: ไต้หวัน
: สนามบิน ใบหน้าหวานยืนรอที่คนมารับด้วยความหงุดหงิด เธอต้องกลับมาอยู่ที่ไต้หวันเพราะได้รับข้อเสนออันน่าสนใจบวกกับเรียนจบพอดี เธอเป็นลูกครึ่งไทยจีนที่หน้าตาสวยสง่ารูปร่างสูงพอประมาณ และด้วยหน้าตาที่โดดเด่นนี่แค่ยืนเฉยๆ ยังถูกผู้ชายเข้ามารุมจีบจนเป็นเรื่องธรรมดา "ขอวีแชทหน่อยสิ" "ขอโทษด้วยค่ะไม่เล่น" ไป๋ลู่จินตอบกลับชายหนุ่มที่เดินเข้ามาชวนคุยอย่างอารมณ์เสีย สายตาก็ทอดมองหาคนตระกูลไป๋ที่พ่อส่งมารับแต่ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที แถมยังถูกผู้ชายหลายคนมองจนรำคาญไปหมดแล้ว พรืบ "ว๊าย..." ลู่จินตกใจจนต้องรีบยกมือขึ้นกอดตัวเองเมื่ออยู่ๆ ก็มีเสื้อสูทตัวใหญ่คลุมเข้าที่ตัวเธอกระทันหัน ก่อนที่สายตาจะหันไปสบเข้ากับดวงตาคมของบุคคลที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้ง 'จางหลินอี้' ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาผิวขาวเนียนบ่งบอกถึงความเป็นชายหนุ่มเจ้าสำอางที่ใครๆ มองก็รู้ว่าเขามาจากตระกูลผู้ดี ตอนี้เขากำลังยืนมองหน้าหญิงสาวด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก ดวงตาเล็กถึงขั้นเบิกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเจ้าของเสื้อสูทนั้นโอบเข้าที่ไหล่เธออย่างถือวิสาสะต่อหน้าชายที่เข้ามาขอวีแชทเมื่อครู่ "คุณเป็นใครไม่ทราบว่ามายุ่งอะไรกับเธอ"เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งจนน่ากลัว "ผมมาขอวีแชท เธอก็กำลังจะให้" "ฉันไม่ได้ให้สักหน่อย! ไปไหนก็ไปเลย"ลู่จินไล่ชายท่าทางน่ากลัวคนนั้นทันทีอย่างปากเก่งเมื่อรู้ว่าตอนนี้มีคนที่สามารถช่วยเหลือเธอได้อยู่ใกล้ๆ พอชายคนนั้นได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความผิดหวังแล้วเดินหลบไป พอพ้นสายตาหลินอี้ก็รีบดึงสูทสีดำของตัวเองกลับมาใส่ทันทีโดยไม่สนว่าคนตัวเล็กข้างกายจะรู้สึกสับสนมากแค่ไหน "พี่หลินอี้ คลุมให้ฉันแล้วยังจะเอาคืนอีก ข้างนอกนั้นมันหนาวนะ" "เธออยากแต่งตัวโป๊แบบนี้เองก็ทนหนาวไปแล้วกัน" เขาพูดโดยที่ไม่หันหน้ามามองลู่จิน แถมยังเดินหนีนำหน้าไปอย่างไม่สนใจว่าลู่จินจะตามมาหรือไม่ ลู่จินที่ไม่รู้ว่าคนของที่บ้านจะมาเมื่อไหร่ก็ต้องตัดสินใจรีบวิ่งตามคนตัวสูงทันทีโดยที่มือก็ยังลากสัมภาระมาด้วยอย่างกับคนบ้าหอบฟาง ...ไอ้บ้าหลินอี้ ไม่คิดจะช่วยกันเลยหรือไง!... ลู่จินลากของตามหลินอี้มาถึงรถจนได้ แต่แทนที่เขาจะช่วยเธอขนขึ้นรถกลับทำเพียงแค่เปิดกระโปรงรถให้แล้วเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ จนลู่จินถึงกับอึ้งในความมีน้ำใจของชายหนุ่มไปเลย "คิดจะแก้แค้นเรื่องเมื่อปีก่อนสินะ! ให้ตายเถอะ" "เร็วๆ หน่อย" เสียงตะโกนจากคนในรถดังขึ้นจนลู่จินถึงกับสะดุ้ง โชคดีที่เขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอบ่นไม่อย่างนั้นเขาคงขับรถออกไปทิ้งเธอให้กลับคนเดียวแน่ๆ : ปีที่แล้ว : ไป๋ลู่จิน "งานหมั้นวันนี้หนูต้องสวยที่สุดเลยนะลูก" ฉันมองตัวเองในชุดกี่เพ้าสีขาวปักลายสวยงามผ่านกระจกเงาด้วยท่าทางเศร้าใจในที่สุดก็มาถึงจนได้...ฉันกำลังจะมีเจ้าของแล้ว คู่หมั้นของฉันชื่อ'จางหลินอี้'เป็นทายาทตระกูลดังที่ก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับหนังและพวกเขายังสร้างซีรีส์จนร่ำรวยอีกด้วย เราถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กพอเขาเรียนจบงานหมั้นก็ถูกจัดขึ้นทันทีตามธรรมเนียมของบ้านเรา ซึ่งตระกูลเราก็สนิทกันมานานหลายรุ่นจนคุณปู่ของพี่หลินอี้ได้ขอให้หมั้นหมายฉันไว้เพื่อเป็นการผูกความสัมพันธ์ ซึ่งคุณปู่ฉันก็ไม่ขัดและยอมทำตามเป็นคำขอสุดท้ายของเพื่อนรักก่อนที่ท่านจะจากไป สำหรับฉันเขาเป็นคนดีและคอยดูแลฉันมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต แต่เพราะแบบนั้นฉันถึงคิดกับเขาได้แค่พี่ชายยังไงละ ถึงก่อนหน้านั้นฉันจะเคยหลงรักเขาก็เถอะแต่มันก็ผ่านมานานจนกลับไปรู้สึกแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่เคยสนใจฉันแม้แต่นิดเดียว...ฉันไม่ยอมอยู่กับคนที่ไม่มีความรักให้ฉันหรอก มีเหรอไป๋ลู่จินคนนี้จะยอมง่ายๆ มันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งนั้นทำไมต้องมาให้เด็กอย่างเราเดือดร้อนก็ไม่รู้ ฉันจึงจัดการโอนหน่อยกิจเทอมสองของปีสี่ไปเรียนที่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะให้พูดว่าเพราะอะไร...มันก็เพราะฉันเกลี้ยกล่อมขอความร่วมมือจากพี่หลินอี้ไม่สำเร็จยังไงล่ะ ตาบ้านั้นยืนยันจะหมั้นอยู่ได้! ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีใจให้ฉันเลยสักนิดไม่สิ...เขาไม่เคยเห็นฉันมีตัวตนในชีวิตเลย "ที่รักงานเริ่มแล้วพาลูกออกไปได้แล้ว" เสียงพ่อฉันดังขึ้นเรียกความสนใจจากฉันและแม่ให้หันไปมอง เขายังคงมีสีหน้าสดชื่นที่ได้บังคับลูกสาวที่ยังเรียนไม่จบให้หมั้นได้จนถึงตอนนี้เลยให้ตาย "จินจิน ทำหน้างออะไรขนาดนั้น งานวันนี้หนูสวยที่สุดเลยนะ" "พ่อไม่ต้องมาพูดเลย ก็บอกแล้วว่าหนูไม่หมั้นพ่อก็ยังบังคับ" "เอาๆ งอนพ่ออีกแล้ว พี่เขาไม่ดีตรงไหนถึงไม่อยากหมั้นกันละ"แม่ฉันถามขึ้น "พี่เขาดีกับหนูมากกกกกกค่ะแม่ แต่แม่ไม่คิดเหรอว่าเราไม่เหมาะสมจะเป็นคนรักกันน่ะ เราโตมาด้วยกันเลยนะแบบตามตูดกันมาเลย" ฉันพยายามอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดแต่ดูเหมือนพ่อกับแม่จะไม่สนใจหิ้วปีกฉันคนละข้างให้เดินออกมาหน้างานที่เต็มไปด้วยบรรดาญาติของทั้งสองฝ่าย ฉันจึงต้องจำยอมปรับท่าทางให้สงบลงก่อนจะนั่งลงตรงที่ที่ถูกจัดไว้ ซึ่งดูเหมือนพี่หลินอี้ก็มารออยู่นานพอสมควรแล้ว งานวันนี้เป็นเพียงพิธียกน้ำชาเล็กๆ ระหว่างสองครอบครัวแต่ถึงอย่างนั้นพอญาติทั้งสองฝ่ายมารวมตัวกันก็เยอะเอาเรื่อง "พี่หลินอี้…พี่ยังเปลี่ยนใจได้นะตอนนี้ยังทัน"ฉันก้มกระซิบชายข้างกายเบาๆ หวังอยากจะให้เขาช่วยพูด "ทำให้มันจบๆ ไปเถอะ"และเขาก็ยังยืนยันคำเดิมเช่นเคยว่าจะยอมทำมัน แถมยังปั้นหน้ายิ้มราวกับมีความสุขกับงานวันนี้เสียเหลือเกิน การเกลี้ยกล่อมไม่สำรวจแม้แต่วินาทีสุดท้าย...ได้เลยเจ้าคนบื้อ ถ้าขอความร่วมมือดีๆ ไม่ยอม พี่จะเสียใจแน่! พิธีการเริ่มต้นตามแบบเรียบง่าย คือทั้งสองฝ่ายทำการยกน้ำชาไปให้ฝ่ายผู้ใหญ่จากนั้นท่านจะอวยพรต่างๆ นานา จนมาถึงพิธีสวมแหวนพี่หลินอี้สบตาฉันนิดหน่อยก่อนจะยืนมือมาขอมือฉันไปสวมแหวนแต่แทนที่ฉันจะส่งมือไปให้ฉันกลับลุกขึ้นยืนท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาแขกในงาน "คุณปู่ ขอโทษด้วยนะคะ" ฉันก้มหัวให้กับคุณปู่ ก่อนจะมองหน้าพ่อและแม่ที่กำลังส่ายหน้ารัวๆ อย่างรู้ทันว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไร ฉันยกมือไหว้คุณลุงกับคุณป้าท่วมหัวและท่านก็ยกมือรับไหว้ด้วยความงง ก่อนที่ฉันจะหันมาสบสายตาเข้ากับชายหนุ่มที่นั่งจ้องฉันอยู่ด้วยสายตาเฉยชา เขาไม่พูดอะไรกับการกระทำของฉันและไม่คิดจะห้ามเช่นกัน แน่ละถ้าฉันหนีไปเขาก็สบายเหมือนกันแถมไม่โดยด่าด้วย ฉลาดทิ้งความผิดให้ฉันจริงๆ เพราะไม่อยากถูกต่อว่าสินะถึงไม่ยอมร่วมมือกับฉัน! ไม่มีใครทันจะได้เอ่ยคำพูดอะไรต่อ ฉันก็รีบถลกกระโปรงกี่เพ้าขึ้นแล้วสาวเท้าวิ่งออกจากงานมาทันทีอย่างไม่คิดชีวติแถมด้านหลังยังมีพ่อกับแม่ฉันตะโกนไล่หลังมาไม่หยุด ความวุ่นวายได้เริ่มขึ้นเมื่อบรรดาญาติต่างพากันลุกขึ้นแล้ววิ่งตามฉันมาติดๆ "ขอโทษด้วยนะพ่อแม่ หนูจะยอมกลับมาก็ต่อเมื่อทุกคนสัญญาว่าจะไม่บังคับหนูหมั้น" "ยัยลูกดื้อทำแบบนี้พ่อกับแม่จะแก้ตัวกับทุกคนยังไง!!!"พ่อฉันตะโกนไล่หลังมา "ไม่รู้!!!!" ฉันตะโกนตอบในขณะที่เท้าก็ยังวิ่งไปตามทาง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าครอบครัวของพี่หลินอี้จะสร้างบ้านหลังใหญ่ไปถึงไหนนี่ฉันวิ่งออกมาจะเป็นกิโลยังไม่ถึงถนนใหญ่เลยด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ! "ยัยจินหยุดนะ"แม่ฉันตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห "โหะ นั้นแท็กซี่ แท็กซี่เว้ย!!" ฉันตะโกนเรียกแท็กซี่ที่เพิ่งจอดส่งคนริมถนนให้หยุดรอ ซึ่งดูเหมือนเขาก็ได้ยินจึงยังหยุดรถรอฉันอยู่ เมื่อถึงรถฉันก็รีบกระโดดขึ้นรถแล้วปิดประตูทันทีก่อนที่ฉันจะลดกระจกมาเอ่ยพูดประโยคสุดน่ารักกับทั้งพ่อและแม่ "ก็บอกให้ออกกำลังกาย นี่ไงวิ่งช้าเลย เดี๋ยวติดต่อมาน๊าาาา" "ยัยลูกจอมแสบบบ" พ่อฉันตะโกนลั่นจนเสียงแทรกเข้ามาในกระจก แต่ตอนนี้ฉันไม่สนแล้วในเมื่อคุยกันดีๆ ไม่ได้ฉันก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ ในเมื่อไม่มีใครร่วมมือกับฉัน ฉันก็จะใช้วิธีของฉันเอง! ต่อจากนี้ฉันจะไม่ยอมกลับมาถ้าทุกคนไม่ยกเลิกงานหมั้นนี่สะ!: ปัจจุบันลู่จินยังคงนั่งเงียบกริบมาตลอดทาง สายตาก็ยังคงชำเลืองมองคนขับที่ยังคงตีหน้านิ่งเป็นระยะ'อึดอัดชะมัด' ลู่จินได้แต่คิดในใจ เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มดูท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อาจจะเป็นเพราะได้เจอเธออีกละมั้ง "อืมม พี่ยังโกรธฉันอยู่เหรอ?""ให้โกรธเรื่องอะไรละ?""ก็...คงไม่หรอกเนอะ พี่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่เนอะ"ลู่จินพยายามคิดในแง่ดี"ที่ถามว่าจะให้โกรธเรื่องอะไร ฉันหมายถึง...สิ่งที่เธอทำทิ้งไว้มันมากมายจนเลือกโกรธไม่ถูกน่ะ"หลินอี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะหันมายิ้มให้คนตัวเล็กข้างกัน คำพูดประชดประชันของเขาเมื่อครู่ทำเอาลู่จินหายใจไม่ออกเลยทีเดียว "โถ่ๆ ท่านพี่เขาว่ากันว่าถือสาเด็กมีแต่จะเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายน๊า""แล้วเด็กใจร้ายแบบเธอไม่ควรถือสาเหรอ?""ก็ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่ ถ้าสุดท้ายเราถอนหมั้นกันที่หลังพี่เป็นผู้ชายพี่ก็ไม่เสียหายแต่ฉันเป็นผู้หญิงมันถึงขั้นขายไม่ออกเลยนะ"ลู่จินเอื้อมมือไปบีบนวดแขนล่ำของคนเป็นพี่เป็นการอ้อนวอนให้เขาไม่ถือสาเรื่องในอดีตถึงแม้ว่าเรื่องที่เธอทำไว้มันจะค่อนข้างใหญ่โตก็ตาม หลินอี้ก็ได้แต่มองการกระทำของเด็กสาวด้วยความช่างใจเพราะเธอมีท่
: ลู่จินฉันเดินรากกระเป๋าเดินทางของตัวเองขึ้นมายังห้องพักตามที่พี่หลินอี้บอกหลังจากสามารถสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อได้มองสำรวจไปรอบตัวบ้านแล้ว บ้านหลังนี้เป็นสไตล์เนเซอร์รัลสองชั่นที่ผสมผสานความทันสมัยและความร่มรื่นได้ดีโทนสีของบ้านจะออกเป็นโทนดำเสียมากกว่าแสดงถึงรสนิยมดิบเถื่อนของเจ้าของบ้านได้ดีเลยทีเดียวห้องของฉันเป็นห้องนอนกว้างที่มีชั้นลอยที่เดินขึ้นไปเป็นที่นอนส่วนด้านล่างจะถูกตกแต่งไว้ให้เป็นที่พักผ่อนโดยมีเบาะนุ่มเป็นวงกลมขนาดใหญ่กว่าตัวคนวางอยู่ตรงกลางห้อง พอลองได้นอนลงไปก็รู้สึกว่านุ่มดูดวิญญาณใช้ได้เลย แค่มีเจ้าเบาะนี้ฉันไม่จำเป็นต้องขึ้นไปนอนบนเตียงก็ได้เดินมาที่มาอีกหน่อยก็เจอเจ้ากับหน้าต่างใต้ชั้นลอย พบว่าผนังส่วนนี้สามารถเปิดเลื่อนออกไปเจอระเบียงเล็กๆ ที่พอให้เดินไปยืนรับลมด้านนอกพร้อมชมวิวที่ตอนนี้มีแต่ความมืดได้ ก็เขาดันสร้างมันห่างจากบ้านคนขนาดนี้จะเห็นอะไรได้ละ…ก่อนหน้านี้ฉันลองโทรหาครอบครัวเพื่อเช็กว่าคำพูดของพี่หลินอี้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า สรุปว่าทุกคนปิดเครื่องหนีฉันเรียบร้อย!...ใช่! ฉันถูกตัดหางปล่อยวัดเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวฉันไว้ใจให้ฉันมาอยู่บ้านผู้ชา
อีกด้านของลู่จิน เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกลิ่นกาแฟหอมๆ และกลิ่นขนมปังอบที่ไม่ต้องกินก็รับรู้ได้เลยว่ารสชาติดี สายตาหวานก็มองสำรวจรอบตัวร้านระหว่างรอเจ้าของร้านออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจคาเฟ่เป็นสไตล์มินิมอลที่เน้นสีขาวและสีของไม้เป็นการตกแต่งหลัก ทำให้สามารถนั่งมองได้อย่างเพลิดเพลินไม่รู้สึกเบื่อแถมยังสบายตา ที่นี่แยกทุกอย่างเป็นโซนได้อย่างดีแต่ที่เธอสนใจที่สุดคงจะเป็นของตกแต่งที่มองก็ดูรู้มาจากประเทศไทยเสียส่วนใหญ่ ไม่แน่เจ้าของร้านอาจจะเป็นคนที่ชอบเมืองไทยมากก็ได้ตึง! เสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกความสนใจให้ลู่จินต้องหยิบมันขึ้นมาดู เจ้าของข้อความนั้นไม่ใช่ใครคือหลินอี้นั้นเอง 'โอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับอาทิตย์นี้ให้ ใช้อย่างประหยัด ได้งานหรือเปล่าก็บอกด้วย''จางหลินอี้'หืม? ลู่จินอ่านข้อความจากแชทของหลินอี้อย่างแปลกใจเธอไม่คิดว่าเขาจะให้เงินเธอด้วยซ้ำ ด้วยความไม่เชื่อเธอจึงรีบเข้าเช็กในบัญชีทันที 'เงินเข้า 10,xxx'"โหะ ของจริง0-0!!"ลู่จินถึงตกใจเมื่อเห็นยอดเงินเข้าที่โชว์อยู่หน้าจอ เธอไม่คิดว่าเขาจะห่วงเธอด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เมื่อเช้าเขาไม่ถามอะไรเธอสักคำ"สวัสดีค่ะ"ระหว่างที่ลู่จิ
: ลู่จินภายในลิฟต์พี่หลินอี้ยังคงมองหน้าฉันนิ่งไม่คาดสายตาแถมยังทำหน้าดุจนฉันงงไปหมดว่าไปทำให้เขาไม่พอใจตอนไหนกัน ทั้งๆ ที่วันนี้ยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลยสักอย่าง"พี่จะมองฉันด้วยสายตาดุๆ นั้นอีกนานไหม?""ไม่ตอบแชท ไม่ขอบคุณ ไม่แจ้งว่าตกลงได้งานไหม...มันคืออะไรลู่จิน"เขาพูดรัวๆ แสดงถึงความไม่พอใจที่ฉันเมินเฉยต่อข้อความเขา แต่ฉันมีเหตุผลนะ...ก็คนเราทำงานวันแรกจะให้หยิบโทรศัพท์มาตอบแชทก็คงดูไม่ดี แต่ถ้าตอบเขาแบบนี้เขาจะคิดว่าข้ออ้างไหมนะ"เอิ่ม...""พูด""ขอบคุณสำหรับเงินที่โอนมาให้ค่ะ ฉันจะใช้อย่างระวัง...แล้วงานก็ได้ทำแล้วค่ะ วันนี้เริ่มงานแล้ว"ฉันพูดลากเสียงยาวพร้อมกับก้มหัวต่ำให้เขาอย่างจงใจประชด แต่ดูเหมือนหลินอี้จะไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นเลยแถมยังดูโมโหกว่าเดิมเสียอีก"ไป๋ลู่จิน...แล้วทำไมเธอไม่ตอบแชท""ฉันทำงานวันแรกนี่ จะให้มาจับโทรศัพท์มันก็น่าเกลียดพี่เป็นเจ้าคนนายคนอยากให้ลูกน้องตั้งใจทำงาน แต่ลูกน้องเอาแต่เล่นโทรศัพท์พี่จะชอบหรือเปล่าละ""อย่ามาย้อนนะ เธอแค่บอกได้งานแล้ว เลิกช่วงเย็นหรือช่วงดึกแค่นั้นมันยากเหรอ?"เขาถามฉันพร้อมคิ้วที่กำลังขมวดเข้าหากันช้าๆ ท่าทางเขาตอนนี้ดูอยากจะตี
ตกเย็นฉันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันรู้สึกสนุกมากจริงๆ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิตเลยที่ฉันทำงานขนาดนี้ เพราะช่วงที่เรียนก็มีทำงานอยู่บ้างแต่ยังไม่ถึงขั้นตั้งใจทำงานแลกเงินแบบนี้พอก้มมองนาฬิกาในโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ฉันกำลังเดินข้ามถนนมาหาพี่จางหลินอี้ตามที่เขาบอก ตอนมาส่งของรู้สึกว่าพี่เจ้าหน้าที่ให้ฉันขึ้นไปง่ายมากผิดกับตอนนี้ที่เขาแจ้งฉันว่าฉันจะต้องแจ้งเหตุผลในการมาอย่างชัดเจน!แล้วจะให้ฉันบอกว่าอะไร? มาหาประธานของคุณงี้เหรอ? คงไม่มีใครเชื่อเด็กแบบฉันแน่น"งั้นฉันนั่งรอเขาด้านล่างก็ได้ค่ะ""ถ้าเพื่อนเป็นพนักงานบริษัทนี้ป่านนี้เขาคงกลับไปกันหมดแล้วละ ลองโทรหาเขาสิถ้ามีหลักฐานพี่จะให้ขึ้น"ถึงพี่เจ้าหน้าที่จะบอกแบบนั้นแต่จะให้ฉันโทรหาพี่หลินอี้เพียงเพราะต้องการขึ้นไปมันก็ไม่ใช่เรื่อง ฉันเลยปฏิเสธแล้วอ้างว่าเพื่อนทำโอทีขอนั่งรอที่โซฟาด้านล่างดีกว่า"เอะ...ลู่จิน ไป๋ลู่จิน"ฉันหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง พอหันไปฉันก็ถึงขั้นต้องกระโดดโลดเต้นเมื่อคนตรงหน้าคือเพื่อนเก่าของฉันที่เคยเรียนด้วยกัน'เหมยลี่' ซึ่งเธอก็ห้อยบัตรพนักงานของบริษัทจางหลินอยู่ที่คอ"เหมยลี่ไม่ได
: บาร์หลังจากที่ลู่จินออกไปคุยโทรศัพท์เสร็จก็พยายามประคองตัวเองเข้ามาบอกเหมยลี่ให้รู้ว่าเธอต้องกลับเสียแล้ว วันนี้คงไม่ได้พักกับเหมยลี่ตามที่รับปาก แต่พอมาถึงที่โต๊ะกลับพบว่าเพื่อนสาวมีชายหนุ่มรูปหล่อนั่งติดกันอยู่"เหมยลี่...ฉันว่าฉันต้องกลับแล้ว"ลู่จินพยายามกระซิบข้างหูเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด แต่ดูเหมือนวันนี้เหมยลี่จะไม่ปล่อยเธอไปง่ายอย่างใจคิดเมื่อลู่จินถูกดึงให้นั่งลงข้างๆ เพื่อนรัก ก่อนเหมยลี่จะยื่นแก้วเหล้าให้เธอจนถึงปาก"ดื่มชดใช้เดี๋ยวนี้ ชดใช้ที่หายไปไม่บอกเพื่อน""อ่าา ฉันเมาแล้วเหมยลี่"ลู่จินพยายามอธิบายพร้อมใช้มือดันแก้วเหล้าให้ออกห่างตัว แค่ตอนนี้ที่เธอเป็นอยู่ก็มึนหัวจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว"น๊าาาาาา""พอดีกว่าครับ...ลู่จินดูจะไม่ไหวแล้วเอาเป็นว่าผมดื่มแทนเธอนะ"ระหว่างที่เหมยลี่คะยั้นคะยอจะให้ลู่จินดื่มให้ได้ ชายหนุ่มที่เข้ารวมนัดเดทคนหนึ่งก็แย่งแก้วเหล้าไปจากมือเล็กก่อนจะดื่มแทนลู่จินจนหมดแก้ว ทำเอาทั้งสองสาวหันมองหน้ากันทันทีก่อนที่เหมยลี่จะระบายยิ้มล้อเลียนออกมาเป็นเชิงแซวความสัมพันธ์ของทั้งคู่"เห้ ลู่จินดูเหมือนอี๋เฉินจะสนใจเธอเลย"เหมยลี่กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเพ
:จางหลินอี๋ตลอดทางกลับบ้านผมยังคงชำเลืองหางตามองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอให้อารมณ์นำเหตุผลเสียแล้ว ผมโมโหจนเผลอจูบเธอเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองเผลอทำแบบนั้น…อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านั้นแล้วละมั้ง เพราะยิ่งพูดคนฟังอย่างผมก็ยิ่งโมโห! เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำมาก่อนผมคงไว้ใจเธอมากเกินไปพอรถจอดเทียบตัวบ้าน เมื่อหันไปมองอีกทีลู่จินก็ผล็อยหลับไปเสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเมามากนั่นแหละ ผมจึงต้องเดินอ้อมไปซ้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มอย่างระมัดระวังเพื่อจะพาเธอขึ้นห้องนอนช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคนตัวเล็กก็เอาแล้วบ่นพึมพำไม่เป็นภาษาจนผมต้องแอบมองใบหน้านั้นเป็นระยะ ไม่แน่ว่าที่เธอกำลังพึมพำอาจจะกำลังด่าผมในฝันอยู่ก็ได้ที่ผมเผลอเอาเปรียบเธอไปแบบนั้นเมื่อถึงห้องนอนผมก็จัดการวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มของตัวเองเพื่อให้เธอได้นอนพัก ตอนแรกก็กะว่าจะพาเธอไปนอนที่ห้องแต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไม่ยอมตื่น แบบนั้นคงไปทำงานไม่ทันแน่น ยิ่งเพิ่งจะได้งานแบบนี้ขืนวันที่สองไปสายละก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก"แล้วชุดสา
รถแล่นจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าคาเฟ่… ไป๋ลู่จินกำลังจะเปิดประตูลงรถเพื่อเข้างานแต่ต้องชะงักไปเมื่อประตูยังถูกล็อกหญิงสาวจึงหันมามองเจ้าของรถตาขวางเพราะเธอรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งแน่นอน"ไม่เปิดเหรอ? ให้ฉันทะลุประตูไปเหรอ?"ไป๋ลู่จินที่ยังหงุดหงิดกับคำบ่นของชายหนุ่มจึงประชดเขาไปอีกรอบ จางหลินอี้จึงได้แต่หัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองใบหน้างอของหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาดุ"ประชดฉันทั้งที่ตัวเองผิดมันไม่เกินไปหน่อยหรือไงไป๋ลู่จิน""พี่เองก็เป็นผู้ใหญ่การที่เด็กทำผิดแล้วสำนึกผิด ขอโทษแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรอภัย""ที่เธอทำมันหลายกระทง ทั้งหนีเที่ยว ไปนัดบอร์ด มีผู้ชายตามติด...""อ่าาาา ก็บอกว่าไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเลย"ลู่จินกลอกตามองบนเพราะขี้เกียจอธิบาย ทำไมเขาเอาแต่บ่นเป็นตาแก่นักหนาก็ไม่รู้"แล้วเขาจะโทรมาได้ยังไงถ้าเธอไม่ไปเชื่อมความสัมพันธ์""ไม่รู้ จะรู้ได้ยังไงพี่ก็เห็นว่าฉันเมาจำไม่ได้หรอก""งั้นจะกินทำไม หรือตั้งใจเมาเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นสนใจ""หาเรื่องฉันตลอด เดี๋ยวโมโหก็จูบฉันอีกนิสัยไม่ดี"ไป๋ลู่จินพูดก่อนจะสะบัดตัวหันหนีไปทางกระจกอย่างไม่พอใจ เมื่อเธอพูดแบบนั้นหลินอี้ก็ถึงกับนิ่งไปใ
:วันต่อมาลู่จินยังคงติดรถหลินอี้มาทำงานปกติ แต่วันนี้เป็นวันแรกที่จะต้องไปออกกองซึ่งโชนจะเป็นคนขับรถไปส่งที่กองพร้อมกับขนเครื่องดื่มไปด้วย เธอจะต้องพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืนเพราะจะมีซีนถ่ายทำยาวถึงช่วงเย็นด้วย ถือว่าเป็นการทำงานออกพื้นที่ครั้งแรกของลู่จินเลยก็ว่าได้ ส่วนเรื่องเมื่อวานหลังจากที่หลินอี้ดีขึ้นเขาก็พาลู่จินออกไปหาอะไรกินด้านนอกตามปกติ แถมลู่จินยังถือโอกาสไปซื้อหมอนข้างให้เขาจริงๆ แต่พอเจ้าตัวเห็นกลับเอามันไปให้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นแถมยังบอกว่าเขาไม่ต้องการมัน ทั้งๆ ที่ตัวเองชอบขอนอนกอดเธออยู่เรื่อยแท้ๆ ทำแบบนี้ลู่จินก็อดคิดไปไกลไม่ได้เลย"ลู่จิน...""คะ?"ลู่จินถึงกับสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ หลินอี้ก็เรียกเธอด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา"มู่อี๋เฉินเขาโทรหาเธอทำไม...""...เอิ่ม"อยู่ๆ ก็ถามเรื่องนั้นขึ้นมาแถมยังทำหน้าตาจริงจังอีกทำเอาอดคิดไม่ได้เลยว่าต้นเหตุที่เขาเมาคือเรื่องนี้ "เขาสารภาพรักกับเธอใช่ไหม""ก็...ใช่"เบรก~ พี่หลินอี้หักรถเข้าริมฟุตบาทแล้วเบรกแรงๆ จนลู่จินถึงกับต้องจับเข้าที่เบาะเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยว สายตาคมกริบจ้องมองตรงไปด้านหน้าราวกับกำลังคิดหาคำพูด แต่เป็นลู่จินเองที่เ
ลู่จินเด้งตัวลุกจากเตียงเมื่อรู้สึกถึงแสงที่ส่องแยงตาจนไม่สามารถนอนหลับอีกต่อไปได้นี่มันหมายความว่า วันนี้เธอตื่นสายเสียแล้ว!"แย่แล้ว!"ลู่จินจะรีบก้าวลงจากเตียงแต่ต้องชะงักเพราะแขนหนักของหลินอี้ยังกอดเอวเธอไว้เธอแน่น จนนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วอดจะหันมาหยิบเข้าที่แขนล่ำไม่ได้เขามักจะชอบทำอะไรแบบนี้อยู่เรื่อย! ชอบเอาเปรียบเธอตอนง่วงนอนเสมอเลย แต่แทนที่เจ้าตัวจะตื่นกลับทำเพียงแค่ร้องครางในลำคออู้อี้ก่อนจะนอนพลิกตัวไปอีกข้างอย่างกับนี่เป็นห้องของตัวเองเสียอย่างนั้น "พี่ไม่ทำงานหรือไง จางหลินอี้นี่มันสายแล้วนะ""อือ ไม่ทำ...หยุด"เขาพูดขณะยังซุกใบหน้าหล่อเหลาลงในผ้าห่มราวกับรู้สึกรำคาญเธอ"แล้วแต่พี่ ฉันต้องไปทำงานแล้ว""ฉันลาให้เธอแล้ว""ทำไม...""จะนอน...."ร่างของหลินอี้พลิกตัวกลับมากอดเข้าที่เอวเล็กก่อนจะขยับตัวเองมานอนหนุนตักนุ่มแทนหมอน "พะ พี่หลินอี้"ลู่จินถึงกับทำอะไรไม่ถูก ตอนแรกที่เธอยอมให้เขานอนค้างด้วยเพราะเห็นว่าเขาเมามากแต่ตอนนี้เขาควรจะสร่างแล้วสิ ทำไมมือไม้ยังเป็นปลาหมึกอยู่อีก พอได้เห็นเขาในมุมนี้ลู่จินก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เธอไม่คิดว่าคนนิ่งเงียบอย่า
ร่างสูงนั่งเหม่อลอยมองความมืดอยู่นอกระเบียงราวกับกำลังขบคิดเรื่องราวมากมาย มือข้างหนึ่งก็ยังคงถือแก้วไวน์ไว้ไม่ห่างก่อนจะค่อยๆ ยกมันขึ้นดื่มเป็นแก้วที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้...หลินอี้เชื่อว่าความเมาจะทำให้คนรู้ความในใจเขาจึงเลือกดื่มเข้าไปเสียหลายขวดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงจนเริ่มเกิดอาการมึนเสียแล้ว ที่เขาทำแบบนี้เพราะอยากเข้าใจความรู้ตัวเองที่มีต่อหญิงสาวคนนั้น คนที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกประหลาดแบบนี้กับเธอเลย แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงเขาก็ยังไม่มั่นใจ เรื่องที่เขามีอาการไม่พอใจขนาดนั้นอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ชอบการกระทำของมู่อี๋เฉินที่ดูออกหน้าออกตาก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเขาชอบลู่จินจริงๆแต่ถ้าขืนทำอะไรที่ไม่มั่นใจออกไปแล้วสุดท้ายผลที่ออกมากลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกชอบไป๋ลู่จินขึ้นมาเธอจะต้องเสียใจมากแน่ "ปวดหัวชะมัด"หลินอี้กุมหัวตัวเองขณะกำลังดันตัวลุกขึ้นจากโซฟาจะเดินกลับเข้าในห้อง เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมึนได้ถึงขนาดนี้เพียงเพราะไวน์ไม่กี่ขวด ร่างสูงพาตัวเองเข้ามานั่งลงบนเตียงหนากว้างที่ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกเตียงกว้างขนาดนี้ทำไมในเมื่อเขาก็ไม่มีคนนอนข้างกายเลยสักคืน คิด
: บ้านจางหลินอี้: ลู่จิน "โอ๊ย เป็นบ้าหรือไง"ฉันโวยวายเมื่อถูกลากเข้ามาในบ้านก่อนที่เขาจะผลักฉันให้นั่งลงบนโซฟาแรงๆ ก่อนหน้านี้ก็แบกฉันโยกใส่รถอย่างกับตุ๊กตา ตลอดทางก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีกด้วยเหตุการณ์มันน่าอึดอัดไปหมดแล้ว!"หัวโดยอะไร..."นี่เป็นคำพูดแรกตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่ร้านที่เขาพูดกับฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาโมโหอะไรเหมือนกันถึงได้พาลไปทั่วแบบนี้หน้าของเขาก็ดูเครียดมากและยังดูมากไปอีกตอนที่เขาคุยอะไรสักอย่างกับอี๋เฉินก่อนออกมา "ชนโต๊ะ""อืม"เขาตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินไปหยิบกล่องยาติดมือกลับมานั่งลงข้างๆ ฉัน แล้วเปิดมันออกเพื่อค้นหายาขึ้นมาทาหน้าผากให้ฉัน แต่เมื่อฉันเห็นเข้ายืนมือมาใกล้มันก็อดจะขยับหนีไม่ได้เพราะความกลัวเจ็บ จนเขาจะต้องเอื้อมมือมาจับคางฉันไม่ให้ขยับ ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวจะป้ายเนื้อครีมลงบนหน้าผากฉันอย่างแผ่วเบา ไม่รู้เพราะความกลัวหรือความตื่นเต้นที่ถูกจับหน้า...มันกำลังทำให้ใจของฉันเต้นแรงจนกลัวว่าเจ้าของมือหนานี่จะได้ยินตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด 'มู่อี๋เฉิน'"หึ..."เขาแค่นหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงอีกครั้งเมื่อสายตาคมหันไปเห็นเบอร์ที่โชว์ขึ้นมาหน้าจอโทรศัพท์ฉัน ก่
ลู่จินยังคงทำงานไปด้วยความเหม่อลอยจากเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นดูเหมือนล้วนแล้วจะมีสาเหตุมาจากเธอทั้งนั้น แต่ที่น่าฉงนไปกว่านั้นคือ ไป๋ลู่จินยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด..."เฮอ...""พี่ลู่จิน พี่ถอนหายใจรอบที่หนึ่งล้านแล้วนะ"นกยูงมองลู่จินอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะวางของในมือแล้วตรงมาจับไหล่เธอไว้"พูดมา มีอะไรหนักใจน้องคนนี้จะรับฟังพี่เอง!"ลู่จินไล่สายตามองสำรวจใบหน้าเล็กของเด็กสาวที่ดูอยากจะช่วยหรือไม่ก็อาจจะรำคาญจนจำใจยอมรับฟัง ...เธอเล่าให้นกยูงฟังก็ดี เพราะตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาเธอก็ไม่ใช่คนปากโป้งยังไงสะเรื่องนี้ก็ปรึกษาเหมยลี่ไม่ได้อยู่แล้ว "ฉันกำลังอยากรู้ว่าฉันทำอะไรผิด...""ยังไงละ?""คือฉัน...เอิ่ม...มีพี่ชายที่สนิทมากอยู่คนหนึ่งแล้วฉันก็บังเอิญไปเจอผู้ชายอีกคนหนึ่งวันที่ฉันเมา วันนั้นดูเหมือนว่าเขาจะโทรมาตอนที่ฉันหลับไปแล้ว...พี่ชายคนนั้นเขาก็รับ ฉันคิดว่ามันไม่มีอะไร...แต่วันนี้พอเขาทั้งคู่เจอกันมันดูเหมือนสงครามยังไงชอบกล""อ่าาา งั้นที่พี่สงสัยคือพี่ผิดอะไรอย่างนั้นเหรอ?""ใช่...พี่ชายที่ฉันพูดถึงเขาดูจะโกรธฉันมากที่อยู่กับผู้ชายคนนั้นแถมหลุดคำแปลกๆ ออกมาอีก
ไม่รอช้าร่างสูงเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนทันที ทำเอาพนักงานแถวนั้นรีบทำความเคารพกันจ้าละหวั่นที่เห็นประธานเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ลู่จินและมู่อี๋เฉินเห็นท่าทางที่แปลกไปของคนรอบข้างก็รีบหันกลับไปดูด้านหลังตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่มู่อี๋เฉินจะระบายยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร เขาคิดว่าถ้าเขาสนใจผู้หญิงคนนี้เขาก็ควรทำตัวดีต่อพี่ชายเธอเสียหน่อยผิดกับลู่จินที่เมื่อได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของหลินอี้ก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าน้อยๆ เข้าไปใกล้เพื่อถามว่าทำไมเขาถึงมายืนจ้องเธอแบบนี้"พี่...มาตรงนี้ทำไม"เสียงเล็กเอ่ยถามเบา"เธอมาที่นี่ทำไม..."แต่ต้องถูกเขาย้อนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด แถมท่าทางที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแบบนั้นลู่จินรู้ได้เลยว่าถ้าเธอเถียงเขาแม้แต่คำเดียว เขาสามารถด่าเธอได้ตรงนี้ไม่อายคน"ฉันมาทำงานค่ะ เอาของขึ้นมาส่ง""แล้ว..."หลินอี้ตวัดสายตาไปมองมู่อี๋เฉินที่ยังคงยืนยิ้มอย่างนอบน้อม"ผมมาประชุมครับ ผมได้รับบทนำเป็นพระเอก"มู่อี๋เฉินอธิบาย"ฉันรู้ว่านายคือพระเอกที่สปอนเซอร์เลือก แต่ที่ฉันถามคือ...นายมาอยู่ตรงนี้กับลู่จิน…ทำไม"การเน
บ้านซูฉวี่"ผิดแผน ผิดแผนไปหมด! น่าโมโหจริงๆ"มือเรียวระดมปาข้าวของลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด ในสมองก็ยังนึกถึงภาพสายตาที่แสดงความห่วงใยของหลินอี้ที่มองหญิงสาวคนนั้นไม่หาย "ใจเย็นๆ ก่อนซูฉวี่ ถ้าอย่างนั้นเธอไม่ต้องไปรับงานนี้ไหมล่ะ"จีจี้ผู้จัดส่วนตัวของซูฉวี่เอ่ยในขณะที่ตามเก็บข้าวของตามพื้นที่ถูกซูฉวี่ขว้างปาเพื่อระบายอารมณ์โมโห "ไม่! ฉันจะรับงานนี้การที่เขาไม่แคร์ฉันมันยิ่งทำให้ฉันอยากจะเอาชนะใจเขาให้ได้""ซูฉวี่ มันไม่เสียเวลาไปหน่อยหรือไง ถ้าเขาไม่สนใจก็คือไม่สนใจนะ""คิดหน่อยสิพี่จีจี้ ถ้าเขาเกิดหลงรักฉันขึ้นมาจริงๆ มันจะคุ้มค่าแค่ไหน?"ใบหน้าสวยระหงเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ"อย่าลืมสิว่าเขาเป็นใครและรวยแค่ไหน"ซูฉวี่พูดอย่างภูมิใจในตัวเป้าหมายที่เธอเลือก ตอนนี้จางหลินอี้ถือว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่กำลังได้รับการยอมรับจากบรรดานักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ซูฉวี่จึงคิดว่าผู้ชายอายุยังน้อยแต่ประสบความสำเร็จขนาดนี้มันช่างน่าสนใจและเธอไม่มีทางเชื่อว่าเธอจะทำให้เขารักเธอไม่ได้"แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีใจให้ผู้หญิงคนนั้นนะ คนที่อยู่ในห้อง""ฉันถึงให้พี่ไปสืบไง แล้วตกลงเธอเป็นใคร""ไป๋ลู่จิน..
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองหนุ่มสาวให้หันไปมอง ภาพตรงหน้าคือนางแสดงสาวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในบริษัทกำลังยืนอยู่ในชุดเดรสสีแดงสดด้วยสายตาไม่พอใจนัก ด้านหลังยังมีผู้จัดการส่วนตัวที่เดินตามมาติดๆ ด้วยสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอคงเพิ่งถูกดาราสาวต่อว่ามาแน่นอน ลู่จินที่เห็นความสวยของหญิงสาวตรงหน้าก็ถึงกับชะงักไปก่อนสมองจะนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือ'ซูฉวี่'นักแสดงที่กำลังโด่งดัง ผิดกับหลินอี้ที่เมื่อได้เห็นนักแสดงสาวก็ถึงกับหัวเราะในลำคอเพราะไม่คิดว่าเหยื่อจะติดกับเร็วขนาดนี้จริงๆ แล้วเขาให้ซูเฟียไปกระจายข่าวเปิดรับนักแสดงนำคนใหม่เพื่อจงใจให้ซูฉวี่รู้ว่าเขาไม่ได้แคร์ถ้าต้องเปลี่ยนตัวนักแสดง ตอนนี้เรื่องมันกลายเป็นทางซูฉวี่เองที่ต้องมาหาเขาถึงที่เพราะกำลังจะเสียงานไปแล้วจริงๆ"ประธานจางฉันขอคุยด้วยหน่อย"ซูฉวี่พูดพร้อมกับมองจ้องมายังลู่จินที่กำลังคีบไก่เข้าปาก ลู่จินเองเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้เลยรีบเก็บข้าวของเพื่อจะออกไปแต่กลับถูกหลินอี้ดึงข้อมือไว้ก่อนจะตักปีกไก่น้ำแดงมาวางไว้ในถ้วยข้าวของเธอ"นั่งกินให้เรียบร้อย""ฉันอิ่มแล้ว..."ลู่จินพูดพร้อมชำเลือง
หลายวันต่อมาชีวิตประจำวันระหว่างลู่จินและหลินอี้ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ ทั้งคู่ยังคงไปกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน และลู่จินยังคงมาทานข้าวเที่ยงที่หลินอี้เตรียมไว้ให้แลกกับการที่เธอต้องมาส่งกาแฟเขาทุกวันเช่นกันจนตอนนี้คนในบริษัทเริ่มจะคุ้นชินกับการมาของเธอโดยที่ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนรู้จักของหลินอี้แต่บางคนก็บอกว่าเธอคือคนที่กำลังพยายามเข้าหาหลินอี้ซึ่งตัวเธอก็ไม่เคยคิดจะอธิบายแต่วันนี้เหตุการณ์ในบริษัทดูเคร่งเครียดกว่าปกติทุกคนเอาแต่ก้มหน้าทำงานอย่างแข็งขันและเดินสวนกันไปมาให้วุ่น ลู่จินที่เก็บความสงสัยไว้ในใจไม่ไหวเลยตั้งใจเดินไปหาเพื่อนรักที่แผนเพื่อสอบถามเรื่องนี้"เหมยลี่ๆ""เอ้า มาส่งกาแฟเหรอ ทำไมมาแผนกฉันละ"เหมยลี่ถามเพื่อนรักในขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยรูปดาราสาวหลายคน ดูเหมือนเธอเองก็กำลังยุ่งไม่น้อย"เอิ่ม วันนี้ที่บริษัทดูยุ่งจังเลยเนอะ""ยุ่งสิ อยู่ๆ ซูฉวี่นางเอกที่ถูกวางตัวในมินิซีรีส์เรื่องใหม่ก็ขอถอนตัวกะทันหันอีกสองวันจะประชุมผู้บริหารแล้วด้วย ถ้าสปอนเซอร์รู้ว่าเรายังไม่มีนางเอกให้เขาอาจจะแย่ได้""เอ้า! แล้วทำไมถึงถอนตัวแบบนี้""เพราะประธานของเร