Masukร่างบางที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจกเพื่อส่องดูความเรียบร้อยของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือทรงผม เมื่อสำรวจตรวจดูจนเป็นที่พอใจดีแล้ว ขวัญนรีที่อยู่ในชุดนักศึกษาจึงเดินออกจากห้องเพื่อจะไปยังมหาวิทยาลัยและเธอบังเอิญเห็นว่าหนุ่มรุ่นพี่ที่อยู่ห้องตรงข้ามอย่างเรนได้เดินออกมาจากห้องพอดิบพอดี
มือขาวรีบปิดประตูลง ใบหน้าสวยหันไปมองสบสายตาเข้ากับอีกฝ่าย สองขาเรียวจึงก้าวเดินไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ ตัวหนุ่มหล่อ
“กำลังจะไปไหนเหรอคะ” สาวเจ้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“จะไปดูว่าแม่กินข้าวหรือยังน่ะ…”
คำตอบที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวงุนงงและแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยความข้องใจเจ้าหล่อนจึงเอ่ยถาม
“พี่เรนอยู่ที่นี่กับคุณแม่เหรอคะ?”
“ตามมาก่อนสิ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
สาวน้อยก้าวเดินตามอีกฝ่ายโดยมุ่งหน้าไปยังตัวลิฟต์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทั้งคู่เดินเข้าด้านในก่อนจะกดชั้นที่ต้องการ เกิดความเงียบขึ้นมากะทันหัน ขวัญได้แต่มองดูร่างสูงโปร่งที่ยังคงยืนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ราวกับรับรู้ถึง สายตาคู่สวยมีเสน่ห์ที่มองมา เรนจึงเอ่ยปากพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“แม่ของฉันเป็นเจ้าของหอน่ะ”
ใบหน้าใสทำท่าทางครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะบรรลุเมื่อนึกไปถึงใบหน้าสวยงามตามอายุของคุณป้าเจ้าของที่พักหอแห่งนี้
“…คุณป้าแสนใจดีคนนั้นนี่เอง”
“ใช่แล้ว แม่ฉัน…เป็นคนที่ใจดี” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา
แววตาของ ‘ฉัตรธร’ หรือ ‘เรน’ ฉายชัดไปด้วยความรักและเคารพ“อ้อ… โอเคค่ะ ขวัญเข้าใจแล้ว” ใบหน้าสวยน่ารักพยักหน้ารับเบา ๆ ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองรุ่นพี่หน้าหล่อไม่วางตา
ไม่นานลิฟต์ก็ได้เปิดเมื่อมาถึงชั้นจุดหมายปลายทางเรนจึงเดินนำหน้าโดยที่มีขวัญนรีเดินตามโดยเว้นระยะเพียง
นิดหน่อย“จะไปเรียนใช่ไหม?”
“ค่ะ วันนี้เปิดเรียนวันแรก เอาจริงก็แอบหวั่นใจอยู่นะคะ ขวัญยังไม่มีเพื่อนสนิทหรือรู้จักใครในนั้นสักคนเลย พูดแล้วเครียด” เสียงใสเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา ดวงตาสุกใสฉายถึงแววกังวล
“อืม อย่าเพิ่งเครียดหรือท้อสิ วันปฐมนิเทศนี่แหละที่จะทำให้เรารู้จักคนใหม่ ๆ เยอะขึ้น ฉันเชื่อว่าเธอจะได้มีเพื่อนแน่นอน” น้ำเสียงอันอบอุ่นเอ่ยปลอบประโลมขึ้น สาวเจ้าจึงคลี่ยิ้มกว้าง ใบหน้าสวยกลับมายิ้มแย้มเริงร่าอีกครั้งเมื่อได้ฟังหนุ่มรุ่นพี่พูด
“ขอบคุณสำหรับพลังงานบวกนะคะพี่เรน”
“ไม่เป็นไร แค่อย่ากังวลมากจนเกินไปก็พอ”
“ค่ะ ขวัญไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่ค่ะ” สาวน้อยฉีกยิ้มจนตาหยี มือขาวยกขึ้นโบกไปมาลารุ่นพี่ผู้อบอุ่นดั่งไมโครเวฟ ก่อนจะหันหลังให้และเดินจากไป ทิ้งให้ร่างสูงได้แต่มองตาม
ร่างเพรียวระหงเดินออกมาจากหอก็พบเข้ากับคุณป้าใจดีที่เป็นแม่ของหนุ่มรุ่นพี่อย่างเรน ขวัญนรีจึงรีบเร่งเดินเข้าไปหา
“สวัสดีค่ะ แวะซื้อโจ๊กไปทานเหรอคะ” เสียงเจื้อยแจ้วน่ารักและน่าเอ็นดูเอ่ยถามขึ้น เรียกเอาความสนใจจากกลุ่มคนที่กำลังซื้อขายบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหญิงวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของหอพักให้เช่าอย่างคุณนาย ‘ปฐมาวัลย์’
“ใช่จ้ะ ป้ายังไม่ได้กินอะไรเลยน่ะ หนูจะไปเรียนสินะ” น้ำเสียงนุ่มละมุนหูเอ่ยตอบและถามกลับเมื่อเห็นการแต่งตัวเด็กสาว
“เป็นอย่างที่พูดเลยค่ะ หนูเพิ่งแยกจากลูกชายคุณป้าเมื่อกี้เองค่ะ พี่เขาว่าจะมาดูเรื่องอาหารการกินของคุณป้าอยู่พอดีเลย”
“…”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากบางสีชมพูของคุณนาย สาวน้อยสดใสยังคงเอ่ยเล่าเรื่องราวเหตุการณ์นั้นให้ฟังต่อไป
“ลูกชายป้า…?”
“ใช่ค่ะ พี่เรนรักและเคารพคุณป้ามากเลยนะคะ ดูเป็นห่วงมากด้วย หนูเห็นแบบนี้ก็โล่งใจ ลูกชายคุณป้าก็คงไม่ต่างกัน”
“เมื่อกี้หนูพูดว่า… ลูกชายป้าเหรอ?” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยอย่างแผ่วเบา แววตาคู่สวยบนใบหน้างดงามตามอายุดูสั่นระริก
“ใช่ค่ะ… ทำไมเหรอคะ?” ขวัญเอ่ยถามขึ้นเมื่อจับสังเกต เห็นท่าทางที่แปลกไป
“เปล่าจ้ะ ป้าชื่อวัลย์นะ ไม่ต้องเรียกว่าคุณป้าเต็มยศก็ได้” ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยนมาให้ ทำเอาเด็กสาวที่กำลังมองดูอยู่ต้องยกยิ้มตาม แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็วเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ตรงนี้นานเกินสมควร
“ได้ค่ะป้าวัลย์ งั้นหนูขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ”
“จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะลูก” คุณนายวัลย์เอ่ยอวยพรก่อนจะไล่สายตามองตามหลังของร่างเล็กบอบบางที่เริ่มออกตัววิ่งไป
ขวัญนรีที่วิ่งมาจนถึงมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงค่อย ๆ เดินอย่างสงบเสงี่ยม มือขาวยกขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อบนใบหน้าใส ขาเรียวมุ่งตรงไปยังจุดสำหรับการปฐมนิเทศของนักศึกษาน้องใหม่
ดวงตากลมโตก้มมองดูนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือก่อนจะพบว่าตนเองนั้นมาได้ทันเวลาสำหรับการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมอยู่ เธอจึงรีบไปสมทบก่อนจะไปตั้งแถวเพื่อทยอยเข้าหอประชุม โดยมีคณะผู้บริหารคณาจารย์รอคล้องพวงมาลัยต้อนรับอยู่
“ยังไม่เจอคนที่รู้สึกว่าจะสนิทกันได้เลย…” ขวัญพึมพำเบา ๆ
เมื่อเดินเข้ามาภายในสถานที่ต้อนรับแล้ว ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ บริเวณด้วยความสงสัยและความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
และทันใดนั้น…
“เราขอนั่งตรงนี้ได้ไหม?” เสียงเล็ก ๆ น่ารักของหญิงสาวในวัยเดียวกันเอ่ยทักกึ่งถามขึ้น ขวัญนรีจึงรีบหันไปมองยังต้นเสียง
“ได้สิ… เธอนั่งได้เลยนะ” เสียงใสเอ่ยอย่างเป็นมิตรริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบาง ๆ ส่งไปให้นักศึกษาสาวที่เป็นเพื่อนร่วมคณะ
สาวสวยหุ่นเป๊ะหน้าปังนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะหันมายิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
“ฉันชื่อนิรานะ เธอล่ะ…ยายตัวเล็ก” นิรณา หรือ ‘นิรา’ เอ่ยทักอย่างเป็นกันเองพลางมองมายังคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างขวัญนรี
“เรียกเราว่าขวัญได้เลย ยินดีที่ได้รู้จักนะนิรา”
“เช่นกันนะ ถึงแม้ว่าจะรู้จักแค่ชื่อก็เถอะ…”
สิ้นสุดประโยค สองสาวก็นั่งหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน เพราะคำพูดคำจาที่น่าเอ็นดูและชวนขบขันไม่น้อยของนิรณา
ทันใดนั้น…คณบดีและผู้บริหารก็ได้กล่าวคำทักทายต้อนรับนักศึกษาใหม่ สาวสวยทั้งสองต่างนั่งฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มละความสนใจจากบริเวณด้านหน้าก่อนจะหันไปมองที่นั่งข้างตัว ที่ตอนนี้กำลังมีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาได้หันจ้องมองมาที่เธอเช่นกัน นัยน์ตาสุกใสของสองหนุ่มสาวต่างสบสายตาใส่กันอยู่สักพัก
“…สวัสดี เราตรีนะ แล้วเธอล่ะ…?”
“อ้อ… เราจัตวาค่ะ หยอกนะ คิกคิก” ขวัญเอ่ยพูดแกมหยอก ใบหน้าสวยน่ารักประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทำเอาฝ่ายคนมองดูถึงกับลมหายใจสะดุดราวกับต้องมนตร์หลงใหลในเสน่ห์นั้น
“…กวนเก่งเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่า ๆ” ตรีวิทย์เอ่ยตอบหลังเงียบไปสักพัก ใบหน้าหล่อขึ้นสีระเรื่อเพราะยังคงรู้สึกเขินจากเมื่อกี้
“ซอรี่ตรี… ติดเล่นไปหน่อย เราขวัญนะ”
“ชื่อน่ารักเหมือนหน้าตาเลย…” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น สายตาคู่คมยังคงจ้องมองร่างเล็กบอบบางของหญิงสาวอย่างไม่วางตา ริมฝีปากหนาระบายยิ้มกว้างออกมาตามแบบคนอัธยาศัยดี
“…”
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ราวกับมีแค่ทั้งสองคนในตอนนี้ ถึงแม้บรรยากาศภายในห้องจะมีเสียงดังเซ็งแซ่อยู่ตลอดเวลา
“เป็นอะไร… ฮ่า ๆ เขินเหรอ?”
“ก็ดูนายพูด…”
ตรีวิทย์อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมาอย่างเอ็นดู มือแกร่งเตรียมจะเอื้อมไปลูบผมของอีกฝ่ายแต่ก็ต้องค้างชะงักเพื่อหยุดไว้ให้ทัน ขวัญมองดู ไม่ได้ใส่ใจในท่าทีมากนัก มือเรียวขาวผายไปยังด้านข้างตัวเองซึ่งมีสาวสวยเซ็กซี่เต็มสิบไม่หักอย่างนิรานั่งอยู่
“ส่วนสาวสวยตรงนี้… นิรณา”
“เรียกนิราก็ได้นะ” ใบหน้ามีเสน่ห์ของสาวเจ้าที่มองไปยังร่างสมส่วนของชายหนุ่มได้สักพักแล้ว ปากกระจับยกยิ้มส่งไปให้
“ตรีนะ…นิรา”
นิราที่เอาแต่เฝ้ามองตรีตั้งแต่ที่อีกฝ่ายนั้นเริ่มเดินเข้ามานั่ง แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรมากนัก เพราะสาวเจ้าค่อนข้างพูดน้อย ต่างจากขวัญนรีกับตัวตรีวิทย์ที่เป็นคนอัธยาศัยดีและช่างจ้อ
“เอาละ…สุดสวยและสุดหล่อ ฉันว่าพวกเราควรตั้งใจฟังที่คุณครูและอาจารย์กำลังพูดนะ เดี๋ยวจะตามคนอื่น ๆ ไม่ทัน” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยบอกอย่างจริงจังขึ้นมา หนุ่มสาวที่นั่งขนาบข้างอยู่ต้องพยักหน้ารับและมุ่งความสนใจไปด้านหน้า
การกล่าวต้อนรับยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ กินเวลาไปหลายสิบนาทีก่อนจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายก็คือ…การให้โอวาทนักศึกษา
“สุดท้ายนี้ ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกได้คุ้มครองนิสิต นักศึกษาทุกท่านให้ปราศจากภยันตราย มีความสุข มีความก้าวหน้าในการศึกษาเล่าเรียน และประสบความสำเร็จตามปรารถนาทุกประการเทอญ”
เมื่อสิ้นสุดคำกล่าวอวยพร ทั่วทั้งบริเวณต่างกึกก้องไปด้วยเสียงปรบมือจากนักศึกษารวมไปถึงบุคลากรที่อยู่ ณ แห่งนั้น
กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไปจวบจนเกือบจะเที่ยงทั้งสามคนจึงได้มีเวลามาพักและนั่งทานข้าวกันที่โรงอาหารรวมที่อยู่ไม่ไกล
“กลับเข้าหอประชุมกัน ใกล้จะได้เวลาเริ่มรอบบ่ายแล้ว” นิราเอ่ยชวนหลังจากที่เธอก้มมองดูนาฬิกาเรือนหรูหราบนข้อมือ
ตรีวิทย์กับขวัญนรีต่างพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยก่อนจะพากันเดินกลับเข้าไปนั่งประจำที่เดิม กิจกรรมปฐมนิเทศยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในช่วงบ่าย ทั้งสามคนรวมไปถึงนิสิตคน
อื่น ๆ ต่างก็ตั้งใจรับฟังและให้ความร่วมมือด้วยเป็นอย่างดีเวลาล่วงเลยไปจวบจนท้องฟ้านั้นมืดมิด หน้าปัดนาฬิกาบ่งบอกเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาที เข้าสู่ช่วงสามทุ่มเป็นที่เรียบร้อย และเป็นเวลาเดียวกับที่กิจกรรมแห่งวันปฐมนิเทศได้จบลงไปอย่างราบรื่น
“ว่าแต่พวกเธอกลับกันยังไงเหรอ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น สองสาวจึงหันไปมองก่อนจะพากันเอ่ยตอบคำถาม
“ขวัญเดินกลับน่ะ หอที่พักอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง”
“ฉันขับรถมาน่ะ” นิราเอ่ยบอกสั้น ๆ ตามสไตล์
“โอเค กลับกันดี ๆ นะ ไว้เจอกันใหม่สาว ๆ ผู้น่ารัก” ตรีเอ่ยจบก็โบกมือลาและเดินจากไป สองสาวจึงเริ่มแยกทางกันกลับ
ในขณะที่ร่างบางกำลังเดินกลับหอพักอยู่นั้น ระหว่างทางขวัญรู้สึกเสียวสันหลังแปลก ๆ สัญชาตญาณเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้ตัวเธอรีบรับรู้ถึงอันตรายและความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย เพราะตลอดทางเธอมักจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวตามหลังมา ขาเรียวสวยรีบออกวิ่งในทันทีโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองดูด้านหลัง หน้าอกด้านซ้ายที่เต้นแรงราวกับจะออกมาเต้นข้างนอกทำเอาสติของเจ้าหล่อนถึงกับเตลิดไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ขวัญนรียังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตก่อนจะไปชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคน ดวงตากลมโตรีบหันขึ้นไปมองร่างสูงโปร่งด้านหน้าตนเอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“พะ…พี่เรน…”
“เป็นอะไร… วิ่งหน้าตั้งตาตื่นมาขนาดนั้น” น้ำเสียงคุ้นหูที่เอ่ยถามออกมาอย่างราบเรียบ ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับฉายชัดถึงความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ ทำเอาสาวเจ้าแทบอยากจะร้องไห้
“ขวัญรู้สึกว่า… เมื่อกี้มีใครสักคนกำลังเดินตามอยู่”
“แถวนี้พอตกดึกแล้วมันจะมืด อันตรายมาก ทีหลังถ้าเธอจะกลับดึกก็บอกฉันสิ เดี๋ยวฉันจะไปรับเอง ดีกว่ากลับ
คนเดียว” เรนเอ่ยออกมายาวเหยียด เขาไม่คิดที่จะปิดซ่อนความห่วงใย โดยถ่ายทอดออกไปผ่านคำพูด สีหน้าท่าทางรวมไปถึงแววตาร่างเล็กบอบบางถึงกับอุ่นวาบไปทั่วทั้งหัวใจ เธอค่อย ๆ ได้สติและสงบลง น้ำเสียงอบอุ่นที่เจือด้วยความเป็นห่วงราวกับเป็นยาบรรเทาและคอยรักษาหัวใจดวงน้อย ๆ ของหญิงสาวเอาไว้
“ขวัญ… ไม่มีเบอร์ของพี่เรนนี่นา…” ใบหน้าสวยน่ารักเริ่มง้ำงอเล็กน้อย เสียงใสแผ่วเบาในทุกคำของประโยค หนุ่มรุ่นพี่จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะยื่นมือหนาของตนไปให้คนตัวเล็ก
“ส่งมือถือมาสิ เดี๋ยวฉันจะกดเบอร์ให้”
ไม่รอช้า มือเรียวขาวรีบยื่นสมาร์ตโฟนราคาแพงไปให้ร่างสูงตรงหน้า เรนจึงหยิบมากรอกหมายเลขโทรศัพท์ลงไปก่อนจะส่งคืนให้ ซึ่งขวัญนรีก็รีบรับคืนมาหวังจะบันทึกรายชื่อเอาไว้
“เอ่อ.. อันนี้เบอร์คุณป้านี่คะ” ดวงตาสุกใสหันกลับไปมองก็พบว่าคนพี่ได้หายไปจากบริเวณนั้นแล้ว ใบหน้าใสฉายชัดถึงแววแห่งความงุนงงและแปลกใจ เมื่อเห็นว่าไร้วี่แววของหนุ่มหล่อผู้พูดน้อยแล้ว ขาเรียวสวยจึงรีบก้าวเดินต่อเพื่อเข้าหอไป
หลังจากที่ใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่กินด้วยกันมาหลายเดือน ในที่สุดขวัญนรีก็กำลังตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่เก้าไปเสียแล้ว และคนที่ดูจะภูมิอกภูมิใจแลดูมีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นว่าที่คุณพ่ออย่างฉัตรธรนั่นเอง ซึ่งตอนนี้ร่างสูงกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องคลอดอย่างใจจดใจจ่อ มือหนาชื้นเหงื่อกำเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่าหลัง จากที่หญิงสาวผู้เป็นที่รักและสิ่งมีชีวิตตัวน้อยภายในครรภ์ได้เข้าสู่กระบวนการสำคัญของแม่และเด็ก “ขอให้ปลอดภัย” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำเบา ๆ ขายาวลุกขึ้นก่อนจะก้าวเดินไปมาอย่างอยู่ไม่สุข ทำเอาผู้เป็นแม่อย่างคุณนายปฐมาวัลย์ถึงกับเริ่มจะวิงเวียนศีรษะจากการกระทำของลูกชาย “ใจเย็นหน่อยจ้ะ คุณพ่อ” เสียงนุ่มละมุนหูเอ่ยเตือนสติอีกฝ่าย เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่ เรนจึงค่อย ๆ สงบลง ทว่าภายในใจเขานั้นกำลังกระวนกระวายเพราะเป็นห่วงคนที่ยังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้น “ผม… เป็นห่วงเมียและลูก” น้ำเสียงที่ฉายชัดถึงแววกังวลเอ่ยบอก หญิงสูงวัยทำได้เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
หลังจากที่เข้าห้องหอมาเป็นที่เรียบร้อย สามีหนุ่มหล่อก็จูงมือเจ้าสาวคนสวยมานั่งที่เตียงสีแดงสดที่โรยด้วยกลีบกุหลาบรูปหัวใจเอาไว้อยู่ ซึ่งคนตัวเล็กก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี “ที่รักครับ พี่ขอไปอาบน้ำก่อนนะ” “ได้ค่ะ เราแกะของขวัญรอได้ไหม?” “ได้สิ เดี๋ยวพี่มาดูด้วยอีกทีนะหนู” เจ้าหล่อนพยักหน้ารับเบา ๆ ชายหนุ่มจึงมุ่งเดินเข้าห้องน้ำไป มือเรียวขาวเอื้อมไปหยิบของขวัญแต่งงานที่ได้จากแขกเหรื่อขึ้นมาแกะดูทีละกล่องด้วยความตื่นเต้นและรอลุ้น “อืม อันนี้ของพี่เขมสินะ” เธอเอ่ยพึมพำและเริ่มเปิดดูของที่อยู่ข้างใน และสิ่งที่ได้เห็นทำเอาขวัญนรีถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย เพราะภายในมีเสื้อผ้าเด็กทารกและของอื่น ๆ อีกหลายอย่างสำหรับลูกน้อย “พี่เขมนะพี่เขม หนูก็เขินเป็นนะ” เสียงใสเอ่ยบ่นพี่สาวอย่างไม่จริงจังมากนะ ก่อนจะหันความสนใจไปที่กล่องสี่เหลี่ยมอันถัดไปที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ “อันนี้จากนิราและตรีนี่นา เปิดเลยดีกว่า” สาวเจ้าไม่รอช้า เธอจัด
วันที่ 1 เดือนเมษายน พุทธศักราช 256x ฤกษ์งามยามดีที่ครอบครัวทั้งสองบ้านนั้น จะได้ปรองดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน เป็นวันที่คู่รักทั้งหลายต่างก็ใฝ่ฝันให้เกิด ขึ้นในชีวิตของพวกเขาในสักครั้ง วันที่จะเป็นเหมือนการประกาศถึงความรักและความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวสามี-ภรรยา ซึ่งฉัตรธรกับขวัญนรีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากที่ทั้งคู่ตกลงคบหาดูใจกันเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และวันนี้ก็มาถึง วันที่ทั้งสองจะได้เปิดเผยความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ถูกต้องและเหมาะสม โดยมีสักขีพยานรักรับรู้ เมื่อบรรดาแขกเหรื่อมากันครบแล้ว พิธีแต่งงานจึงเริ่มต้นขึ้นโดยมีผู้เป็นมารดาของหนุ่มสาวทั้งสองฝั่งได้เดินไปจุดเทียนที่แท่นบูชาเพื่อเริ่มพิธีสำคัญนี้ หลังจากจุดเทียนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย วงดนตรีค่อย ๆ บรรเลงเพลงเพื่อต้อนรับการมาของเจ้าสาว เสียงเพลงเคล้าดนตรีที่นุ่มละมุนหูดังคลอไปทั่วทั้งบริเวณ ประกอบไปด้วยเสียงจากเปียโน ไวโอลิน และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ที่เสียงไม่ดังโฉ่งฉ่างนัก ร่างเพรียวระหงที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวลวดลายลูกไม้ห
ห้าสิบปีผ่านไป… จากที่เคยเป็นสาวสวยร่างกายก็เปลี่ยนไปตามอายุและวัย ผมที่เคยสีน้ำตาลสวยบัดนี้ได้แปรผันไปเป็นสีขาวหงอก ผิวหนังที่เคยเต่งตึงก็เริ่มเหี่ยวย่นมากขึ้น ดวงตาคู่สวยเริ่มฝ้าฟางจ้องมองไปยังเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่นอนนิ่งอยู่บนตัก ขวัญนรีได้ผ่านช่วงเวลาอันยาวนานและมีชีวิตต่อมาอย่างสงบสุข เธอไม่ได้พบรักหรือว่าแต่งงาน เพียงแต่หลังจากเรียนจบเธอก็ทำอาชีพสุจริตและรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรมกระทั่งที่อีกฝ่ายได้คลอดลูกน้อยออกมาจนได้ สิบสองขวบเสียแล้ว “คุณยายคะ ช่วยเล่าเรื่องรักแรกหรือความรักของคุณยายให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ หนูไม่เคยเห็นผู้ชายที่ยายรักเลยค่ะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย พลางจ้องมองไปยังมืออันอบอุ่นที่คอยลูบศีรษะอยู่ “อืม อันที่จริงก็มีอยู่คนหนึ่งนะหลาน” เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกพลางนึกไปถึงใบหน้าหล่อใสของชายผู้เป็นที่รักและเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป แม้จะเลือนรางไม่เท่าเมื่อก่อน แต่ขวัญนรียังคงจดจำฉัตรธรได้ “โอ้โฮ รักที่มั่
ฉัตรธรเปิดประตูให้คนตัวเล็กได้เข้าไปภายใน ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนอกสนใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่ขวัญนรีได้ก้าวเข้ามาในอาณาเขตของอีกฝ่าย “ดอกกุหลาบนั่นมันอะไรกัน?” เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาเมื่อสังเกตเห็นดอกไม้ในมือเรียวขาวของคนตัวเล็กที่ยังตื่นเต้นกับการสำรวจห้องของเขาอยู่ “อ้อ เกือบลืมไปเลยแน่ะ” “หือ? ลืมอะไรครับ” “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะคะ คุณผีที่รัก” เธอว่าออกมายิ้ม ๆ พร้อมกับยื่นกุหลาบขาวแทนใจส่งมาให้ ชายหนุ่มจึงรับเอาไว้ก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ เบา ๆ “ขอบคุณนะครับ” “ด้วยความรักค่ะ” “ต้องด้วยความยินดีสิ” “คิกคิก ก็มันจริงนี่นา” ทั้งสองมองสบประสานกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่ใบหน้าหล่อจะก้มลงต่ำและโฟกัสไปที่พื้นแทน “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” “พี่อยู่ได้ถึงพรุ่งนี้นะหนู” ประโยคที่ออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงค้าง ขวัญรู้ดีว่าในสักวันหนึ่งเร
และแล้วก็มาถึง… วันที่เหล่าคนโสดนั้นแสนจะเกลียดและขยาด นั่นก็คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือวันวาเลนไทน์นั่นเอง สองสาวเพื่อนรักที่กำลังนั่งอยู่ที่จุดชมวิวของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ในขณะที่กำลังรอตรีวิทย์เดินทางมาอยู่นั้น “เธอจะชวนฉันมาทำไม?” นิราเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนตัวเล็ก ขวัญจึงยิ้มบาง ๆ ออกมา และเหตุผลที่ทั้งคู่กำลังอยู่ที่นี่ก็คือ เพื่อนชายเพียงคนเดียวในกลุ่มอย่างตรี ได้เอ่ยชวนเธอมาเที่ยว แต่ด้วยความที่รู้ดีว่านิรณาเองก็แอบมีใจให้อีกฝ่ายเลยชักชวนมาด้วยกัน ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะกลัวว่าขวัญจะปฏิเสธ “ก็… เรารู้นะว่าเธอชอบตรี” “ใช่แล้ว แต่ฉันก็นกนั่นแหละ” ใบหน้าสวยของเจ้าหล่อนเริ่มเศร้าสร้อยเมื่อหวนนึกไปถึงคนที่ตนเองแอบชอบ แค่คิดก็ทำเอาเจ็บจนจุก เพราะตรีวิทย์ไม่เคยเหลียวแลนิรณามากกว่าเพื่อนเลย “อย่าเพิ่งท้อสิ ลองดูก่อนนะ” ขวัญเอ่ยอย่างให้กำลังใจพร้อมกับบีบมือเพื่อนสาวเบา ๆ นิราจึงยิ้มรับอย่างขมขื่น และเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มมาถึ







