คนเฝ้าหีบสมบัติซูซูมองเด็กสาวประครองหีบขึ้นมา เมื่อเปิดดูข้างในก็เจอตั๋วเงินหลายแผ่นพร้อมเครื่องประดับจำนวนหนึ่ง เด็กสาวดวงตาโตเจิดจ้าใต้แสงดาว ได้ยินเสียงนางพึมพำ
“เงินของข้า เงินของข้า”
นางประคองหีบออกมาอย่างประคบประหงม ลุกขึ้นปัดฝุ่นเล็กน้อยแล้วหันมากล่าว “ซูซู ขอบคุณท่านมากนะที่เฝ้าให้ข้า ข้าไปล่ะ”
ในขณะที่กำลังจะทะยานออกไป ซูซูก็เอ่ย
“คุณหนูช้าก่อน”
จากนั้นก็ไปขวางหน้าเด็กสาว เห็นสีหน้าที่ดูแตกตื่นแววตาสังหารประกายวาบขึ้น นางก็รีบอธิบาย “ป่ะ...เปล่า ข้ามิได้ห้ามที่ท่านจะนำหีบไป เพียงแต่ฮูหยินสั่งเอาไว้ หากท่านมาก็ให้เชิญท่านไปพบ”
เด็กสาวพยักหน้าเข้าใจยิ้มตอบ “ฝากบอกนางว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เอาไว้ทุกอย่างลงตัวแล้วข้าจะไป”
หวังเว่ยซินกำลังจะก้าวเท้าออกไปก็ถูกซูซูขวางอีกรอบ
“คุณหนูจะบอกข้าได้หรือไม่...ว่าท่านพักอยู่ที่ใด เผื่อหากว่าฮูหยินถามข้าจะได้มีข้อมูล...เอ่อ..ฮูหยินถามข่าวท่านทุกวันเลยนะเจ้าคะ สีหน้านางดูเป็นกังวลและห่วงใยท่านมาก”
แววตาของหวังเว่ยซินมีประกายอบอุ่นขึ้นมา นางคลี่ยิ้มตอบ “ข้าถูกนำมาขายที่หอซิงเซียง ตอนนี้ให้ข้าไปไถ่ตนเองก่อนแล้วจะไปหา”
หอคณิกา ซูซูพลันเกรงว่า หากถามต่อไปอาจจะเป็นการเสียมารยาท จึงยกมือประสานหลีกทาง แม้จะดูเหมือนปล่อยให้หวังเว่ยซินจากไป แต่นางก็เร้นกายตามเด็กสาวไป
พริบตาหวังเว่ยซินก็หายไปจากสายตา ซูซู จึงได้ใช้วิธีลอบไปยังหอซิงเซียง แต่นางก็หาหวังเว่ยซินไม่พบจึงตัดใจกลับจวน
ครั้งมาถึงจวนก็ดึกมากแล้วจึงยังไม่ได้รายงานกู้ฮูหยิน จวบจนรุ่งเช้าหลังจากที่เสิ่นเยี่ยหงเข้าวังไปแล้ว ถึงได้เข้าไปรายงาน
เพล้ง!! เสียงจอกชาที่อยู่ในมือกู้เฉียวจิงร่วงหล่นแตกละเอียด สร้างความตื่นระคนแปลกใจให้แก่บ่าวไพร่
กู้เฉียวจิงหาได้ใส่ใจสิ่งนั้น นางลุกพรวดขึ้น เดินมาหาเขย่าแขนซูซู ถามเสียงสั่น “นางมา..นางมาแล้วหรือ..แล้วตอนนี้..ตอนนี้อยู่ที่ใดเล่า” แววตาและน้ำเสียงดูตื่นเต้นเป็นที่สุด
ซูซูรู้สึกตกใจกับการเสียกริยาของกู้เฉียวจิง ตั้งแต่รู้จักมานี้เป็นครั้งแรกที่เห็นนางไร้สติเช่นนี้
“คุณหนูบอกว่า หลังเสร็จธุระแล้วจะมาหาฮูหยินเจ้าค่ะ”
“แล้วธุระอันใด...เหตุใดไม่มาหาข้าก่อน ให้ข้าจัดการให้”
แรงบีบแขนแน่นขึ้น ซูซูรีบตอบ “คุณหนูแจ้งไว้ ถูกนำมาขายที่หอซิงเซียง จะไปไถ่ตนเองก่อนเจ้าค่ะ”
กู้เฉียงจิงตะลึงงัน คุณหนู? ไถ่ตัว?
“นางเป็นสตรีวัยแรกแย้มหรือแล้วนางชื่ออะไร”
คำถามนี้ ทำให้ซูซูตกตะลึงแฝงความประหลาดใจที่สุด
คนที่ท่านเฝ้าเพียรถามถึง
คนที่ท่านห่วงหา
คนที่ท่านอยากเจอ....เป็นใครก็ไม่ทราบอย่างนั้นหรือ
ซูซูคาดเดาว่า ฮูหยินเองก็ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนาม รูปร่าง หน้าตา อายุ เฮ้อ นับว่าเป็นการรอคอยที่มีความอดทนยิ่งนัก ซูซูจึงเอ่ยถามตอบอย่างระมัดระวัง
“ขออภัยฮูหยิน ข้ามิได้ถามนาม”
กู้เฉียวจิงส่ายหน้าพลางควบคุมสติไม่ให้หลุด “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อี้หลิงไปตามพ่อบ้านมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ด่วนเลยนะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยร้อนรนคล้ายเกิดเรื่องใหญ่ พ่อบ้านเฉิงก็เร่งมาจนเหนื่อยหอบ “ฮูหยินมีอะไรให้บ่าวรับใช้ขอรับ”
“พ่อบ้าน ท่านรีบไปที่หอซิงเซียงไปไถ่ตัวคนผู้หนึ่งให้ข้า”
“อ่ะ...ได้ ๆ ขอรับ ให้ข้าไปไถ่ผู้ใดขอรับ”
กู้เฉียวจิงเบนหน้าไปหาซูซูแล้วสั่ง “ซูซูจะไปกับท่าน ...จำไว้ไม่ว่าเถ้าแก่จะเรียกเงินเท่าไรท่านห้ามขัดเด็ดขาด ต้องพาคนมาให้ข้าให้ได้...แล้วรถม้าที่ไปรับเลือกคันประจำตำแหน่งข้าเลยนะ”
พ่อบ้านเฉิงเงยหน้าขึ้นกำลังจะกล่าวแย้ง ปะทะสายตามุ่งจริงจังแฝงความเด็ดขาด ชายชราอยู่มานานย่อมรู้ว่าต้องกล่าว
“ขอรับ ขอรับ บ่าวทราบแล้ว”
จากนั้นก็หันกายรีบออกไปได้ยินเสียงฮูหยิน
“พ่อบ้านเร่งฝีเท้าหน่อยได้หรือไม่ รีบ ๆ ก่อนที่นางจะหนีไป” กู้เฉียวจิงเอ่ยเร่งหลังจากเห็นท่าทางเงอะงะของอีกฝ่าย
“ขอรับ ขอรับ” พ่อบ้านขานรับโดยที่ไม่หันหน้ามา
สภาพพ่อบ้านเฉิงที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินเรียกดึงดูดสายตาบ่าวไพร่ไปตลอดทาง “เหตุใดพ่อบ้านดูเร่งรีบขนาดนั้น”
เด็กรับใช้คนหนึ่งตอบ “ได้ยินว่าฮูหยินกู้เรียกเข้าไปพบด่วน คงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ แน่นอน”
พวกเขาต่างพยักหน้าเข้าใจ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องอันใดเลย
หอซิงเซียง
เถ้าแก่หลีวางจอกชาลงพลางพูดขึ้น
“พันตำลึง”
น้ำเสียงสบาย ๆ ห้วน ๆ บอกหวังเว่ยซินด้วยแววตาไม่สนใจ
“เหตุใดราคาพุ่งแรงเช่นนี้ เมื่อวานท่านซื้อข้ามาราคาร้อยตำลึงเองนะ” หวังเว่ยซินเอ่ยประท้วง
“ข้าทำการค้า ก็ต้องเอากำไร...ราคานี้เป็นราคาปกติที่ข้าตั้งเอาไว้...ไม่เช่นนั้นพวกนักรักเยาว์วัยเช่นเจ้าก็พากันไถ่ตัวกันไปหมดแล้วสิ...เอ้ะนั่นหีบอะไร คงไม่ใช่หีบเงินเก็บของคนรักเจ้าหรอกนะ” เถ้าแก่สาวเบ้ปากดูแคลนอย่างไม่แยแสหีบนั้น นางหยิบขนมของว่างขึ้นมาทานพลางส่งสายตาไล่หวังเว่ยซินออกไป
นางคาดเดาว่าหวังเว่ยซินคงมีได้พูดคุยกับคนรักเอาไว้ ด้วยถ้อยคำหวานล้ำว่าจะมาไถ่ตัวให้กัน
มิน่าเล่า...นางจึงดูมีสีหน้าที่ปลอดโปร่งกว่าทุกคน
คิดง่ายไปแล้ว
คนงามระดับนี้ระดับที่ทำให้สติปัญญาของบุรุษถดถอย
นางไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ หรอก
หวังเว่ยซินจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ แววตาฉายความเย็นชาแผ่ซ่านความเหี้ยมโหด
แต่มิได้ทำให้เถ้าแก่หลีใส่ใจ ที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยความคับแค้นอาฆาต แค่สตรีตัวเล็ก ๆ อย่างมากก็แค่โวยวาย
“ออกไปได้แล้ว ตั้งใจฝึกฝนหากอยากให้บุรุษสยบเจ้าต้องตั้งใจเล่าเรียนจะใช้เพียงความงามไม่ได้ ความสาวอยู่ไม่นานเจ้ามีเวลาไม่มาก ออกไปสิ”
เถ้าแก่หลีเอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงรำคาญ หวังเว่ยซินจึงพูดขึ้นใหม่ “ห้าร้อยตำลึงได้หรือไม่”
เถ้าแก่หลีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาและก็ดับวูบลง
“อย่ามาล้อเล่นกับข้า หากเจ้ามีเงินถึงห้าร้อยตำลึงจะมายืนอยู่ตรงนี้หรือ เด็ก ๆ จับตัวนางออกไป”
ขณะนั้นมีเสียงฝีเท้าเดินเร่งมา เถ้าแก่ขมวดคิ้วแววตาแฝงความขุ่นมัว เพียงครู่หนึ่งสาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามารายงาน
“แม่นางหลี แม่นางหลี พ่อบ้านเฉิงจากจวนหงอี้กงมาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการไถ่ตัวสตรีผู้หนึ่ง”
หญิงสาวยืนขึ้นลุกก้าวเดินออกไปพลางถาม “พ่อบ้านเฉิงต้องการผู้ใด” สาวใช้ส่ายหน้า “พ่อบ้างเฉิงเองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
จากนั้นหญิงรับใช้เข้ามาประชิดหวังเว่ยซินแล้วพูดขึ้น “ไปได้แล้ว ที่นี่มิใช่ให้เด็กอย่างเจ้ามาพูดวาจาส่งเดชได้นะ”
ช่วงเวลานั้น ซูซู ก็ลอบเข้ามาสำรวจภายในหออีกครั้ง เห็นหวังเว่ยซินอยู่ในห้องทำงานของเถ้าแก่หลีก็โล่งอก กลับไปรายงานพ่อบ้านเฉิงตรงห้องรับรอง
“นางอยู่ห้องทำงานกับเถ้าแก่หลีเมื่อสักครู่”
พ่อใหญ่บ้านเฉิงพลางพยักหน้าระคนแปลกใจ เหตุใดการไถ่ตัวหญิงสาวครั้งนี้ดูประหลาดยิ่งนัก ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา เถ้าแก่ใบหน้ายิ้มพราวหวานย่อคารวะชดช้อย เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงไพเราะ
“พ่อบ้านเฉิงให้เกียรติมาเยือนหอซิงเซียง มีสิ่งใดให้ข้ารับใช้เจ้าคะ”
“รบกวนแม่นางหลีแต่เช้าแล้ว”
“มิกล้า มิกล้าเจ้าค่ะ”
คนของหอซิงเซียงมีหรือจะจับหวังเว่ยซินได้ นางสะบัดเพียงเบา ๆ ก็หลุดจากการจับกุม พลางเดินตามหลังเถ้าแก่หลีออกมาด้วยความใจเย็น เมื่อมาถึงทางเข้าก็ปรายตาดูท่าทางประจบของเถ้าแก่หลีด้วยสายตาดูแคลน
“คือข้าจะมาไถ่ตัวเด็กสาวผู้หนึ่ง อยากให้แม่นางหลีช่วยผ่อนปรนด้วย”
“แน่นอน...จวนหงอี้กงต้องการผู้ใดข้าพร้อมจะส่งมอบให้ ขอเพียงท่านบอกมาคำเดียว”
เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งตามหวังเว่ยซินมา เสียงคนจอแจ พร้อมสตรีผู้หนึ่งพูดขึ้น “จับนางเร็ว จับนาง นางจะหนีแล้ว”
เถ้าแก่หลีหันขวัญไปมอง นางส่งสายตาสั่งให้ทุกคนถอยออกไป แต่เหมือนพวกเขาไม่เห็นเพราะตอนนี้กำลังมองเป้าหมายหวังเว่ยซินที่กำลังยืนท้าทายอยู่
“จับได้แล้ว จับได้แล้ว ไปเข้าไปข้างใน” พวกเขาพยายามดึงก็ไม่สามารถดึงหวังเว่ยซินให้ขยับได้
นางสะบัดมืออีกครั้ง
ว้าย ว้าย พวกนางทั้งร้องทั้งฉุกกระฉากกันไปมา เกิดเสียงดังโวยวายไปทั่ว เพราะต่างคนต่างคิดเวลานี้ไม่ใช่เวลารับแขก ไม่จำเป็นต้องกระมิดกระเมี้ยนใด ๆ
เถ้าแก่ถอนหายใจหันไปยิ้มแห้งให้พ่อบ้านเฉิง
“ขายหน้าพ่อบ้านเฉิงแล้ว..มิทราบว่าพ่อบ้านเฉิงต้องการจะไถ่ตัวเด็กสาวคนไหนหรือเจ้าคะ”
หวังเว่ยซินสบตากับซูซู นางก็กระจ่างใจแล้วว่าผู้ที่พ่อบ้านเฉิงต้องการไถ่ตัวคือตัวนาง เฮ้อ! นางอยากจะเงียบ ๆ กู้เฉียวจิงผู้นี้ไยไม่เข้าใจ
พ่อบ้านเฉิงกำลังจะเอ่ยปาก ซูซูก็เอ่ยพูดขึ้นก่อน
“คุณหนูผู้นั้นเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่หลีมองตามมือที่ชี้ไปขององค์รักษ์ ก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ นางสูดลมหายใจเข้าแล้วเดินไปห้ามทัพ
“หยุด ฉันบอกให้หยุด”
เกิดความสงบขึ้นเฉียบพลัน เถ้าแก่หลีสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหันมายิ้มหวานกับหวังเว่ยซิน
“ตายแล้ว...คุณหนูหวังอยู่ตรงนี้พอดี คงรู้ใช่ไหมเจ้าคะว่าจะมีคนมาไถ่ตัวท่าน มาค่ะมาตรงนี้เลย”
จากนั้นนางก็หันมาหาพ่อบ้านเฉิง “คนอยู่ตรงนี้แล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านพ่อบ้านนำกลับจวนไปได้เลย”
“รบกวนแล้วรบกวนแล้ว เชิญคุณหนูหลี”
แต่หวังเว่ยซินกลับไม่ขยับเท้า นางหันไปเอ่ยกับเถ้าแก่หลี “เอกสารของข้าอยู่ไหน” เถ้าแก่หลียิ้มแป้น “อย่าได้กังวลไป ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วส่งให้ทันทีเจ้าค่ะ”
“แล้วค่าไถ่ตัวเท่าไร”
หวังเว่ยซินไม่อยากจะเสียเงินมากมายขนาดนั้น
“มิใช่..เราตกลงกันที่ห้าร้อยตำลึงหรือเจ้าคะ พ่อบ้านเฉิงราคานี้ท่านตกลงหรือไม่เจ้าคะ”
พ่อบ้านเฉิงถูกกำชับมา เท่าไรก็จ่าย ย่อมไม่ปฏิเสธตกลงทันที ดูท่าทีของพ่อบ้านแล้วหวังเว่ยซินคงคัดค้านอะไรไม่ได้ จึงจำยอมเดินตามพ่อบ้านเฉิงไป
เมื่อออกไปนอกหอก็เจอรถม้าคันใหญ่หรูหราใช้ม้าแปดตัวเรียงกันอย่างน่าเกรงขาม นางหันไปถาม “นี่คงไม่ใช่ให้ข้านั่งรถม้าคันนี้นะ”
พ่อบ้านเฉิงยิ้มแห้ง ๆ “เป็นคำสั่งของกงฮูหยิน บ่าวไม่กล้าขัดขอรับ เชิญคุณหนูขึ้นรถม้าเถิด ฮูหยินคงร้อนใจแย่แล้ว”
หวังเว่ยซินอยากจะโต้แย้ง นางไม่อยากนั่งรถม้าคันนี้ ทว่ายิ่งยืนอยู่นานยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน นางจึงก้าวเท้าขึ้นรถม้าอย่างหัวเสีย
ตอนที่ 66 ขอแค่วันธรรมดาเรียบง่ายก็พอ ท้องฟ้าเริ่มทอแสงอ่อน หวังเว่ยซินเดินขึ้นไปยังระเบียงชมดาวอย่างช้า ๆ พลางมองทิวทัศน์โดยรอบ นางสร้างที่นี่ไว้เป็นที่พักผ่อนเบื้องล่างเป็นบึงขนาดใหญ่ที่ปลูกดอกบัวไว้เต็มสระล้อมรอบด้วยต้นดอกท้อ ทว่าเบื้องหน้าตอนนี้ทั้งดอกท้อและบัวยังไม่เติบโตเต็มที่ นางคาดฝันทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ในอีกหลายปีข้างหน้าด้วยสีหน้าอิ่มเอิบใจ นางยืนมองตะวันที่กำลังคล้อยต่ำและดับแสงลงเรื่อย ๆ มีเสียงฝีเท้าดั่งแว่วเข้ามาใกล้ แม้หวังเว่ยซินไม่ได้ชำเลืองมองก็จำได้ว่าเป็นฝีเท้าของผู้ใด นางกระพริบตาเพียงเล็กน้อยเพราะฝีเท้านั้นดูไม่หนักแน่นเช่นเคย หลีเซียวหยวนเห็นหวังเว่ยซินกำลังจ้องมองดอกไม้ที่กำลังปลิวไปตามแรงลม ใบหน้าของหญิงสาวดูอ่อนละมุนทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้น ชายหนุ่มเดินไปยืนนิ่งข้างหลังนางโน้มตัวโอบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด จุมพิตที่แก้มเบา ๆ ไม่เอ่ยวาจาหวังเว่ยซินจึงพูดขึ้น “ท่านมีเรื่องอยากจะกล่าวหรือไม่” ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบ หาได้เย็นชาจนปราศจากความรู้สึกทำให้หลีเซียวหยวนหายใจโล่งขึ้น เขาซุกหน้าเข้าไปแนบแอบอิง หญิงสาว
ตอนที่ 65 ตอบแทน ทุกครั้งที่กลับจากสำนักศึกษา หวังอี้หยางจะแวะไปคารวะมารดาก่อนเสมอ เรือนของมารดาจะเป็นเรือนหลักอยู่ข้างในลึกที่สุด ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คน หวังเว่ยซินได้สร้างสวนขนาดเล็กให้มารดาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์อย่างที่มารดาคุ้นชิน แม้จะเป็นเช่นนั้นกระนั้นมารดาก็ไม่ได้จับจอบเสียบขุดดินเอง ส่วนมากจะเป็นบ่าวไพร่ที่ช่วยกันดูแลเสียมากกว่า เมื่อหวังอี้หยางไปถึง บ่าวหน้าเรือนก็โค้งคำนับและเปิดประตูให้โดยไม่ได้เข้าไปรายงาน “เจ้าว่าปิ่นชิ้นนี้จะดูหรูหราเกินไปหรือไม่” เสียงมารดาเอ่ยพูดคุยกับบ่าวคนสนิท “ไม่หรอกเจ้าค่ะฮูหยิน...เถ้าแก่เจ้าของร้านเครื่องประดับยังกล่าวว่าเหมาะสมกับคุณหนูโจวชุนที่สุดเจ้าค่ะ” สีหน้าของหวังฮูหยินระบายไปด้วยความลังเล นางได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเบือนหน้ามาใบหน้าระบายยิ้มทันที “อี้หยาง มานี่สิ...เจ้ามาก็ดีแล้ว ช่วยแม่เลือกเครื่องประดับให้ชุนเอ๋อร์ที” อยู่ที่นี่มาหลายเดือนมิใช่ว่ามารดาไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แต่ทั้งหมดล้วนถูกปฏิเสธออกไป หวังอี้หยางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่า
ตอนที่ 64 ตัดได้ตัดไปแล้วเมื่อหวังเว่ยซินเดินมาถึงหน้าห้องบุปผาส่องจันทร์ สตรีชาวยุทธสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าโค้งศีรษะเปิดประตูพลางกล่าว “เชิญคุณหนูหวัง” หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งชันเขาเอนกายพิงระเบียง สวมผ้าคลุมบาง ปล่อยผมสลวยยาวดั่งน้ำตก ใบหน้างดงามเนียนลออดุจดั่งหยกชั้นดี เมื่อได้ยินฝีเท้านางเบือนหน้ามา ช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา หวังเว่ยซินสบสายตาเฉียบคมนั้นด้วยความรู้สึกนิ่งเฉยกล่าว “ท่านต้องการพบข้ามีเรื่องอันใด” นางแค่นเสียงเย้ยหยันแล้วยกขวดสุราในมือกรอกลงคอ กริยาที่แสดงช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์รูปร่างที่แสดงออก หวังเว่ยซินรอนางดื่มอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ข้าไม่ได้ต้องการอยากจะพบเจ้าเสียหน่อย” หวังเว่ยซินได้ยินคำนั้นก็เอ่ย “เช่นนี้ข้าขอตัว” เฟยอิงมองตามหลังแล้วพูดขึ้น “เหตุใดพี่เซียวต้องเลือกเจ้า เหตุใดไม่เป็นข้า...พี่ชายเคยให้คำสัญญาว่าจะดูแลข้าไปตลอดชีวิต...ข้าผิดอะไร ข้าไม่เคยผิดต่อพี่ชาย ข้าภักดีและเชื่อฟังพี่ชายมาโดยตลอด แล้วทำไมสิ่งที่ข้าได้รับถึงเป็นเช่นนี้ ฮื้อ ฮื้อ”
ตอนที่ 63 หัวใจพองโต วันเวลาผ่านไปอย่างราบรื่น หวังเว่ยซินรู้ดีว่าชีวิตตนเองมาถึงจุดนี้ได้ เพราะมีคนคอยคุ้มครองแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงถูกเลือกแต่กระนั้นนางจึงมุ่งมั่นทำความดีตอบแทน “พี่สาว...วันนี้มีแขกเข้าจองห้องพักเต็มยังไม่ถึงครึ่งวันเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของโจวชุนหาแฝงความลำบากใจมากกว่ายินดีหลังจากที่เจอลูกค้าเข้ามาแล้วแสดงอาการไม่พอใจหลายคนที่ไม่สามารถเข้าพักที่นี่ได้ หวังเว่ยซินจึงสั่งทำป้ายวางไว้หน้าร้านแจ้งให้ผู้ที่กำลังจะเข้ามาจองพักทราบก่อนว่าห้องพักเต็ม “ป้ายที่ให้ทำเสร็จ แล้วหรือยัง” “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ...แต่กระนั้นข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” หวังเว่ยซินหัวเราะ “หรือเราควรสร้างห้องพักเพิ่มดีหรือไม่” โจวชุนโบกมือพัลวัน “ไม่เอานะเจ้าค่ะ...หากมากไปกว่านี้ข้ากลัวว่าพวกเราจะควบคุมคนไม่ไหว” หวังเว่ยซินหยิบบัญชี โรงเตี๊ยวเว่ยซิน ขึ้นมาดูตัวเลขในบัญชีทำให้ยิ้มพราวอย่างพอใจพูดต่อ “ตอนนี้...พวกเราก็พอกำไรได้มากแล้ว เจ้าคิดว่าเราควรลดราคาอาหารดีหรือไม่” โจวชุนเบิกตากว้าง “พี่สาว ราคาอาหารตอนนี้ไม่
ตอนที่ 62 ดีเกินไป ภายในห้องรับรองเต็มไปด้วยหญิงสาวแต่งกายหรูหราจำนวนหนึ่ง โต๊ะตรงประธานมีหญิงสาววัยกลางคนงามดั่งบุปผาใบหน้าอิ่มเอิบเฉิดฉาย เด็กชายใบหน้าสะอาดหมดจดแต่งกายด้วยผ้าแพรไหมชั้นดีนั่งอยู่ข้างกาย หวังอี้หยางยืนน้อมตัวอ่อนน้อมพูดคุยด้วยสีหน้าสุภาพ กู้เฉียวจิงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอย่างออกรสชำเลืองมาเห็นหวังเว่ยซินเบิกตากว้างขึ้นกำลังจะลุกขึ้นไปต้อนรับก็ถูกสายตาของอีกฝ่ายสั่งให้นั่งกับที่ หวังเว่ยซินเร่งฝีเท้ามายืนเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยเสียงกระจ่างใส “คารวะกงฮูหยิน คารวะซือจือ ... ผู้น้อยขอบคุณท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน” แม้ว่าหวังเว่ยซินจะเป็นเพียงชาวบ้านไร้บรรดาศักดิ์ แต่เมื่อกู้เฉียวจิงให้ความสำคัญเหล่าอนุต่างรู้มารยาทลุกขึ้นยืนทำความเคารพตอบกู้เฉียวจิงคลี่ยิ้มจนกระทั่งไปถึงดวงตา “อย่าได้เกรงใจ ข้าเองก็ใคร่สนใจโรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน ได้ยินว่าเปิดกิจการวันแรกก็อยากจะมาร่วมยินดี โชคดีที่กู้ซวินเล่าว่าเป็นกิจการของสหายร่วมเรียน จึงได้ถือโอกาสนับความสัมพันธ์นี้มาที่นี่ เหล่าน้องสาวข้าเองก็อยากจะมาร่วมความครื้นเครงด
เวลาผ่านไปก็มาถึงฤกษ์ยามดีที่หวังเว่ยซินจะเปิดโรงเตี๊ยม ปัง! ปัง! ปัง! เสียงประทัดดังสนั่น ผู้คนจอแจมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เสียงเด็กในร้านตะโกนเสียงดัง “ไม่ต้องแย่งกัน มีเยอะขอรับ ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องแย่ง” หวังเว่ยซินยืนคู่กันกับหลีเซียวหยวนเบื้องหน้าโรงเตี๊ยม ใบหน้าของทั้งสองแม้จะดูเย็นชาทว่าก็แฝงความอบอุ่นอยู่จาง ๆ กลิ่นอายรอบกายดูคลายคลึงกันอย่างบอกไม่ถูก ชาวบ้านที่มาร่วมงานบางคนกระซิบพูดคุย “แสดงว่าข่าวที่บอกว่า โรงเตี๊ยมแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นของผู้บัญชาการหลี นับว่าเป็นเรื่องจริงสินะ” สตรีวัยกลางคนเขม็งตามองแล้วกดเสียงพูด “พูดให้มันเบา ๆ มิได้หรืออย่างไร จะเป็นของผู้ใดก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า...พวกเจ้าไม่รักชีวิตกันหรืออย่างไรถึงกล้าพูดลับหลังท่านผู้บัญชาการหลี” สตรีคนนั้นก็เอ่ยแย้ง “ข้าแค่ถาม มิได้กล่าวเรื่องไร้มารยาทเสียหน่อย” “จะอย่างไรข้าก็ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับพวกเจ้า” พูดเสร็จนางก็เดินออกไปต่อแถวรับคูปอง หวังเว่ยซินและหลีเซียวหยวนล้วนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ประสาทสัมผัสเฉียบแหลม