: ปัจจุบัน
ลู่จินยังคงนั่งเงียบกริบมาตลอดทาง สายตาก็ยังคงชำเลืองมองคนขับที่ยังคงตีหน้านิ่งเป็นระยะ 'อึดอัดชะมัด' ลู่จินได้แต่คิดในใจ เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มดูท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อาจจะเป็นเพราะได้เจอเธออีกละมั้ง "อืมม พี่ยังโกรธฉันอยู่เหรอ?" "ให้โกรธเรื่องอะไรละ?" "ก็...คงไม่หรอกเนอะ พี่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่เนอะ"ลู่จินพยายามคิดในแง่ดี "ที่ถามว่าจะให้โกรธเรื่องอะไร ฉันหมายถึง...สิ่งที่เธอทำทิ้งไว้มันมากมายจนเลือกโกรธไม่ถูกน่ะ"หลินอี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะหันมายิ้มให้คนตัวเล็กข้างกัน คำพูดประชดประชันของเขาเมื่อครู่ทำเอาลู่จินหายใจไม่ออกเลยทีเดียว "โถ่ๆ ท่านพี่เขาว่ากันว่าถือสาเด็กมีแต่จะเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายน๊า" "แล้วเด็กใจร้ายแบบเธอไม่ควรถือสาเหรอ?" "ก็ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่ ถ้าสุดท้ายเราถอนหมั้นกันที่หลังพี่เป็นผู้ชายพี่ก็ไม่เสียหายแต่ฉันเป็นผู้หญิงมันถึงขั้นขายไม่ออกเลยนะ" ลู่จินเอื้อมมือไปบีบนวดแขนล่ำของคนเป็นพี่เป็นการอ้อนวอนให้เขาไม่ถือสาเรื่องในอดีตถึงแม้ว่าเรื่องที่เธอทำไว้มันจะค่อนข้างใหญ่โตก็ตาม หลินอี้ก็ได้แต่มองการกระทำของเด็กสาวด้วยความช่างใจเพราะเธอมีท่าทางไม่ร้อนใจอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนว่าเธอยังไม่รู้เรื่องราวอะไร? "คงยังไม่รู้สินะ?" "รู้อะไร?" "คุณปู่เธอเรียกเธอกลับมาทำไมไม่รู้เหรอ?"หลินอี้ถามลองเชิง "รู้สิ ก็ปู่ยอมแพ้แล้วยังไงละเขาไม่จับเราหมั้นกันแล้ว พี่เห็นไหมว่าผลของการหนีไปวันนั้นมันทำให้เราได้อิสระมากแค่ไหน" ลู่จินพูดพร้อมกอดอกอย่างภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเอง ทำเอาหลินอี้ที่มองอยู่ถึงกับส่ายหัวในความคิดไปเองของเธอ ลู่จินที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งแปลกใจใหญ่แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรออกไป แล้วเลือกมองไปนอกกระจกเพื่อซึมซับบรรยากาศแทน รถแล่นมาได้สักพักลู่จินก็สังเกตได้ว่าเธอไม่คุ้นทางกับถนนเส้นนี้เลยสักนิด หรือว่าเพราะเธอไม่ได้อยู่ที่นี่นานเกินไปทางกลับบ้านถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่ไม่สิ...ถึงยังไงสะตึกพวกนี้ก็ไม่มีทางสร้างเสร็จภายในไม่กี่ปี "จางหลินอี้...พี่พาฉันมาถนนเส้นไหนเนี่ยไม่คุ้นเลย"ลู่จินถามด้วยท่าทางหวาดระแวง "กลับบ้าน..." "บ้านใคร?" "บ้านฉัน..." "งั้นจอดให้ฉันลงก่อนสิ ไม่ก็แวะไปส่งหน่อยก็ได้นี่หน่า"ลู่จินมองเขาอย่างแปลกใจ ในเมื่อเขาจะกลับบ้านตัวเองทำไมถึงหิ้วเธอติดรถมาด้วยแบบนี้ นี่ก็ไม่ใช่ทางไปบ้านของหลินอี้ที่เธอเคยมาด้วย"พี่อย่าเงียบสิ!" "เฮ้อ...เธอถูกหลอกให้กลับมาไม่รู้ตัวอีกเหรอ" "อะไร? ก็ปู่ตกลงว่าจะไม่บังคับเราหมั้นกันถ้าฉันยอมมาอยู่ที่จีน" "แต่เขาไม่ได้บอกอย่างอื่นใช่ไหม...เขาให้เธอมาอยู่กับฉันปีหนึ่งรู้หรือเปล่า?" "บ้าไปแล้วหรือไง! แล้วพี่ก็ยอมเหรอ!" ลู่จินตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ ผิดกับเจ้าของรถที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย เขาทำเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรทั้งๆ ที่สำหรับลู่จิมมันเป็นเรื่องใหญ่มาก! "จางหลินอี้พี่จะเงียบทำไมเนี่ย ฉันร้อนใจไปหมดแล้วนะ!" "ยังมีเรื่องที่เธอจะร้อนใจกว่านี้อีก" "อะไรอีกละ! พี่รีบพูดมาให้ฉันตกใจทีเดียวเถอะ ค่อยๆ บอกแบบนี้สนุกหรือไง"ลู่จินโวยวายขึ้นก่อนจะขยี้ผมตัวเองแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดในท่าทางเฉยเมยของหลินอี้ "พูดเหมือนว่า พอฉันบอกหมดทุกเรื่องเราจะทำอะไรได้อย่างนั้นแหละ" "ก็บอกมาเถอะน่า จะได้ตกใจทีเดียว" "ตั้งแต่เธอก้าวออกจากสนามบิน บัญชีของเธอทุกบัญชีมันก็ถูกระงับหมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอเรียกได้ว่าจนแบบโคตรๆ"ลู่จินส่ายหัวรัวๆ พร้อมกับกระดิกนิ้วชี้ไปมาราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่หลินอี้บอก "คุณปู่น่ะ ถ้าจะใช้วิธีตัดเงินคงทำตั้งแต่ตอนที่ฉันหนีไปคงไม่รอถึงป่านนี้หรอก อีกอย่างฉันก็มีเงินที่หามาเองในบัญชีอื่น" "ไม่ว่าจะบัญชีไหน...ถ้ามันเป็นชื่อของเธอ ขอแจ้งให้ทราบว่าถูกระงับหมดแล้ว" "มะ ไม่จริงมั้ง โกหกแหละ! เอาคืนเรื่องตอนนั้นใช่ไหมล๊าเล่นแรงนะเนี่ย" ลู่จินยังคงไม่เชื่อและทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย หลินอี๋เขาเลยไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ทอดสายตาไปที่มือถือในมือของหญิงสาวเป็นเชิงให้เธอพิสูจน์มันเอง ลู่จินที่เห็นแบบนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์กดเข้าบัญชีทุกธนาคารของเธอเพื่อเช็ดยอดทันที แต่นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าสวยสดเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดมากขึ้น และมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะบัญชีไหนที่เป็นชื่อของเธอตอนนี้ไม่มีสามารถใช้สักแดงเดียว! ตอนนี้เธอได้ขึ้นชื่อว่าจนเสียยิ่งกว่าจน...แถมเงินที่ติดตัวก็ยังเพียงแค่พอซื้อก๋วยเตี๋ยวชามเดียวเท่านั้นเอง! "ไง? คิดว่าล้อเล่นไหม" หลินอี้พูดพร้อมกับขับรถเข้าจอดที่หน้าบ้านเดี่ยวบนเขาหลังสวยของตัวเอง ตั้งแต่เข้าทำงานที่บริษัทเขาก็สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นเพื่อหนีความวุ่นวายในเมืองมันทั้งสงบและเต็มไปด้วยธรรมชาติ...เขาไม่วายแอบมองคนข้างกายที่กำลังอยู่ในความช็อกอย่างขำขัน ท่าทางของลู่จินมันตลกจนเขาแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เรียกได้ว่ามีความสะใจปนอยู่เต็มเปี่ยม "ฉันต้องไปหาปู่ ไปคุยให้รู้เรื่อง! ยืมเงินหน่อยจะนั่งแท็กซี่ไป" ลู่จินแบมือขอชายตรงหน้าด้วยท่าทางจริงจัง แต่เขากลับมองเธอด้วยหางตาแถมยังเปิดประตูลงรถลงไปหน้าตาเฉย ทำให้หญิงสาวรีบวิ่งตามลงมาดึงชายเสื้อเขาให้หยุดเดิน ก่อนจะแบมือยื่นไปตรงหน้าเขาอีกครั้งหวังว่าเขาจะให้เงินเธอ หลินอี้ก้มมองมือน้อยๆ นั้นก่อนจะชายตามองใบหน้าสวยที่กำลังทำหน้าจริงจังแล้วเอ่ยประโยคที่ทำเอาลู่จินต้องนิ่งไป "คิดว่าฉันจะให้เงินคนที่ทำฉันขายหน้ายืมเหรอ?" "อะ เอิ่ม...โบราณว่าอย่าถือสาเด็ก"ลู่จินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อน "โทษทีฉันคิดถึงแต่อนาคตไม่เชื่อคำโบราณแบบนั้นหรอก..." "เดี๋ยวสิ!" เมื่อลู่จินเห็นว่าหลินอี้กำลังจะเดินเข้าในตัวบ้านเธอก็รีบวิ่งเอาตัวมายืนขว้างประตูทันที ก่อนที่ชายหนุ่มผู้เหนื่อยล้าจากการทำงานจะถอนหายใจยาวแล้วคว้าเข้าที่คอเสื้อของหญิงสาว ก่อนจะออกแรงลากร่างเล็กเข้ามาในบ้าน การกระทำของเขาทำให้ลู่จินถึงกับโวยวายลั่นบ้านและนั้นยิ่งทำให้หลินอี้รู้สึกหงุดหงิดไปกันใหญ่ "พอ!!! พูดมากจริง! บ้านเธอเขาไปอเมริกาได้สามวันแล้วอีกสองสามเดือนจะกลับ แล้วที่ถามฉันว่าฉันยอมให้เธอมาอยู่บ้านฉันทำไมขอตอบเลยว่าไม่ได้ยอม! ถูกบังคับ!" หลินอี้โวยกลับใส่คนตัวเล็กที่เอาแต่โวยวายบ้างจนเธอนิ่งไป ก่อนจะทำหน้างอแล้วทรุดตัวนั่งลงกลับพื้นอย่างหมดแรง นี่แสดงว่าปู่ของเธอต้องคิดแผนการไว้แน่นอน แล้วอย่างนี้เธอก็ต้องอยู่ที่นี่งั้นเหรอ? เงินก็ไม่มีเสียด้วย "ฉันต้องยอมใช่ไหม..." "คิดว่ายังไง..."หลินอี้กอดอกมองใบหน้าสวยนิ่ง "...ต้องยอม..." "ตามนั้น อยู่กันอย่างสงบจัดการตัวเองให้ได้ฉันไม่ว่างมาหาข้าวหาน้ำให้กิน อยากกินอะไรจดไว้แม่บ้านจะมาอาทิตย์ละสองวันและห้องเธออยู่ชั้นสองฝั่งขวา ไม่จำเป็นอย่ามายุ่งกับฉัน" หลินอี้ร่ายยาวถึงสิ่งที่ลู่จินต้องรู้เมื่ออยู่ที่นี้ ก่อนจะเดินหนีขึ้นห้องมาสงบสติอารมณ์โดยทิ้งหญิงสาวที่ยังคงก้มหน้านิ่งให้อยู่คนเดียวด้านล่าง ตอนที่เขารู้ว่าต้องรับผู้หญิงคนนี้มาอยู่บ้านอันแสนสงบของเขาด้วย อาการเขาก็ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวที่เป็นอยู่ตอนนี้นักหรอก แต่ด้วยความที่ตระกูลไป๋มีพระคุณกับตระกูลจางมากแถมปู่ทั้งสองยังเป็นเพื่อนรักกันทำให้เขาต้องจำยอม พอเห็นหน้าเด็กคนนี้แล้วก็อดทำให้เขานึกถึงวันหมั้นของทั้งคู่ไม่ได้เลย ตอนนั้นเขาเองวางแผนไว้ว่าเมื่อหมั้นกันเรียบร้อยจะส่งชายหนุ่มที่ต้องการมีแฟนเข้ามาจีบหญิงสาว ถ้าทั้งคู่ตกลงเป็นแฟนกันเมื่อไหร่เขาก็จะถอนหมั้นทันทีแล้วให้เหตุผลว่ายังไงสะทั้งสองคนก็ไม่มีทางรักกัน เพราะยังไงเขาก็ไม่คิดจะบอกใครเรื่องการหมั้นอยู่แล้ว แต่ไป๋ลู่จินน่ะสิ! คิดแผนการยกเลิกการหมั้นแต่ละอย่างมันเกินกว่าผู้ใหญ่จะรับได้จนวันนั้นเขาไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ เธอก็จะวิ่งออกจากงานไปทั้งที่กำลังจะสวมแหวนอยู่แล้ว ถ้าเตรียมการมาดีขนาดนั้นทำไมไม่หนีก่อนวันหมั้นทำแบบนั้นมันก็เท่ากับหักหน้าเขาเต็มๆ เขาเองก็คิดว่าทางปู่ของลู่จินจะยอมลดละความพยายาม แต่ที่ไหนได้เขารอให้เธอเรียนจบเพื่อมาหมั้นกับเขาอีกครั้ง! ทำให้คนที่ไม่สนใจในความรักอย่างเขาถึงขั้นเครียดจนต้องพึ่งพายานอนหลับอยู่หลายวันเลยเชียว"ฉันชอบรอยยิ้มของเธอที่สุด ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น"เสียงของมู่อี๋เฉินเบาราวกับลมถูกเอ่ยออกมาเมื่อร่างเล็กของหญิงสาวในดวงใจเดินออกจากร้านไปจนลับตา กว่าเขาจะทำใจมาแสดงละครกับเธอในวันนี้ได้ก็เล่นเอาหนักใจไม่น้อย...เพราะเขาเองก็ชอบเธอมาก คนที่เป็นพลังบวกให้คนรอบข้างอย่างลู่จินเขาไม่อยากจะเสียเธอไปเพียงเพราะคบกันไม่ได้ เขาจึงจำยอมจะต้องลดความรู้สึกตัวเองลงเพื่อให้ตัวเองยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม"สวัสดี"มู่อี๋เฉินเอ่ยทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามานั่งแทนที่ของลู่จินที่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน จริงๆ เขาเห็นหลินอี้แอบมองมาตั้งแต่ตอนที่ลู่จินนั่งรออยู่ตรงนี้แล้ว การที่หลินอี้ทนเก็บความหึงได้ขนาดนั้นคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นแน่"เรื่องของลู่จิน..."หลินอี้เอ่ยเปิดประเด็นด้วยเสียงนิ่ง"ไม่ต้องห่วง ผมขอกลับไปเป็นเพื่อนกับเธอ"มู่อี๋เฉินเอ่ยแทรกประโยคของหลินอี้ เขารู้ดีว่าใบหน้าตึงเครียดนั้นคงคิดว่าเขาจะมาตามเซ้าซี้ลู่จินจนกังวลใจ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคนตรงหน้าได้คำตอบที่ชัดเจนจากเขาคิ้วที่ถูกผูกโบเป็นปมก่อนหน้าก็ค่อยๆ คลายออกราวกับโล่งใจ"ทำไมตอนนี้ถึงยอมแพ้"หลินอี้พูดโดยที่ห
: บริษัทจางหลิน: ลู่จิน ฉันถูกปู่ไล่กลับมาช่วยงานที่บริษัทกับพี่หลินอี้หลังจากที่เราอยู่เฝ้าปู่กันถึงสามวันติด ทำให้ตอนนี้งานที่บริษัทยุ่งเหยิงไปหมด และฉันเชื่อว่าพี่หลินอี้จะไม่เหนื่อยขนาดนี้เลยถ้าตอนอยู่อเมริกาเขาหัดรับสายเลขาเสียบ้าง "พี่หลินอี้มีอะไรให้หนูช่วยไหม"ฉันถามขึ้นด้วยความเบื่อเหนื่อยเมื่อเล่นเกมจนชนะไปทุกด่านแล้ว นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันเข้าไปแล้วพี่หลินอี้ก็ยังคงนั่งอ่านเอกสารและแก้เอกสารอยู่ที่เดิมไม่ขยับ "ไม่มีครับ เบื่อเหรอ?"พี่หลินอี้วางปากกาพร้อมหันมามองสบตาฉันผ่านแว่นตาใส ภาพของเขาตอนนี้มันช่างหล่อเหลาจนสามารถสะกดให้ฉันไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลยจริงๆ"ก็...เบื่อสิคะ หางานให้ทำหน่อย"ฉันพูดอ้อนก่อนจะเดินตรงไปกอดคอแฟนหนุ่มของตัวเองไว้หลวมๆ เป็นการเอาใจ ตอนนี้บอกตามตรงฉันไม่รู้จะทำอะไรแก้เบื่อแล้ว "อยากทำอะไรละ? ให้พี่กินหนูฆ่าเวลาดีไหม"คนเจ้าเล่ห์พูดพร้อมยื่นใบหน้าเข้ามาขโมยหอมที่แก้มฉันเสียงดัง ฟอด ตั้งแต่คบกันมาเขาก็เอาเปรียบฉันอยู่เรื่อยเลยแถมยังไม่เคยจะเลือกที่อีกต่างหากเรียกได้ว่าว่างเป็นเอาเปรียบไม่รู้ว่าอดอยากมาจากไหน"คิดแต่เรื่องลามก!""ก็เห็นครางสะเพรา
หลังจากกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ลู่จินก็ยังคงนั่งมองไปนอกหน้าต่างนิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดมากมาย จนหลินอี้ที่เอนตัวทำงานอยู่บนเตียงข้างกันถึงกับต้องเก็บงานแล้วขยับตัวเข้าไปโอบเมียสาวไว้ก่อนจะเกยคางลงบนบ่าเล็กอย่างเอาใจ เขารู้ว่าเธอคงคิดมากเรื่องคุณปู่ไม่น้อยอีกทั้งเธอยังไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแผนการของท่านเท่านั้น ไม่แปลกที่เธอจะกังวลอันที่จริงการผ่าตัดของปู่ลู่จินผ่านไปได้ด้วยดี เนื้องอกส่วนนั้นถูกตัดได้อย่างปลอดภัย จะเหลือเพียงแค่รอให้แผลฟื้นตัวดีขึ้นก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ อีกทั้งการตรวจสุขภาพครั้งใหญ่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"คิดมากเรื่องคุณปู่เหรอ""คิดถึงช่วงเวลาที่ทำให้ครอบครัวหนักใจค่ะ""หมายถึง?""ที่หนูหนีไปทุกคนคงเป็นห่วงมาก...ตอนนั้นหนูโกรธจนไม่ติดต่อใครเลยแต่สุดท้ายทางบ้านก็ยังส่งคนตามหาและตามดูแลห่างๆ""ท่านคงห่วง...""แต่หนูก็ทำเป็นไม่รู้ใช้ชีวิตของตัวเองไป หางานทำเลี้ยงตัวเอง เที่ยวกับเพื่อนทุกวัน...ยังดีที่งานพิเศษรายได้ดีหนูเลยไม่ต้องติดต่อขอเงินทางบ้าน แต่การที่หนูไม่ติดต่อมันก็ทำให้หนูพลาดไปหลายอย่าง..."เสียงลู่จินอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนหลินอี้ต้
ร่างสวยยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องพักผู้ป่วยวีไอพีโดยที่มีมือหนาของหลินอี้คอยจับที่บ่าไว้ตลอด ทั้งที่ตลอดการเดินทางมาลู่จินทำใจไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะเข้มแข็ง แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยเห็นคุณปู่ป่วยจนนอนโรงพยาบาลมาก่อน บอกตามตรงมันทำให้เธอรู้สึกหน่วงที่ใจจนเจ็บ"ไม่เป็นไรนะลู่จิน คุณปู่แค่อ่อนเพลียจากการผ่าตัด"หลินอี้ยังคงปลอบใจแฟนสาว ทำให้ลู่จินมีแรงใจขึ้นมาแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องพักอย่างสงบ ก่อนที่สายตาสวยของเธอจะมองสำรวจไปทั่วห้องสีขาวแล้วมาหยุดที่ร่างชายสูงวัยบนเตียงผู้ป่วย ร่างนั้นเต็มไปด้วยสายออกซิเจนและสายยางมากมายถูกเชื่อมเข้ากับตัวที่ยังคงนอนนิ่งภาพที่เห็นทำเอาลู่จินถึงกับจุกอกจนน้ำตาไหลเธอได้แต่ก้าวเท้าเข้าไปหาท่านช้าๆ โดยไม่สนคำทักทายของพ่อและแม่ตัวเองด้วยซ้ำ ก่อนที่จะวางมือเล็กลงบนมือที่ทั้งขาวซีดและเหี่ยวแห้งตามกาลเวลานั้น "ลู่จินลูกเพิ่งมาถึงทำไมไม่ไปพักก่อนละลูก"แม่ของลู่จินเดินเข้ามาลูบเข้าที่ผมลูกสาวเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นลู่จินก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เธอเอาแต่มองใบหน้าชายสูงวัยที่กำลังนอนหลับนิ่งพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"ลู่จิน ตอนนี้คุณปู่เพิ่งได้รับยานอนหลับไปไม่ต้องคิดมาก”
หลังจากลงไปส่งแม่ขึ้นรถไปที่สนามบินเสร็จ หลินอี้ก็รีบขึ้นมาเก็บของเพื่อจะไปรับลู่จินและเตรียมใจจะบอกเธอเรื่องอาการป่วยของคุณปู่ ทั้งที่ในใจก็กำลังกังวลเรื่องความรู้สึกของลู่จินเขากลัวว่าเธอจะเสียใจ แต่เขาคิดว่าในเมื่อทั้งคู่เลือกที่จะคบหากันอย่างจริงจังแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเขาก็ไม่ควรปิดบังเธอเพียงไม่นานเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่จอดรถของกองถ่ายก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลู่จินกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทอย่างสะอึกสะอื้น จนหลินอี้ตกใจรีบจอดรถทิ้งไว้กลางทางแบบนั้นก่อนจะตรงเข้าไปโอบไหล่เธอไว้เพื่อปลอบขวัญ"เกิดอะไรขึ้น หนูเป็นอะไร"เขาถามอย่างร้อนใจในขณะที่มือก็ลูบไปตามเนื้อตัวของเมียสาวฟืบ !ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนจะโผล่กอดหลินอี้แน่นจนเขารับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นของหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาใส ก่อนเธอจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนไหวถึงสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้หนัก"คุณปู่ไม่สบายเหรอ?""รู้แล้วเหรอ?"หลินอี้ถามแฟนสาวเบาๆ เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้เขาซึ่งมันก็แสดงประวัติการโทรเข้าเป็นเบอร์ของคุณน้าแม่ของลู่จิน"แม่โทรมา บอกว่า อึกๆ ที่หายไปเพราะคุณปู่ไม่สบาย"เธอเงยหน้ามองสบตาแฟนหนุ่มด้ว
หลายวันต่อมาหลินอี้ยังคงทำงานตามปกติส่วนลู่จินแฟนสาวคนสวยวันนี้เธอขอไปออกกองเพื่อไปช่วยงานร้าน ซึ่งชายหนุ่มก็กำชับแฟนสาวอย่างเคร่งครัดว่าอย่าเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาจีบและอยู่ให้ห่างจากมู่อี๋เฉิน ช่วงบ่ายหลังจากเคลียร์งานเสร็จเขาจะรีบตรงไปรับเธอ"ประธานครับ""มีอะไรซูเฟีย ถ้าให้เซ็นเอกสารต่อไม่เอาแล้วนะ ฉันต้องไปรับลู่จิน"หลินอี้ตอบเลขาหนุ่มทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ทำให้ซูเฟียหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่ยืนสง่าอยู่ด้านหลังซึ่งเธอก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เขาออกจากห้องนี้ไปก่อน ส่วนเธอก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามลูกชายตัวดีก่อนจะใช้นิ้วเรียวสวยเคาะเบาๆ ที่โต๊ะเพื่อเรียกความสนใจของหลินอี้ให้เงยหน้าขึ้นมามองเมื่อหลินอี้ได้เงยตามองขึ้นมาก็ถึงกับนิ่งไปด้วยความแปลกใจ เพราะเดิมทีความสัมพันธ์ของเขาและพ่อแม่ค่อนข้างห่างเหินทำให้การได้พบกันระหว่างเขาและครอบครัวส่วนมากจะเกิดขึ้นทางธุรกิจ แต่ใช่ว่าเขาจะน้อยใจ...เขาเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจมันยุ่งและวุ่นวายมากขนาดไหน"มาได้ยังไงครับแม่ ไม่เห็นบอกก่อนเลย"หลินอี้ยิ้มให้คนเป็นแม่อย่างอบอุ่น