเต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีลามเลียไปทั่วร่าง มีลักษณะเป็นเส้นเลือดสีแดงเข้ม แผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย กำลังเริ่มค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย คงเหลือเพียงบริเวณใบหน้าซีกขวายาวไปถึงลำคอและร่างกายซีกขวาทั้งหมดของหญิงสาวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ หญิงสาวสลบไสลยังไม่ได้สติและมิรู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ในขณะเดียวกันขบวนเสด็จขององค์หญิงจากแคว้นฉู่ ได้ตั้งกระโจมที่ประทับพักแรมอยู่แถบบริเวณดังกล่าวเช่นเดียวกันไม่ไกลจากจุดที่เฉินวาวานอนหมดสติอยู่ในขณะนี้ ขบวนเสด็จดังกล่าวกำลังเดินทางไปแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างแคว้นฉู่และแคว้นเทียนโจว เนื่องจากอดีตฮ่องเต้แคว้นฉู่ทรงมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวคือองค์หญิงเยว่ชิงหรงเท่านั้น ในขณะที่เสด็จสวรรคตกลางสนามรบในครั้งนั้น พระราชธิดาทรงมีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษา ซึ่งยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะสมรสตามจารีตประเพณี ด้วยเหตุที่ยังเยาว์ชันษาแคว้นฉู่จึงเลื่อนกำหนดไปอีกห้าปีข้างหน้า เมื่อองค์หญิงเยว่ชิวหรงมีพระชนม์มายุครบยี่สิบชันษา จึงจะนำพระราชธิดาของแคว้นฉู่เดินทางมาแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นเทียนโจวตามสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างสองแคว้น และระยะเวลาดังกล่าวก็ครบกำหนดในปีนี้ ซึ่งขบวนเสด็จขององค์หญิงแคว้นฉู่ก็คือขบวนเจ้าสาวนั่นเอง ทว่าในเวลานี้ทั่วทั้งกระโจมที่ประทับต่างวุ่นวายกันถ้วนหน้า หมอหลวงเดินเข้าเดินออกกระโจมกันจ้าละหวั่นเมื่อองค์หญิงชิวหรงทรงประชวรอย่างกะทันหัน มีพระอาการชักอยู่ตลอดเวลา จนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นฉู่ซึ่งเป็นพระเชษฐาต้องเสด็จจากวังหลวงมาทอดพระเนตรพระอาการของพระขนิษฐาด้วยพระองค์เอง “องค์หญิงเป็นเช่นไร! เหตุใดจึงมีอาการชักไม่หยุดเช่นนี้!” รับสั่งถามหมอหลวงด้วยความกังวลพระทัย หัวหน้าหมอหลวงที่เดินทางมาพร้อมกับองค์ฮ่องเต้ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เมื่อตรวจพระอาการพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้อย่างละเอียด “องค์หญิงทรงพระประชวรเป็นโรคลมชักพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท และที่น่าหนักใจก็คือทรงมีพระอาการรุนแรงมากเพราะชักติดต่อกันทุกๆ หนึ่งชั่วธูป พระอาการเช่นนี้สามารถสิ้นพระชนม์ได้ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกราบทูลของหัวหน้าหมอหลวง องค์ฮ่องเต้ทรงยืนนิ่งไปโดยพลันครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “น้องหญิงของข้ามีอาการหนักถึงเพียงนี้เชียวรึ! ไอ้โรคบ้านี่มาได้เยี่ยงไร แต่ไหนแต่ไรมานางก็มิเคยมีอาการปรากฏเฉกเช่นนี้มาก่อน จู่ๆ ก็เป็นขึ้นมามันต้องมีสาเหตุ! เจ้าจงตอบข้ามา!” รับสั่งสุรเสียงดังเอ็ดอึง หัวหน้าหมอหลวงได้แต่ก้มหน้านิ่งมองพื้นมิรู้จะกราบทูลเช่นไรดี ได้แต่ตอบความจริงกลับไป “กราบทูลฝ่าบาท โรคนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็มิปรากฏให้เห็นเท่าใดนัก เวลาจะเกิดขึ้นมักจะมาโดยมิทันได้ตั้งตัวทุกราย ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในเด็กเล็กแล้วไซร้ มิเคยมีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่รายเดียว หากปรากฏโรคนี้กับผู้เจริญวัยกว่าอาการจะรุนแรงมากน้อยเพียงใดอยู่ที่สุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าหรงเอ๋อร์มีสุขภาพอ่อนแออย่างนั้นรึ!” รับสั่งถามกลับไปทันที ก่อนจะได้ยินหัวหน้าหมอหลวงกราบทูลตอบกลับมา “ช่วงสามปีหลังองค์หญิงทรงบรรทมมิค่อยได้ด้วยเพราะความกังวลและทรงคิดมาก ประกอบกับภายในพระวรกายทรงมีไอเย็นอยู่มาก ความเป็นหยินในพระวรกายมีมากกว่าหยาง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดโรคนี้แทรกซ้อนขึ้นมา และที่สำคัญโรคนี้ผู้ใดเป็นแล้วไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้แม้แต่น้อย ทำได้แต่เพียงให้บรรเทาลงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยกราบทูลของหมอหลวงทำให้ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ทรงยืนนิ่งงันไปทันใด พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรพระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียวด้วยความรักและห่วงใยยิ่งนัก ด้วยทรงมีกันเพียงแค่สองพระองค์เท่านั้น “น้องหญิงของข้ากลัดกลุ้มเป็นกังวลจนมิอาจหลับได้เป็นเพราะต้องเข้าถวายตัวให้แก่ฮ่องเต้แคว้นเทียนโจว ทั้งๆ ที่ข้ารู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังดึงดันที่จะส่งนางไปให้ได้” รับสั่งพึมพำก่อนจะทรุดพระวรกายประทับลงนั่งบนแท่นพระบรรทม พระหัตถ์ยกขึ้นลูบไล้พระพักตร์พระน้องนางด้วยความรักและเป็นห่วง แต่ในขณะเดียวกันข้อตกลงในฐานะผู้พ่ายแพ้สงครามก็ยังต้องทรงปฏิบัติ ห่วงบ้านเมืองก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ยิ่งพระขนิษฐามาเป็นเสียแบบนี้ทำเอาฮ่องเต้หนุ่มทรงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ข้าจะทำเช่นไรดีเล่าจึงจะแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี จะส่งสาสน์เพื่อเลื่อนการแต่งงานของสองแคว้นออกไปอีกอย่างไม่มีกำหนดแน่ชัดก็ช่างกระไร เทียนโจวอาจจะต้องคิดว่าข้ากำลังวางแผนก่อกบฏอย่างแน่นอน สงครามครั้งก่อนทำให้แคว้นฉู่บอบช้ำและเสียกำลังพลไปกว่าครึ่ง ระยะเวลายังไม่สุกงอมที่จะตลบหลังเทียนโจวในเวลานี้ได้ ตราบใดที่ยังมิล่วงรู้ทางหนีที่ไล่ภายในวังหลวง” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัยก่อนจะปิดพระเนตรลง เมื่อทรงเริ่มมีพระอาการปวดพระเศียร “ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องใช้ความคิดและตัดสินใจ พวกเจ้าอยู่ทางนี้ดูแลองค์หญิงให้ดี” รับสั่งกำชับบรรดาหมอหลวง “พ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเหล่าหมอหลวงขานรับอย่างพร้อมเพรียง พระวรกายสูงโปร่งทรงลุกยืนจากแท่นพระบรรทมเสด็จพระดำเนินออกจากกระโจมที่ประทับพร้อมโดยมีราชองค์รักษ์คอยติดตามอารักขาสองนายฮ่องเต้เยว่ชิงอวิ้น เจ้าผู้ครองแคว้นฉู่องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระบิดาฮ่องเต้เยว่อู๋หมิน ที่เสด็จสวรรคตกลางสนามรบในสงครามเหิงไห่เมื่อห้าปีก่อน และนับตั้งแต่นั้นมาแคว้นฉู่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเทียนโจวมาโดยตลอดด้วยผลจากการพ่ายแพ้สงครามอย่างยับเยิน
อีกทั้งตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาแคว้นเทียนโจวแผ่ขยายอำนาจอย่างเกรียงไกรไปทั่วทุกสารทิศ ด้วยทางแคว้นเทียนโจวปรากฏมีนักรบลือนามเปรียบประดุจเทพสงคราม ไม่ว่าจะออกรบตีแคว้นใดหรือนำกองทัพออกต้านทัพจากแคว้นอื่นๆ ที่เข้ามารุกรานเป็นอันต้องถูกตีแตกพ่ายอย่างยับเยินถอยร่นไม่เป็นกระบวนเลยทีเดียว ทำสงครามคราใดชนะทุกครั้งไม่เคยมีคำว่าแพ้ องค์ชายสี่พระนามโจวชินซาง หรือชินอ๋อง จึงได้รับการเทิดทูนจากผู้คนทั่วหล้าและทั่วทุกแคว้นว่าทรงเป็นเทพสงครามลงมาจุติ พระองค์ทรงมีอำนาจและมีอิทธิพลแข็งแกร่งจากพสกนิกรที่ให้ความเคารพและเลื่อมใส อีกทั้งกุมอำนาจทางทหารทั่วทั้งแคว้นอยู่กับพระองค์ทั้งหมด ในขณะเดียวกันเสียงร่ำลือต่างแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน หากแม้นแคว้นใดปรากฏพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของชินอ๋องสวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงปล่อยยาวสยาย พระหัตถ์ถือดาบยาวคู่พระวรกาย แคว้นนั้นเป็นอันต้องพังพินาศย่อยยับไปชั่วพริบตา หากแม้นชินอ๋องปรากฏพระวรกายด้วยอาภรณ์สีนิลกาฬ แต่เกศาสีเงินยวงถูกเกล้าขึ้นสูงมิได้ปล่อยยาวสยายและมิได้ถือดาบยาวซึ่งเป็นอาวุธคู่พระวรกาย แคว้นนั้นจะรอดพ้นจากภัยพิบัติที่กำลังประสบอยู่ไปชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ชินอ๋อง หรือองค์ชายโจวชินซางจึงได้รับการยกย่องจากพสกนิกรของพระองค์รวมไปถึงต่างแคว้นที่เป็นพันธมิตรเปรียบประหนึ่งเทพเจ้า ประชาชนพากันสักการบูชากราบไหว้ภาพเหมือนของชินอ๋องกันอย่างถ้วนหน้าเพื่อเป็นสิริมงคล และด้วยความเชี่ยวชาญในการทำสงครามของชินอ๋อง จึงทำให้แคว้นเทียนโจวแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียงแค่ห้าปี จากแคว้นที่กำลังค่อยๆ เติบโตและมีชื่อเสียงในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์เป็นอู่ข่าวอู่น้ำ และอุดมไปด้วยสายแร่ทองคำและเหมืองหยกได้กลับกลายเป็นแคว้นยิ่งใหญ่ที่ครอบครองแคว้นใต้อาณัติไม่ต่ำกว่าร้อยแคว้นเลยทีเดียว และด้วยความยิ่งใหญ่ของแคว้นเทียนโจว ทำให้เยว่ชิงอวิ้นฮ่องเต้ จำต้องกล้ำกลืนเก็บความแค้นอันยิ่งใหญ่เพื่อแก้แค้นแทนพระบิดาของพระองค์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือเทียนโจวมีชินอ๋อง คอยคุ้มครองปกป้องอยู่ตลอดเวลา พสกนิกรรักและเทิดทูนมากกว่าโจวฟางหยางฮ่องเต้ ซึ่งขึ้นครองราชย์แทนโจวเฉินกงฮ่องเต้ที่เสด็จสวรรคตลงหลังจากเสร็จศึกเหิงไห่ และก่อนจะเสด็จสวรรคตเฉินกงฮ่องเต้ได้มีพระบรมราชโองการลับพร้อมมอบตราประทับฮ่องเต้ให้องค์ชายสี่ขึ้นครองแคว้น แทนที่จะเป็นองค์รัชทายาท ทว่าจอมมารชินซางทรงไม่ประสงค์ที่จะขึ้นครองแคว้นเทียนโจวแต่อย่างใด ด้วยตำแหน่งฮ่องเต้จะทำให้มิสามารถตามหาเจ้าสาวในชุดขาวของพระองค์ได้ จอมมารทรงทำลายพระบรมราชโองการลับและมอบตราประทับฮ่องเต้ให้โจวฟางหยางขึ้นครองแคว้นตามเดิม ทรงยินดีที่จะดำรงตำแหน่งเป็นเพียงชินอ๋อง หากแต่กุมอำนาจของกองทัพเอาไว้ทั้งหมดและประทับอยู่แต่ชายแดนเพื่อนำกองทัพออกปกป้องแคว้นอื่นๆ ที่มารุกราน และเข้าตีแคว้นที่คิดจะครอบครองเทียนโจวมาอยู่ใต้การปกครองตามสัตย์สัญญาที่ส่งให้ไว้กับเฉินกงฮ่องเต้ก่อนจะเสด็จสวรรคต ด้วยเหตุนี้ตราบใดที่เทียนโจวยังมีชินอ๋อง ตราบนั้นเทียนโจวก็มิอาจถูกทำลายลงได้โดยเฉพาะผู้ที่ลงมือสังหารพระบิดาของพระองค์ก็คือโจวชินซางนั่นเอง ช่างเป็นบุคคลที่ทำให้เยว่ชิงอวิ้นฮ่องเต้ทรงคำนึงถึงคราใด เพลิงแค้นลุกโชนแทบจะกระอักพระโลหิตออกมาเสียให้ได้ ฮ่องเต้หนุ่มพระดำเนินไปตามทางเดินแนวชายป่าพร้อมราชองค์รักษ์ติดตามถวายอารักขา ตลอดเส้นทางทรงครุ่นคิดหาหนทางที่จะหาทางออกให้เป็นไปได้ด้วยดี “ฝ่าบาททรงกังวลพระทัยเรื่องขององค์หญิงอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ราชองครักษ์คนสนิทกราบทูลถาม พระพักตร์พยักขึ้นลงติดต่อกันพลางทอดถอนพระทัยออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม “หรงเอ๋อร์เป็นแบบนี้ก็เพราะนางคิดมากที่จะต้องไปถวายตัวให้กับฮ่องเต้เทียนโจว เหตุการณ์สวรรคตของอดีตฮ่องเต้ทำให้ข้าและนางไม่มีวันที่จะลืมความแค้นที่เทียนโจวกระทำไว้ แม้ว่านางจะไม่อยากไปถวายตัวแต่เพื่อแผนการที่วางเอาไว้จึงรับอาสาที่จะไปทำงานใหญ่ครั้งนี้...แต่ดูรึ จู่ๆ ก็มาเป็นโรคบ้าบอขึ้นมาอย่างกะทันหัน” รับสั่งอย่างกลัดกลุ้ม “ในเมื่อองค์หญิงทรงเกิดป่วยกะทันหันเช่นนี้ แผนที่วางเอาไว้ก็มิอาจไปต่อได้ โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่ฝ่าบาททรงมีพระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียว หากแม้นมีหลายพระองค์ก็คงไม่เป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็ยังสามารถมอบหมายให้พระขนิษฐาองค์อื่นๆ สานงานต่อได้” ราชองครักษ์คนสนิทเอ่ยแสดงความคิดเห็น ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างของคนสวมอาภรณ์สีขาวส่องประกายวาววับท่ามกลางแสงตะวัน “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตร! รู้สึกตรงนั้นจะมีคนนอนอยู่พ่ะย่ะค่ะ!” ราชองค์รักษ์กล่าวพร้อมชี้ให้ฮ่องเต้ของตนทอดพระเนตรไปยังจุดดังกล่าว พระเนตรสีดำสนิททอดพระเนตรตามนิ้วของราชองครักษ์ไปเบื้องหน้าทันที พระขนงขมวดเข้าหากันทันใด “พวกเจ้าไปดูสิว่าผู้ใดมานอนกลางป่าเช่นนี้ได้ อีกทั้งอยู่ใกล้กระโจมที่พักของหรงเอ๋อร์เสียด้วย” ทรงมีพระบัญชาออกไปโดยพลัน หนึ่งในราชองครักษ์รับพระบัญชาพร้อมรีบวิ่งตรงดิ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ครั้นวิ่งมาถึงร่างที่กำลังนอนหมดสติคว่ำหน้าอยู่ในเวลานั้น ก็ล่วงรู้โดยพลันว่าเป็นอิสตรี “อิสตรีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ราชองครักษ์คนดังกล่าวตะโกนก้องกลับมา และนั่นทำให้พระขนงเข้มขมวดเข้าหากันทันใด “สตรีอย่างนั้นหรอกรึ! เหตุใดจึงมานอนกลางป่าเช่นนี้” รับสั่งพร้อมพระดำเนินตรงไปยังบริเวณดังกล่าวทันที ครั้นพระดำเนินมาถึงชิงอวิ้นฮ่องเต้ทรงหยุดยืนนิ่งโดยพลัน เมื่อทอดพระเนตรอาภรณ์บนกายสตรีผู้นั้นเป็นชุดเจ้าสาวสูงค่าสำหรับเชื้อพระวงศ์ใส่เข้าทำพิธีอภิเษกสมรสเท่านั้น “อาภรณ์ที่สตรีผู้นี้สวมอยู่เป็นฉลองพระองค์สำหรับเข้าพิธีอภิเษกสมรสสำหรับเชื้อพระวงศ์เท่านั้น มงกุฎหงส์ของนางบอกได้ทันทีว่าเป็นพระชายาเอก นางเป็นองค์หญิงจากแคว้นใดเล่าจึงมาหมดสติบริเวณนี้ได้” รับสั่งพร้อมทรุดพระวรกายลงประทับนั่งยองๆ พลางพลิกร่างงามให้กลับมานอนอยู่ในท่านอนหงาย “เหวอ!” เสียงอุทานดังออกมาพร้อมกันเมื่อพลิกร่างของสตรีนางนั้นกลับมาในท่านอนหงาย ราชองครักษ์ทั้งสองต่างรีบกันฮ่องเต้ของตนให้ห่างจากสตรีตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นรูปโฉมของนางที่เต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีทั้งใบหน้าและร่างกายบางส่วน “ช่างเป็นสตรีที่มีใบหน้าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร! รูปโฉมดั่งปีศาจเช่นนี้บุรุษใดเล่าช่างโชคร้ายยิ่งนัก” หนึ่งในราชองครักษ์รำพึงออกมาทันทีก่อนจะเบือนหน้าหน้าด้วยมิอยากเพ่งพิศรูปโฉมของนางไปมากกว่านี้ ทว่าตรงกันข้ามกับชิงอวิ้นฮ่องเต้ ครั้นทรงหายจากอาการตกพระทัยเมื่อคราแรกเห็น ฮ่องเต้หนุ่มทรงตั้งพระสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว พร้อมทรงทอดพระเนตรสตรีตรงหน้าพระพักตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง เพียงครู่ทรงเบิกพระเนตรกว้างเมื่อครุ่นคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาในพระทัยได้ทันใด “ในที่สุดข้าก็มีหนทางแล้ว!” ฮ่องเต้หนุ่มรำพึงอยู่ภายในพระทัยพร้อมมีรับสั่ง “แม้นางจะมีรูปโฉมน่าสะพรึงกลัวแต่ชาติกำเนิดสูงศักดิ์ คาดว่าจะต้องเกิดเหตุร้ายกับขบวนเจ้าสาวของนางเป็นแน่จึงได้พลัดหลงหรืออาจจะรอดชีวิตมาได้เพียงผู้เดียว เจ้ามิสังเกตนางหรอกรึอาภรณ์รวมไปถึงเครื่องประดับ มิใช่สามัญชนแม้แต่น้อยที่กำลังแต่งงานออกเรือน ตรงกันข้ามนางมีฐานันดรเป็นถึงองค์หญิงเลยทีเดียว นำนางกลับไปที่กระโจม!” ทรงมีพระบัญชาออกไปทันที พร้อมมีรับสั่งสำทับตามติดมา “ลู่เหอ! เจ้าจงกลับไปเมืองหลวงให้ช่างทองของราชสำนักตีหน้ากากทองคำฉลุลายดอกจวี๋ฮวามาเป็นกรณีพิเศษ ให้ครอบใบหน้าซีกขวาของสตรีและจะต้องทำให้เสร็จภายในสามวัน! เข้าใจหรือไม่” ครั้นราชองครักษ์คนสนิทได้ยินพระบัญชาขององค์ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ลู่เหอหันกลับไปมองสตรีปริศนาทันทีด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้น ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ราชองค์รักษ์ขานรับพระบัญชาพร้อมรีบตรงเข้าช้อนร่างสตรีที่นอนมิได้สติขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วนำกลับกระโจมที่ประทับ โดยมีสายพระเนตรชิงอวิ้นฮ่องเต้ทอดพระเนตรตามหลัง “ข้ามีทางออกให้เจ้าแล้วชิวหรง!” รับสั่งรำพึงถึงพระน้องนาง ก่อนจะเหลือบสายพระเนตรกระทบเข้ากับบางสิ่งที่ตกอยู่บนพื้นดิน พระหัตถ์เอื้อมหยิบออกจากพงหญ้าขึ้นมาทอดพระเนตรทันใด ป้ายหยกสีเขียวมรกตจากยุคปัจจุบัน ซึ่งทำขึ้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้นางร้ายหน้าสวยเฉินวาวาใช้ในการถ่ายทำฉากแรกสลักชื่อตัวละครเอก เยว่วาวา เอาไว้ตามท้องเรื่องที่หญิงสาวต้องถ่ายทำ บัดนี้อยู่ในพระหัตถ์ของชิงอวิ้นฮ่องเต้แห่งแคว้นฉู่ในยุคโบราณ “เยว่วาวา!นางมาจากตระกูลเยว่อย่างนั้นรึ! เป็นไปได้อย่างไรกัน” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยอย่างยิ่งยวดพระพักตร์เงยขึ้นทอดพระเนตรตามหลังราชองค์รักษ์ที่กำลังอุ้มสตรีนางนั้นกลับกระโจม ท่ามกลางความสงสัยและเต็มไปด้วยคำถามมากมายพระราชวังจำลองพิธีอภิเษกสมรสในซีรีส์เรื่องดัง ถ่ายทำฉากกราบไหว้ฟ้าดินระหว่างนางมารร้ายตัวเอกของเรื่องและชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเฉินวาวาด้วยความรู้สึกยากเกินจะบรรยายออกมาได้ ด้วยทุกอย่างตรงกับพิธีที่การทุกอย่างในยุคอดีต ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งสถานที่โดยรอบ บรรดาข้าราชบริพารที่ยืนประจำจุดของตน รวมไปถึงตำแหน่งที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ล้วนเหมือนกันทุกอย่าง“อะ... อะไรกันนี่!” หญิงสาวในชุดเจ้าสาวโบราณในพิธีเตรียมพร้อมเข้าฉากถึงกับยืนตะลึงไปโดยพลันในขณะที่อู๋ชิงเหยียนก็มีอาการไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย ไม่คาดคิดว่าพิธีแต่งงานในยุคโบราณจะยิ่งใหญ่อลังการถึงขนาดนี้“โอ้โฮ! วาวาเธอนี่โคตรโชคดีเลยให้ตายสิ! ได้เข้าฉากแต่งงานยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ ราวกับว่าเข้าไปมีชีวิตในซีรีส์เรื่องนี้เลยนะ” แม่ผู้จัดการสาวกล่าวออกมาตามความรู้สึก“ฉันเคยเข้าพิธีแบบนี้มาแล้วกับชินอ๋องแห่งเทียนโจว และครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ฉันจะได้เข้าพิธีแบบนี้อีก แตกต่างตรงที่คนที่ฉันจะเข้าพิธีในครั้งนี้ไม่ใช่ท่านอ๋องของฉัน”
งานแสดงแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรเฉินวาวานั่งเงียบงันอยู่บนรถ SUV ของบริษัทฯ ซึ่งเธอเดินทางมาร่วมงานในฐานะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ของ JCS GOLD MASTER ใบหน้างดงามลึกล้ำถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนเฉิดฉายน่ามองชวนหลงใหลอย่างยิ่งยวด หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับมีแต่ความหม่นหมอง ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนก่อน“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากแม่ผู้จัดการสาว บ่งบอกให้รู้ว่าเธอกลุ้มใจกับอาการของเพื่อนรัก“วาวา! ถึงงานแล้วไม่ลงเหรอ นั่งเหม่อมาตลอดทาง ไม่ใช่สิ นั่งเหม่อมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นแบบนี้จะสองอาทิตย์แล้วนะ ถามจริงเถอะ! เมื่อไรอาการแบบนี้จะหายไปจากตัวแกเสียที” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดให้เพื่อนรัก“ไม่หาย! ไม่มีใครรักษาฉันหายหรอกเหยียนเหยียน ป่วยกายรักษาด้วยยาหายได้ แต่ป่วยใจคนที่รักษาได้คือคนรักของฉันเท่านั้น มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวที่ทำได้” กล่าวพร้อมหยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาทันที“แปะ!” น้ำตาร่วงหล่นลงมาทันใด“อั้ยยะ! อย่าร้องนะ! อย่าร้อง... ห้ามร้องเด็ดขาดเลย จะต้องเข้าไปในงาน
มณฑลเสฉวน ณ โรงพยาบาลเฉิงตูภายในห้องคนไข้พิเศษพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารชินซางยังคงอยู่ในห้วงญาณหลับใหลมาโดยตลอด พระพักตร์หล่อเหลาตราตรึงรัญจวนจิต รับกับขนตางามงอนเป็นแพยาวสวย พระนาสิกโด่งสันสวยขึ้นเป็นสันคม ภายใต้เกศาสีเงินยาวสยายเต็มหมอนที่กำลังถูกนางพยาบาลใช้แปรงหวีพระเกศาสีเงินยาวสยายอย่างเบามือ“ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล่อยิ่งกว่าพระเอกหนังอีกเลยเนอะ พระเอกบางคนยังหล่อสู้ไม่ได้เลย เป็นลูกครึ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ถึงมีเส้นผมสีบลอนด์เงินแบบนี้ สีเงินสม่ำเสมอไม่ใช่สีขาวเพราะผมหงอกก่อนวัยด้วย แถมสูงเกือบสองเมตร หุ่นก็ดี๊ดี... กล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วนเลย เช็ดตัวให้ทีไรมีความสุขจริงๆ เลยนะเธอ” นางพยาบาลสองคนที่ช่วยกันดูแลคนไข้ปริศนา ต่างคุยกันอยู่ใกล้เตียงด้วยความเคลิบเคลิ้มอย่างยิ่งยวดตั้งแต่จอมมารถูกช่วยขึ้นจากน้ำตกในอุทยานแห่งชาติที่เดียวกันกับเฉินวาวา หากแต่พบพระองค์ห่างไกลออกไปนอนหมดสติอยู่ทางต้นน้ำ หลังจากนั้นได้ถูกช่วยจากเจ้าหน้าที่อุทยานนำส่งโรงพยาบาลเฉิงตู หลังพระชายาเข้าทำการรักษาไปแล้วหนึ่งวัน นับ
ร่างระหงตรงดิ่งเข้าสวมกอดนางพยาบาลที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด ในขณะที่อีกฝ่าย อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมนางร้ายหน้าสวยจึงรู้จักชื่อของเธอ สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“คุณเฉินวาวารู้จักชื่อของฉันด้วยเหรอคะ” นางพยาบาลที่เหมือนมู่อิงราวเป็นคนเดียวกันถามทำลายความเงียบหญิงสาวที่กำลังสวมกอดด้วยความดีใจ ยิ้มกว้างพร้อมหยาดน้ำตาก่อนจะปล่อยร่างนั้นออกจากอ้อมกอดของเธอเพื่อสำรวจใบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ครั้นยิ่งมองยิ่งเหมือนมู่อิงในยุคอดีตทำให้เฉินวาวายิ่งหลั่งน้ำตามากขึ้นไปกว่าเดิม“ขอโทษด้วยคะ พอดีคุณเหมือนกับคนที่ฉันรู้จักมากๆ เธอมีชื่อและหน้าตาเหมือนกับคุณพยาบาลไม่มีผิดเพี้ยน ก็เลยทำให้นึกถึงและคิดถึงมากด้วย”หญิงสาวตอบพลางส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมาทันทีนางพยาบาลสาวถึงกับน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันที เธอเอื้อมมือไปจับมือเรียวสวยของนางร้ายที่เธอชื่นชอบ พร้อมเอ่ยปลอบโยน“อย่าร้องไห้เลยนะคะ เดี๋ยวคนที่คุณรู้จักถ้ารู้ว่าร้องไห้เพราะคิดถึงแบบนี้จะไม่สบายใจเอาได้ ร้องไห้มากตาบวมเดี๋ยวไม่สวยนะคะ”หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาทันทีเม
ยุคอนาคตมณฑลเสฉวน ณ.โรงพยาบาลเฉิงตูภายในห้องพิเศษบัดนี้ร่างงามระหงของเฉินวาวา กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หญิงสาวได้กลับคืนสู่ยุคอนาคต และยังคงอยู่บนผืนแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ เธอหลับใหลตั้งแต่อยู่ในอดีตกาลจนกระทั่งกลับมาสู่อนาคตอย่างไม่คาดฝันร่างของเธอถูกพบอยู่บริเวณน้ำตกในอุทยานแห่งชาติในชุดเกราะและสวมหน้ากากทองคำอยู่ด้วยในขณะนั้น แผลจากคมธนูที่ถูกฮ่องเต้แคว้นเยว่ยิงปักถูกร่างนั้น ถูกเย็บและได้รับรักษาเป็นอย่างดีจากแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีใครล่วงรู้ว่าเธอมาปรากฏกายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ในขณะที่การพบนางร้ายหน้าสวยเฉินวาวาเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหญิงสาวหายสาบสูญไปนานกว่าหนึ่งเดือน อันเป็นระยะเวลาของโลกอนาคตที่ดำเนินอยู่ ซึ่งแตกต่างจากยุคอดีตที่จากมากาลเวลาในยุคอดีตผ่านไปแล้วหนึ่งปีในขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนักข่าวต่างรอทำข่าวกันอย่างเนืองแน่น เมื่อข่าวการค้นพบของเฉินวาวา นางร้ายหน้าสว
ฉับพลันสุรเสียงของจอมมารชินซางดังกระหึ่มท่ามกลางทะเลเพลิง“มันผู้ใดหาญกล้าแตะต้องราชินีของข้า!” สุรเสียงของจอมมารดังกึกก้อง พร้อมพระวรกายค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลเพลิงที่ลุกโชนท่วมสูงทิวเขาต่อหน้ากองทัพของทั้งสามแคว้นท่ามกลางสายตาของมนุษย์ที่มีมากมายเป็นเรือนแสนของสองฝั่งแม่น้ำ ต่างยืนมองอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินปลิวยายสยาย ในขณะที่รองแม่ทัพซึ่งล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างเมื่อเห็นชินอ๋องทรงฟื้นขึ้นดั่งเดิมและปรากฏอยู่ตรงหน้าท่ามกลางทะเลเพลิงอยู่ในขณะนี้“ชินอ๋องทรงฟื้นแล้ว! พระองค์ช่วยพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ฮ่องเต้โฉดผู้นี้กำลังจะจับพระชายาถ่วงน้ำ!” รองแม่ทัพตะโกนแทรกออกไปทันทีและนั่นทำให้ชิงอวิ้นฮ่องเต้ถึงกับชะงักงันเมื่อบุรุษสูงใหญ่ตรงพระพักตร์แท้จริงแล้วคือชินอ๋องผู้วายชนม์ไปแล้วเมื่อสามเดือนก่อนแต่บัดนี้กลับมาปรากฏพระวรกายด้วยร่างที่ยังคงรูปมิเน่าเปื่อยแต่อย่างใด“เป็นไปไม่ได้! คนตายแล้วฟื้นคืนกลับมาอย่างนั้นรึ!” รับสั่งรำพึงรำพันในขณะเดียวกันพระวรกายสูงใหญ่ทะ