กลับมาถึงบ้านหลังเล็กมีนาก็ช่วยนฤดลแกะอุปกรณ์ประคองข้อเท้าและผ้าที่พันไว้โดยรอบออกก่อนจะพาเขาเดินมาส่งที่หน้าห้องน้ำ โดยเธอเตรียมเก้าอี้และผ้าเช็ดตัวรอไว้แล้ว
“คุณดลห้ามให้แผลโดนน้ำนะคะ” หญิงสาวย้ำกับเขาอีกครั้งเพราะตอนนี้แผลของชายหนุ่มใกล้จะหายดีแล้ว แต่หมอก็สั่งไว้ว่าห้ามโดนน้ำเด็ดขาด
“มันจะโดนได้ยังไงก็เธอติดพลาสเตอร์กันน้ำไว้แล้ว แต่ถ้าน้ำเข้าไปในแผลมันก็เป็นความผิดของเธอนะมีนา”
“แล้วคุณดลจะอาบทำไมล่ะคะ เช็ดตัวเอาก็ได้เดี๋ยวมีนาเช็ดให้เอง”
“เช็ดตัวกับอาบน้ำมันสดชื่นต่างกันนะ ถ้าเธอมั่นใจว่าตัวเองปิดแผลอย่างดีก็ไม่เห็นต้องกังวล ออกไปรอฉันข้างนอกได้แล้วจะทำธุระส่วนตัวบ้าง”
“มีนารอข้างนอก ถ้าคุณดลอยากได้อะไรก็ตะโกนเรียกนะคะ”
“ไม่ต้องรอหรอก อีกครึ่งชั่วโมงค่อยเข้ามาประคองฉันก็ได้ เธอระหว่างรอเธอก็ไปอาบน้ำก่อน”
“ได้ค่ะ” มีนารับคำก่อนจะกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง จากนั้นก็รีบอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็วให้เร็วเพื่อจะมารับนฤดลออกจากห้องน้ำ
แต่ถึงแม้จะรีบยังไงก็ยังช้ากว่านฤดล เพราะตอนที่หญิงสาวเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองนฤดลก็มานั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวีแล้ว
“ทำไมไม่รอมีนาละคะ ถ้าลื่นล้มขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็เธอช้า”
“ช้าที่ไหน ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อล่ะคะ หรือใส่ไม่ได้ ให้มีนาช่วยไหม”
“ฉันไม่รู้ว่าน้ำเข้าแผลหรือเปล่า เลยจะให้เธอช่วยดูหน่อย” นฤดลบอกขณะที่อีกมือก็เช็ดผมของตนเองไปด้วย
“เหรอคะ ขอมีนาดูหน่อย” มีนารีบเข้ามาดูอย่างรวดเร็วจนชายหนุ่มต้องกลั้นขำเพราะดูเธอจะตกใจเกินกว่าเหตุ
“น้ำเข้าไหม”
“ไม่นะคะ” มีนาตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นแล้วเธอก็นิ่งเมื่อพบว่าเขากำลังมองก้มลงมองเธออยู่ ใบหน้าทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร
“ว่าไงมีนา น้ำซึมเข้าแผลไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“เหรองั้นก็แล้วไป สงสัยว่าฉันจะคิดมากไปเอง”
“ถ้าคุณไม่สบายใจให้มีนาเปิดออกไหม”
“ไม่เป็นไร ฉันเชื่อใจเธอ”
“คุณดลสวมเสื้อก่อนนะคะเดี๋ยวจะไม่สบาย” หญิงสาวหยิบเสื้อมาสวมให้เขาจากนั้นก็ติดกระดุมจนครบทุกเม็ด แต่ระหว่างติดก็แอบมองกล้ามท้องของเขาไปด้วย
“มีนา ฉันง่วงแล้ว เอาไม้เท้าให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะกลับห้องแล้ว” ตอนนี้มันเพิ่งสี่ทุ่มนฤดลไม่ง่วงเลยสักนิด แต่เพราะเมื่อครู่เขาอยู่ใกล้เธอจนเกินไป พอได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาจากตัวหญิงสาวเขาก็รู้สึกว่าต้องรีบห่างจากเธอให้เร็วที่สุดก่อนที่อะไรในตัวของเขามันจะตื่นตัว
“แต่คุณดลผมยังไม่แห้งเลย เดี๋ยวมีนาเช็ดให้ นานหรอกนะคะ”
นฤดลส่งผ้าเช็ดตัวให้มีนาก่อนที่ตัวเองจะหันหลังให้กับหญิงสาวที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเช็ดผมอย่างเบามือ
“ผมคุณดลยาว มันเลยแห้งช้า”
“ปกติฉันตัดทุกเดือน แต่นี่มันเลยมาเดือนหนึ่งแล้ว”
“คุณดลอยากไปตัดผมไหม เดี๋ยวมีนาพาไป”
“ฉันไม่อยากออกไปไหนเลย มันเดินไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ไม่อยากเธอเสียวเวลารอด้วย” นฤดลรู้สึกว่าตนเองจะเป็นเป้าสายตาคนอื่นและไม่อยากให้เธอมีนารู้สึกอึดอัดไปกับเขาด้วย
“ไม่เสียเวลาหรอกค่ะ ถ้าคุณดลอยากไปตัดผมเราก็ไปตัดผม หรืออยากออกไปไหนมีนาก็จะไปด้วย”
“เดินกับฉันไม่อายหรือไง ทั้งไม้เท้าทั้งที่พยุงข้อเท้า อย่างกับหุ่นยนต์”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่มีอะไรน่าอายเลย”
“คนอื่นเขาจะหาว่าฉันไม่รู้จักเจียมตัว เจ็บเดินไม่คล่องแทนที่จะอยู่บ้าน ยังจะออกมาเพ่นพ่านอีก”
“จะสนใจคนอื่นทำไมคะ ตกลงพรุ่งนี้เราไปตัดผมกันนะคะ”
“ได้สิ แต่ต้องหลังจากที่ฉันไปประชุมที่โรงเรียนก่อน”
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้เธอต้องไปกับฉันด้วยนะมีนา”
“ได้สิคะ คุณดลไปไหนมีนาก็ไปที่นั่น แต่ตอนนี้ต้องแยกกันก่อนเพราะมีนาก็ง่วงแล้วค่ะ ผมคุณดลก็แห้งแล้วด้วย
หญิงสาวหยิบไม้เท้ามาส่งให้เขาจากนั้นก็เดินไปส่งที่บนเตียงจัดการห่มผ้าให้เขาอย่างเรียบร้อย
“ถ้าคุณดลจะเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนก็เรียกมีนานะคะ อย่าไปคนเดียว”
“ฉันแล้วเธอจะได้ยินเหรอ ห้องเธออยู่ตั้งไกลนะมีนา”
“จริงสิ มีนาลืมไปนึกว่ายังอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าอย่างนั้นคุณดลก็โทรหามีนา รับรองว่ามีนาจะรีบมาทันทีเลยค่ะ”
“อือ เอาล่ะ เธอไปนอนได้แล้ว อย่าลืมปิดไฟให้ฉันด้วยนะ”
มีนากลับห้องของเธอไปนานแล้วแต่นฤดลก็ยังนอนไม่หลับ ทั้งที่คิดถึงเตียงนอนนุ่มๆ มาก แต่พอมานอนเข้าจริงๆ กลับรู้สึกไม่เหมือนอย่างที่คิดเลยสักนิด
สองเดือนที่ผ่านมาเขานอนห้องเดียวกับมีนามาตลอด ถึงแม้เธอจะนอนที่โซฟาตรงมุมห้อง ส่วนตนเองนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย แต่ทุกครั้งที่หันไปเขาก็จะเธออยู่ที่นั่น
นฤดลคิดว่ามันคงเป็นความเคยชินที่เห็นมีนาอยู่ในสายตาตลอด จึงพยายามข่มตาลงอีกครั้ง แต่มันไม่ได้ช่วยให้เขาหลับลงได้เลย ยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งหงุดหงิดเมื่อนึกไปถึงอีกคนที่ป่านนี้คงหลับไปอย่างมีความสุขแล้ว
เกือบจะตีสองนฤดลนั่งมองโทรศัพท์ ถ้าเขาโทรหามีนาในเวลานี้และบอกให้เธอพาเข้าห้องน้ำหญิงสาวก็คงไม่ว่าอะไร เขาแค่อยากเห็นหน้าเธอก่อนนอนอีกครั้งเพราะความเคยชินเท่านั้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาก็กดโทรออกแต่สัญญาณรอสายดังเพียงครั้งเดียวประตูห้องก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว
“คุณดลเรียกมีนาใช่ไหมคะ”
“ใช่ แต่ทำไมเธอมาเร็วจัง”
“ก็มีนาเป็นห่วงคุณดลไงคะ แล้วคุณเรียกมีนามาทำไมคะ”
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
พอได้ยินดังนั้นมีนาก็รีบเปิดไฟกลางห้องก่อนจะส่งไม้เท้าให้เขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากชายหนุ่มกลับขึ้นมานอนบนเตียงอีกครั้งมีนาก็ปิดไฟกลางห้องแล้วหันหลังกลับ แต่ยังเดินไม่ถึงประตูนฤดลก็เรียกเธอไว้ก่อน
“ฉันนอนไม่หลับ เธอล่ะนอนหลับดีไหม”
“มีนาก็นอนไม่หลับ สงสัยจะแปลกที่ค่ะ”
“เหรอ สงสัยจะเป็นอย่างนั้น ปกติแล้วฉันจะนอนที่คอนโด พอกลับมาอยู่ที่บ้านก็เลยไม่ชิน”
“ค่ะ คุณดลรีบนอนเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว มีนาจะได้รีบกลับไปนอน”
“นอนด้วยกันที่นี่ได้ไหม ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” เขาพูดพลางขยับไปอยู่อีกข้างหนึ่งของเตียงเพื่อเว้นที่ให้หญิงสาวได้ขึ้นมานอนกับตนเอง
“ไม่ดีกว่าค่ะ มีนาไม่อยากรบกวนคุณดล”
“ไม่รบกวนเลย ขึ้นมานอนเถอะไม่เห็นต้องกลัวอะไร เรานอนด้วยกันมาสองเดือนแล้วนะ”
“มีนาไม่ได้กลัวนะคะ แต่ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล”
“ถ้าเธอไม่ขึ้นมานอนกับฉัน พรุ่งนี้ฉันบอกแม่ให้หาคนอื่นมาดูแลแทน”
“คุณดลต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรมีนา”
“มีนาเธอดูสภาพฉันก่อนไหมว่าฉันจะไปทำอะไรใครได้ ขึ้นมานอนเถอะพรุ่งนี้เราต้องตื่นไปทำงานกันแต่เช้านะ”
“ไม่ค่ะ ยังไงพิมพ์ก็ไม่หย่า”“แต่ผมไม่อยากยื้ออีกต่อไปแล้วนะ คุณไม่มีความสุข ผมก็ไม่มีความสุข”“คุณจะรีบหย่าแล้วไปหาเด็กนั่นเหรอคะ เราคุยกันแล้วนี่ดลว่าเราจะแต่งงานกันสองปี ถึงตอนนั้นคุณค่อยมาคุยเรื่องหย่าดีกว่าไหมคะ”“ถ้าคุณไม่ยอมหย่าผมจะฟ้องหย่า”“คิดดีแล้วเหรอคะดล คุณจะเอาความสุขส่วนตัวมาแลกกับชื่อเสียงของครอบครัวเหรอคะ”“คุณคงคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าแต่บางครั้งไพ่มันก็เปลี่ยนได้นะพิมพ์”“หมายความว่ายังไงคะ”“ผมมีหลักฐานที่จะฟ้องหย่าคุณได้ ถ้าคุณไม่ยอมจบแบบเงียบๆ”“ถ้าคุณคิดว่ามันคุ้มกับชื่อเสียงก็เอาสิคะ ถ้าคุณฟ้องหย่าพิมพ์ก็จะบอกเรื่องของคุณให้ทุกคนรู้ พิมพ์คงได้รับความเห็นใจมากๆ ใครจะคิดล่ะคะว่าคุณนฤดลที่แสนจะเพอร์เฟกต์จะมีอีหนูซ่อนไว้”“เรื่องแบบนี้ผู้ชายก็มีกันทั้งนั้น แต่ถ้าคนอื่นรู้ว่าคุณก็หนีสามีไปแต่งงานละ มันจะน่าสนใจกว่าไหม”“ดลหมายถึงอะไร” พิมพ์ปภัสเริ่มร้อนตัว“เรื่องที่คุณพาผู้ชายเข้ามาที่บ้าน ผมไม่ว่าอะไรเลยเพราะมันเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ที่คุณควงกันไปเที่ยวต่างประเทศแล้วไปแต่งงานที่นู่น คุณคิดเหรอว่ามันเป็นความลับ”“ดลพูดเรื่องอะไรคะ” พิมพ์ปภัสคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจ
ดลฤดีกลับมาถึงเมืองไทยก็รีบเข้าไปคุยเรื่องสำคัญกับมารดาทันทีโดยที่ยังไม่ทันจะเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บ“เรื่องด่วนอะไรกันหรือว่ามีนาเป็นอะไร” คุณดวงกมลถามลูกสาวขณะที่ถูกเร่งให้เดินเข้ามาในห้องทำงานของบิดาซึ่งตอนนี้เจ้าของห้องนั้นไปรดน้ำกล้วยไม้อยู่ที่เรือนเพาะชำ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมีนาค่ะ มีนาสบายดีทุกอย่างไม่มีปัญหา”“แล้วมันเรื่องด่วนอะไรกันล่ะ”“แม่นั่งก่อนนะคะ”พอให้มารดานั่งและหายาดมมาไว้ใกล้ตัวแล้วก็รีบเล่าเรื่องที่ตัวเองไปเจอมา ทั้งเรื่องที่โรงแรมและเรื่องที่ร้านอาหารในเวกัส“ตาฝาดไปหรือเปล่าลูก เมื่อวานแม่ยังคุยกับน้องอยู่เลย น้องบอกว่าออกมาทานข้าวกับเมียเขา”“แต่ฤดีมีรูปนะคะ นี่ค่ะ” เธอส่งทั้งรูปทั้งคลิปให้มารดาดูซึ่งทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ก็ชัดเจนจนปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พิมพ์ปภัส“แม่ไม่เข้าใจ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยัยไง ตอนแต่งงานก็เห็นว่ารักกันดี นี่ลูกชายแม่กำลังโดนหลอกใช่ไหม” หญิงสูงวัยถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า“ฤดีว่าแม่ลองเรียกน้องเข้ามาที่บ้านดีไหม”“แม่ไม่อยากเห็นน้องต้องเสียใจอีกเลย เวรกรรมอะไรกันนะถึงได้มาเจอเรื่องแบบนี้”“แม่ไม่อยากให้น้องรู
มีนาเดินทางมาถึงอเมริกาได้หลายวันแล้ว หญิงสาวเข้าพักที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสอนภาษา ส่วนดลฤดีนั้นพักที่โรงแรมใกล้ๆ เพราะอยากให้มีนาลองใช้ชีวิตคนเดียวระหว่างนี้เธอกับสามีก็ไปดูงานที่โรงเรียนซึ่งใช้เป็นต้นแบบในการจัดการเรียนการสอน ก่อนที่จะพากันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ“พี่วัฒน์คะ”“ครับ”“ฤดีว่าเห็นคนรู้จักนะคะ แต่พี่อย่าเพิ่งหันไปนะคะ นั่งนิ่งๆ ก่อนเดี๋ยวเขาจะรู้ตัวค่ะ”“ให้พี่นั่งนิ่งแล้วพี่จะรู้ได้ยังไงว่าใช่คนรู้จักของเราไหม” ธนวัฒน์ถามภรรยาอย่างไม่เข้าใจ เพราะถ้าเขาไม่หันไปดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใช่คนที่ตนเองรู้จักไหม“เชื่อฤดีนะคะ นั่งอยู่แบบนี้ก่อน” ดลฤดีบอกสามีจากนั้นเธอก็ยกโทรศัพท์ขึ้นเหมือนกำลังถ่ายรูปของธนวัฒน์ แต่ทว่าเธอกำลังซูมกล้องไปไกลกว่านั้นหญิงสาวนึกขอบคุณโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่สามารถซูมได้มากจนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่เธอเห็นนั้นใช่คนที่เธอรู้จักไหมดลฤดีกดถ่ายรูป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโหมดถ่ายวิดีโอจนกระทั่งเธอคนนั้นเดินหายเข้าไปในลิฟต์“พี่วัฒน์ดูนี่นะคะ” เธอส่งโทรศัพท์ให้สามีดูภาพที่ตนเองถ่ายไว้“นี่มันน้องพิมพ์นี่ครับ ผมไม่รู้เลยว่าเธอมาเที่ยว
นฤดลแอบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาอยากคุยกับเธอแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เขาคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมานานเกินครึ่งปีนั้นจะทำให้ความรู้สึกที่มีต่อมีนาลดน้อยลงแต่มันกลับตรงกันข้ามเพราะเขายังรักและคิดถึงเธออาจจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อลองเปรียบเทียบกับครั้งที่ตัวเองตามหาพิมพ์ปภัสไม่เจอมันต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่ตนเองแต่งงานไปแล้วและควรมีความสุขกับคนรักที่รอคอย แต่ในทุกๆ วันในใจของเขายังคงนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเองมีความสุขกับมีนาอยู่ตลอด“พี่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนมีนารอก่อนนะ”“ค่ะพี่ฤดี” มีนานั่งรอดลฤดีที่ห้องรับแขกขณะที่คนอื่นก็ต่างก็กลับห้องของตัวเองไปกันหมดแล้ว“มีนาสบายดีไหม” ในที่สุดเขาก็เปิดปากถาม“ค่ะ คุณดลล่ะคะ”“พี่สบายดี” เขายังแทนตัวเองเหมือนเดิมขณะที่อีกคนนั้นเปลี่ยนสรรพนามไป“แม่บอกว่าปิดเทอมใหญ่มีนาจะไปเรียนภาษาเหรอ” เขาพยายามจะชวนเธอคุย อย่างน้อยตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านของตนเองมันไม่ได้น่าเกลียดอะไรถ้าจะพูดคุยกันบ้าง“ค่ะ”“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะ”“ขอบคุณค่ะ”“มีนายังโกรธพี่อยู่เหรอ”“เปล่าค่ะ”“แต่เหมือนมีนาไม่อยากคุยกับพี่เลยนะ” เพราะการถามคำตอบคำแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของหญิงสาวท
ทางด้านมีนาที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจใครอื่น แม้จะมีคนเข้ามาจีบแต่มีนาก็ปิดตายหัวใจ เธอทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนักและวางแผนเอาไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบจะเข้าไปช่วยคุณดลฤดีทำงานที่โรงเรียน ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนที่นฤดลบริหาร แต่หญิงสาวก็ไม่คิดเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานในเมื่ออีกคนแต่งงานไปแล้วเรื่องราวของเธอกับเขาก็จบลงไปด้วย ไม่มีการติดต่อไม่ว่าจะทางโทรศัพท์ทางไลน์หรือทางข้อความ เขาและเธอทำเหมือนอยู่กันคนละโลก แม้จะเจอกันก็แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้นใช่ว่ามีนาจะไม่เสียใจที่ถูกเขาหลอก แต่ชีวิตของเธอจะต้องก้าวไปข้างหน้าต่อ ถ้ามัวแต่ยึดติดกับเรื่องราวที่ผิดหวังในอดีตเธอก็คงหาความสุขให้กับตนเองไม่ได้ แม้จะรักเขามากแค่ไหน แต่ถ้ามันเจ็บเธอก็ต้องยอมตัดใจ หญิงสาวคิดได้แล้วว่าการอยู่โดยไม่มีคนรักมันไม่ได้เลวร้ายเลยสักนิดมีนายังคงไปมาหาสู่ที่บ้านหลังนั้นอยู่ตลอด เพราะเธอรักและเคารพทุกคนที่นั่น อีกอย่างตอนนี้นฤดลก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกกับภรรยาแล้ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้เจอเขาบ่อยนัก“เรื่องฝึกงานมีนาตัดสินใจหรือยังว่าจะฝึกที่ไหน อาจารย์ว่ายังไงบ้าง” ดลฤดีถามขณ
งานแต่งงานของนฤดลถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมงานต่างพากันชื่นชมเจ้าบ่าวเจ้าสาวว่าเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก “ดลคะ ยิ้มหน่อยสิคะ แขกมากันเยอะแล้วนะ” พิมพ์ปภัสบอกเจ้าบ่าวที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง “ผมจะยิ้มก็ต่อเมื่อผมอยากยิ้ม คุณอย่ามาบังคับผม แค่เรื่องแต่งงานมันก็มากเกินไปแล้ว” “แต่วันนี้วันแต่งงานของเรานะคะ” “ผมว่ามันเป็นงานของคุณคนเดียวต่างหากล่ะ” นฤดลพูดพลางทำหน้าเบื่อโลกยิ่งกว่าเดิม “ดลคะ เราแต่งงานกันแล้วนะ พิมพ์ว่าดลเลิกคิดที่จะกลับไปหาเด็กมีนานั่นได้แล้ว” “ผมไม่ได้คิดถึงใครทั้งนั้น ผมก็แค่เบื่อที่จะต้องปั้นหน้าว่ามีความสุข” ที่เขาทำหน้าเบื่อก็เพราะไม่คิดว่างานแต่งของตนจะจัดใหญ่แบบนี้ “อดทนอีกนิดสิคะ เดี๋ยวก็ถึงเวลาเข้าหอแล้ว พิมพ์รับรองว่าดลจะมีความสุขและลืมผู้หญิงทุกคนอย่างแน่นอน” พิมพ์ปภัสกล่าวอย่างมั่นใจ เธอจะต้องทำให้นฤดลลืมผู้หญิงที่ชื่อมีนาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถึงกำหนดที่เขากับเธอตกลงกันไว้ “ผมบอกเหรอครับว่าจะทำเรื่องแบบนั้นกับคุณ” “ดลค่ะ คุณเป็นผู้ชายนะ จะอดทนได้แค่ไหนกั