: ลู่จิน
ฉันเดินรากกระเป๋าเดินทางของตัวเองขึ้นมายังห้องพักตามที่พี่หลินอี้บอกหลังจากสามารถสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อได้มองสำรวจไปรอบตัวบ้านแล้ว บ้านหลังนี้เป็นสไตล์เนเซอร์รัลสองชั่นที่ผสมผสานความทันสมัยและความร่มรื่นได้ดีโทนสีของบ้านจะออกเป็นโทนดำเสียมากกว่าแสดงถึงรสนิยมดิบเถื่อนของเจ้าของบ้านได้ดีเลยทีเดียว ห้องของฉันเป็นห้องนอนกว้างที่มีชั้นลอยที่เดินขึ้นไปเป็นที่นอนส่วนด้านล่างจะถูกตกแต่งไว้ให้เป็นที่พักผ่อนโดยมีเบาะนุ่มเป็นวงกลมขนาดใหญ่กว่าตัวคนวางอยู่ตรงกลางห้อง พอลองได้นอนลงไปก็รู้สึกว่านุ่มดูดวิญญาณใช้ได้เลย แค่มีเจ้าเบาะนี้ฉันไม่จำเป็นต้องขึ้นไปนอนบนเตียงก็ได้ เดินมาที่มาอีกหน่อยก็เจอเจ้ากับหน้าต่างใต้ชั้นลอย พบว่าผนังส่วนนี้สามารถเปิดเลื่อนออกไปเจอระเบียงเล็กๆ ที่พอให้เดินไปยืนรับลมด้านนอกพร้อมชมวิวที่ตอนนี้มีแต่ความมืดได้ ก็เขาดันสร้างมันห่างจากบ้านคนขนาดนี้จะเห็นอะไรได้ละ… ก่อนหน้านี้ฉันลองโทรหาครอบครัวเพื่อเช็กว่าคำพูดของพี่หลินอี้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า สรุปว่าทุกคนปิดเครื่องหนีฉันเรียบร้อย!... ใช่! ฉันถูกตัดหางปล่อยวัดเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวฉันไว้ใจให้ฉันมาอยู่บ้านผู้ชายได้ยังไงกันถึงเขาจะขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นก็เถอะ คิดแล้วก็เศร้าจริงๆ "จนแบบจนจริงๆ แล้วสินะ..." ฉันได้แต่พยายามคิดหาวิธีหาเงินจุนเจือตัวเองเพราะดูจากพฤติกรรมของพี่หลินอี้แล้วเขาดูไม่ค่อยจะอยากรับฉันมาอยู่เท่าไรหรอก จะให้ฉันแบมือขอเงินเขาก็คงไม่ใช่เรื่อง... ฉันต้องหางานทำ แล้วเก็บเงินไปเช่าห้องอยู่ถึงที่นี่จะเป็นบ้านที่น่าอยู่มากแค่ไหนแต่จะให้อยู่ในสถานะผู้อาศัยตลอดหนึ่งปีมันก็ค่อนข้างละอายใจ คิดได้แบบนั้นฉันก็เอาโทรศัพท์กดหาข้อมูลการรับสมัครงานตามเว็บต่างๆ ซึ่งมันก็มีทั้งงานที่ฉันพอจะทำได้และทำไม่ได้ แต่ฉันต้องคำนึงถึงระยะทางการเดินทางด้วย ถ้าจะนั่งรถประจำทางไปทำงานมันก็ได้อยู่หรอกแต่เงินค่ารถนี่สิ...ที่มีอยู่คงพอได้แค่ไม่กี่วัน "เอ๊ย งานนี้มันสถานที่ตั้งมันอยู่ตรงข้ามบริษัทตระกูลจางเลยนี่" ฉันถึงกับเด้งตัวยืนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ งานที่เจอมันเป็นคาเฟ่ของหวานที่อยู่ตรงข้ามบริษัทของพี่หลินอี้พอดี ถ้าได้งานนี้ฉันก็ไม่ต้องคำนึงถึงการเดินทางแล้ว! เพียงฉันหน้าทนขอติดรถเขาไปทำงานเพียงเท่านี้ก็ประหยัดเงินค่าเดินทางไปได้เลย เยี่ยม! "เอาละ ฉันเลือกงานนี้!" : เช้าวันต่อมา ฉันแต่งตัวลงมานั่งรอพี่หลินอี้ที่โซฟาด้านล่างตั้งแต่เช้าเนื่องจากกลัวจะไม่ทันเวลาเขาออกไปทำงาน แต่วันนี้มันช่างน่านอนเหลือเกิน...บ้านหลังนี้บรรยากาศดีชะมัดเลย ฉันจะเผลอหลับก่อนที่เขาจะลงมาไหมนะ... ตึก ตึก นั้นมัน..เสียงคนเดินลงบันได "โหะ มาแล้ว!" ฉันเด้งตัวขึ้นยืนยิ้มหวานให้ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมกับชุดสูทที่พาดอยู่บริเวณแขน เขากำลังเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับมองฉันด้วยสายตานิ่งเรียบราวกับมองไม่สนใจและเดินผ่านฉันไปเฉยเลย ทำให้ฉันต้องรีบเดินตามไปเกาะแขนเขาไว้อย่างถือวิสาสะ "อะไร...จะขอเงินเหรอ?" "เปล่า เงินยังมีอยู่นิดหน่อยแต่จะขอติดรถไปด้วย" พี่หลินอี้หยุดเดินก่อนจะหันมามองฉันตรงๆ ด้วยสายตาดุ "ไม่มีเงินยังจะออกไปเที่ยวอีก" "ไม่ได้ไปเที่ยวนะ! ฉันจะไปทำงาน" "ทำงาน? ฉันไม่รับเธอทำงานที่บริษัทฉันหรอกนะถึงประวัติเธอจะตรงสายงานแต่พนักงานไม่ได้ขาดแคลน"เขาพูดพร้อมน้ำเสียงจริงจัง จริงๆ ไม่ต้องปฏิเสธกันขนาดนั้นก็ได้นะ =_= "เปล่า ส่งประวัติไปสมัครงานไว้เมื่อคืนเขาบอกให้เข้าไปสัมภาษณ์วันนี้ แล้วมันอยู่แถวบริษัทพี่เลยจะขอติดไปด้วย" "แน่นะ ไม่ใช่ว่าสุดท้ายตามฉันขึ้นไปถึงบริษัทนะ"พี่หลินอี้ยังคงพูดด้วยความระแวง "มโนเกินไปละ ฉันหนีพี่ไปถึงเมืองไทยเลยนะคิดก่อนพูดหน่อย"ฉันแบะปากใส่คนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ แต่พอนึกขึ้นได้ว่ายังต้องพึ่งพาเขาจึงพยายามระบายยิ้มหวานกลบเกลื่อน "ให้มันจริง!" พี่หลินอี้พูดก่อนจะเดินตรงไปที่รถโดยที่ไม่ได้ห้ามฉัน นั้นแสดงว่าเขาอนุญาตให้ฉันไปด้วยได้ทีฉันก็รีบวิ่งตามเขาไปติดๆ จริงๆ เขาก็แค่วางมาดไปแบบนั้นแหละฉันรู้ว่าเขาใจดี ...... รถคันหรูแล่นมาจอดแทบริมฟุตบาทบริเวณหน้าตึกสูงเพื่อส่งหญิงสาวให้เข้าไปสัมภาษณ์งาน หลินอี้มองตามแผ่นหลังเล็กที่กำลังวิ่งตรงเข้าไปยังคาเฟ่ตรงข้ามบริษัทด้วยความสดใส มันเป็นร้านคาแฟ่ที่เหล่าบรรดาพนักงานของบริษัทเขามาใช้บริการเป็นประจำซึ่งถือว่าเป็นร้านขายดีอันดับต้นๆ ของละแวกนี้เลยก็ว่าได้ หลินอี้ได้แต่มองตามเธอด้วยความรู้สึกที่แอบเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย เธอเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจขนาดนั้นจะสามารถทำงานในร้านคาเฟ่แบบนี้ได้จริงๆ น่ะเหรอ...จะสามารถทนแรงกดดันของงานได้จริงหรือเปล่า "ไม่ใช่เรื่องของแกสักหน่อยจางหลินอี้ ยัยนั้นโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว" คิดได้แบบนั้นเขาก็เลี้ยวรถเข้าบริษัททันทีที่ก่อนจะเตรียมตัวทำงานโดยตั้งใจจะไม่สนใจหญิงสาวคนนั้นอีก วันนี้เขาต้องประชุมเรื่องการสร้างมินิซีรีส์ที่กำลังหาตัวนักแสดงเขาเองก็ค่อนข้างยุ่งคงไม่สามารถสนใจเรื่องของผู้หญิงคนนั้นได้มากนักถึงแม้ในใจจะแอบเป็นห่วงตามหน้าที่อยู่ก็ตาม"ฉันชอบรอยยิ้มของเธอที่สุด ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น"เสียงของมู่อี๋เฉินเบาราวกับลมถูกเอ่ยออกมาเมื่อร่างเล็กของหญิงสาวในดวงใจเดินออกจากร้านไปจนลับตา กว่าเขาจะทำใจมาแสดงละครกับเธอในวันนี้ได้ก็เล่นเอาหนักใจไม่น้อย...เพราะเขาเองก็ชอบเธอมาก คนที่เป็นพลังบวกให้คนรอบข้างอย่างลู่จินเขาไม่อยากจะเสียเธอไปเพียงเพราะคบกันไม่ได้ เขาจึงจำยอมจะต้องลดความรู้สึกตัวเองลงเพื่อให้ตัวเองยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม"สวัสดี"มู่อี๋เฉินเอ่ยทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามานั่งแทนที่ของลู่จินที่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน จริงๆ เขาเห็นหลินอี้แอบมองมาตั้งแต่ตอนที่ลู่จินนั่งรออยู่ตรงนี้แล้ว การที่หลินอี้ทนเก็บความหึงได้ขนาดนั้นคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นแน่"เรื่องของลู่จิน..."หลินอี้เอ่ยเปิดประเด็นด้วยเสียงนิ่ง"ไม่ต้องห่วง ผมขอกลับไปเป็นเพื่อนกับเธอ"มู่อี๋เฉินเอ่ยแทรกประโยคของหลินอี้ เขารู้ดีว่าใบหน้าตึงเครียดนั้นคงคิดว่าเขาจะมาตามเซ้าซี้ลู่จินจนกังวลใจ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคนตรงหน้าได้คำตอบที่ชัดเจนจากเขาคิ้วที่ถูกผูกโบเป็นปมก่อนหน้าก็ค่อยๆ คลายออกราวกับโล่งใจ"ทำไมตอนนี้ถึงยอมแพ้"หลินอี้พูดโดยที่ห
: บริษัทจางหลิน: ลู่จิน ฉันถูกปู่ไล่กลับมาช่วยงานที่บริษัทกับพี่หลินอี้หลังจากที่เราอยู่เฝ้าปู่กันถึงสามวันติด ทำให้ตอนนี้งานที่บริษัทยุ่งเหยิงไปหมด และฉันเชื่อว่าพี่หลินอี้จะไม่เหนื่อยขนาดนี้เลยถ้าตอนอยู่อเมริกาเขาหัดรับสายเลขาเสียบ้าง "พี่หลินอี้มีอะไรให้หนูช่วยไหม"ฉันถามขึ้นด้วยความเบื่อเหนื่อยเมื่อเล่นเกมจนชนะไปทุกด่านแล้ว นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันเข้าไปแล้วพี่หลินอี้ก็ยังคงนั่งอ่านเอกสารและแก้เอกสารอยู่ที่เดิมไม่ขยับ "ไม่มีครับ เบื่อเหรอ?"พี่หลินอี้วางปากกาพร้อมหันมามองสบตาฉันผ่านแว่นตาใส ภาพของเขาตอนนี้มันช่างหล่อเหลาจนสามารถสะกดให้ฉันไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลยจริงๆ"ก็...เบื่อสิคะ หางานให้ทำหน่อย"ฉันพูดอ้อนก่อนจะเดินตรงไปกอดคอแฟนหนุ่มของตัวเองไว้หลวมๆ เป็นการเอาใจ ตอนนี้บอกตามตรงฉันไม่รู้จะทำอะไรแก้เบื่อแล้ว "อยากทำอะไรละ? ให้พี่กินหนูฆ่าเวลาดีไหม"คนเจ้าเล่ห์พูดพร้อมยื่นใบหน้าเข้ามาขโมยหอมที่แก้มฉันเสียงดัง ฟอด ตั้งแต่คบกันมาเขาก็เอาเปรียบฉันอยู่เรื่อยเลยแถมยังไม่เคยจะเลือกที่อีกต่างหากเรียกได้ว่าว่างเป็นเอาเปรียบไม่รู้ว่าอดอยากมาจากไหน"คิดแต่เรื่องลามก!""ก็เห็นครางสะเพรา
หลังจากกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ลู่จินก็ยังคงนั่งมองไปนอกหน้าต่างนิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดมากมาย จนหลินอี้ที่เอนตัวทำงานอยู่บนเตียงข้างกันถึงกับต้องเก็บงานแล้วขยับตัวเข้าไปโอบเมียสาวไว้ก่อนจะเกยคางลงบนบ่าเล็กอย่างเอาใจ เขารู้ว่าเธอคงคิดมากเรื่องคุณปู่ไม่น้อยอีกทั้งเธอยังไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแผนการของท่านเท่านั้น ไม่แปลกที่เธอจะกังวลอันที่จริงการผ่าตัดของปู่ลู่จินผ่านไปได้ด้วยดี เนื้องอกส่วนนั้นถูกตัดได้อย่างปลอดภัย จะเหลือเพียงแค่รอให้แผลฟื้นตัวดีขึ้นก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ อีกทั้งการตรวจสุขภาพครั้งใหญ่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"คิดมากเรื่องคุณปู่เหรอ""คิดถึงช่วงเวลาที่ทำให้ครอบครัวหนักใจค่ะ""หมายถึง?""ที่หนูหนีไปทุกคนคงเป็นห่วงมาก...ตอนนั้นหนูโกรธจนไม่ติดต่อใครเลยแต่สุดท้ายทางบ้านก็ยังส่งคนตามหาและตามดูแลห่างๆ""ท่านคงห่วง...""แต่หนูก็ทำเป็นไม่รู้ใช้ชีวิตของตัวเองไป หางานทำเลี้ยงตัวเอง เที่ยวกับเพื่อนทุกวัน...ยังดีที่งานพิเศษรายได้ดีหนูเลยไม่ต้องติดต่อขอเงินทางบ้าน แต่การที่หนูไม่ติดต่อมันก็ทำให้หนูพลาดไปหลายอย่าง..."เสียงลู่จินอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนหลินอี้ต้
ร่างสวยยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องพักผู้ป่วยวีไอพีโดยที่มีมือหนาของหลินอี้คอยจับที่บ่าไว้ตลอด ทั้งที่ตลอดการเดินทางมาลู่จินทำใจไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะเข้มแข็ง แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยเห็นคุณปู่ป่วยจนนอนโรงพยาบาลมาก่อน บอกตามตรงมันทำให้เธอรู้สึกหน่วงที่ใจจนเจ็บ"ไม่เป็นไรนะลู่จิน คุณปู่แค่อ่อนเพลียจากการผ่าตัด"หลินอี้ยังคงปลอบใจแฟนสาว ทำให้ลู่จินมีแรงใจขึ้นมาแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องพักอย่างสงบ ก่อนที่สายตาสวยของเธอจะมองสำรวจไปทั่วห้องสีขาวแล้วมาหยุดที่ร่างชายสูงวัยบนเตียงผู้ป่วย ร่างนั้นเต็มไปด้วยสายออกซิเจนและสายยางมากมายถูกเชื่อมเข้ากับตัวที่ยังคงนอนนิ่งภาพที่เห็นทำเอาลู่จินถึงกับจุกอกจนน้ำตาไหลเธอได้แต่ก้าวเท้าเข้าไปหาท่านช้าๆ โดยไม่สนคำทักทายของพ่อและแม่ตัวเองด้วยซ้ำ ก่อนที่จะวางมือเล็กลงบนมือที่ทั้งขาวซีดและเหี่ยวแห้งตามกาลเวลานั้น "ลู่จินลูกเพิ่งมาถึงทำไมไม่ไปพักก่อนละลูก"แม่ของลู่จินเดินเข้ามาลูบเข้าที่ผมลูกสาวเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นลู่จินก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เธอเอาแต่มองใบหน้าชายสูงวัยที่กำลังนอนหลับนิ่งพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"ลู่จิน ตอนนี้คุณปู่เพิ่งได้รับยานอนหลับไปไม่ต้องคิดมาก”
หลังจากลงไปส่งแม่ขึ้นรถไปที่สนามบินเสร็จ หลินอี้ก็รีบขึ้นมาเก็บของเพื่อจะไปรับลู่จินและเตรียมใจจะบอกเธอเรื่องอาการป่วยของคุณปู่ ทั้งที่ในใจก็กำลังกังวลเรื่องความรู้สึกของลู่จินเขากลัวว่าเธอจะเสียใจ แต่เขาคิดว่าในเมื่อทั้งคู่เลือกที่จะคบหากันอย่างจริงจังแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเขาก็ไม่ควรปิดบังเธอเพียงไม่นานเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่จอดรถของกองถ่ายก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลู่จินกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทอย่างสะอึกสะอื้น จนหลินอี้ตกใจรีบจอดรถทิ้งไว้กลางทางแบบนั้นก่อนจะตรงเข้าไปโอบไหล่เธอไว้เพื่อปลอบขวัญ"เกิดอะไรขึ้น หนูเป็นอะไร"เขาถามอย่างร้อนใจในขณะที่มือก็ลูบไปตามเนื้อตัวของเมียสาวฟืบ !ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนจะโผล่กอดหลินอี้แน่นจนเขารับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นของหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาใส ก่อนเธอจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนไหวถึงสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้หนัก"คุณปู่ไม่สบายเหรอ?""รู้แล้วเหรอ?"หลินอี้ถามแฟนสาวเบาๆ เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้เขาซึ่งมันก็แสดงประวัติการโทรเข้าเป็นเบอร์ของคุณน้าแม่ของลู่จิน"แม่โทรมา บอกว่า อึกๆ ที่หายไปเพราะคุณปู่ไม่สบาย"เธอเงยหน้ามองสบตาแฟนหนุ่มด้ว
หลายวันต่อมาหลินอี้ยังคงทำงานตามปกติส่วนลู่จินแฟนสาวคนสวยวันนี้เธอขอไปออกกองเพื่อไปช่วยงานร้าน ซึ่งชายหนุ่มก็กำชับแฟนสาวอย่างเคร่งครัดว่าอย่าเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาจีบและอยู่ให้ห่างจากมู่อี๋เฉิน ช่วงบ่ายหลังจากเคลียร์งานเสร็จเขาจะรีบตรงไปรับเธอ"ประธานครับ""มีอะไรซูเฟีย ถ้าให้เซ็นเอกสารต่อไม่เอาแล้วนะ ฉันต้องไปรับลู่จิน"หลินอี้ตอบเลขาหนุ่มทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ทำให้ซูเฟียหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่ยืนสง่าอยู่ด้านหลังซึ่งเธอก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เขาออกจากห้องนี้ไปก่อน ส่วนเธอก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามลูกชายตัวดีก่อนจะใช้นิ้วเรียวสวยเคาะเบาๆ ที่โต๊ะเพื่อเรียกความสนใจของหลินอี้ให้เงยหน้าขึ้นมามองเมื่อหลินอี้ได้เงยตามองขึ้นมาก็ถึงกับนิ่งไปด้วยความแปลกใจ เพราะเดิมทีความสัมพันธ์ของเขาและพ่อแม่ค่อนข้างห่างเหินทำให้การได้พบกันระหว่างเขาและครอบครัวส่วนมากจะเกิดขึ้นทางธุรกิจ แต่ใช่ว่าเขาจะน้อยใจ...เขาเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจมันยุ่งและวุ่นวายมากขนาดไหน"มาได้ยังไงครับแม่ ไม่เห็นบอกก่อนเลย"หลินอี้ยิ้มให้คนเป็นแม่อย่างอบอุ่น