รถม้าจวนหงอี้กงเคลื่อนผ่านพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา
“นี่...รู้ไหมฮูหยินหงอี้กง จัดหาอนุให้กับท่านหงอี้กงอีกแล้วนะ ...ได้ยินว่าเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มงดงามที่สุดที่หอซิงเซียงอุตสาหามาได้ แต่จวนหงอี้กงก็ยังมาแย่งคนไป”
“จริงหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูตื่นเต้นประหลาดที่สุด ทำให้คนเล่ายิ่งรู้สึกสนุกอยากเล่าต่อ
“แน่นอน...ข้าได้เห็นกลับตา ว่าไปแล้วก็อิจฉาหงอี้กงยิ่งนัก ได้ฮูหยินที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรเช่นนี้ หากเป็นข้าก็อยากจะกลับเรือนทุกวัน”
“คริ คริ” เสียงสตรีผู้หนึ่งหัวเราะขบขันพลางกล่าว
“ท่านมีเงินเลี้ยงพวกนางหรือข้าได้ยินว่า ฮูหยินหงอี้กงใช้เงินเดือนละหลายหมื่นตำลึงหมดไปกับอาภรณ์เครื่องประดับของเหล่าอนุเชียวนะ”
บุรุษผู้นั้นรู้สึกเสียหน้าระคนละอาย ตอนนี้แค่นี้ภรรยากับบุตรสองคนก็แสนอัตคัดจะมีปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงอนุเพิ่ม
บุรุษผู้หนึ่ง หมุนจอกชาในมือไปมาคิดไปแล้วก็แปลกใจดูเหมือนว่า อยู่ ๆ เขาก็ตัดใจจากกู้เฉียวจิงได้
จวนหงอี้กง
ในส่วนฮูหยินอันดับหนึ่งที่ทุกคนให้ตำแหน่งมา
“ฮื้อ ฮื้อ ท่านไปไหนมา ทำไมจนปานนี้ถึงได้พึ่งโผล่มา ข้ารอท่านมาตั้งนาน จิตใจร้อนรนไปหมด กลัวว่าชาตินี้จะไม่ได้ตอบแทนท่าน”
หวังเว่ยซินนั่งฟังกู้เฉียวจิงร่ำไห้คร่ำครวญอย่างมีน้ำอดน้ำทน ฟังนางตัดพ้อไปหลายประโยค ก็อยากจะบอกว่า
ช่วงเวลาของท่านผ่านไปหลายปี แต่ของข้ายังไม่เต็มวันด้วยซ้ำ แต่เอาเถอะให้นางร้องไปก่อน
ผ่านไปเกือบชั่วยามกู้เฉียวจิงถึงได้สงบ นางปาดน้ำตาเอ่ยถาม “ชาตินี้ พี่สาวท่านมีนามว่าอะไร”
หวังเว่ยซินลอบถอนหายใจ ในที่สุดก็ได้พูดคุยกันเสียที
“หวังเว่ยซิน...ข้าพึ่งเกิดใหม่เมื่อวาน...วันนี้จึงได้มาที่นี่”
กู้เฉียวจิงเบิกตากว้าง ตอบ “ท่านหายไปเกือบสามปีเต็มแล้ว...ข้าเกือบถอดใจไปขโมยเงินท่านมาใช้แล้วนะ”
จากนั้นกู้เฉียวจิงก็หยิบยาหอมออกมา พร้อมส่งให้หวังเว่ยซินหนึ่งขวด พูดขึ้น “เช่นนั้น คงเป็นข้าที่ต้องเล่าเรื่องราวให้ท่านฟังสินะ เช่นนั้นเราไปนั่งที่ศาลากลางสวนดอกท้อของท่านเถอะ ที่นั่นสวยงามมาก ๆ”
หวังเว่ยซินพยักหน้าพลางสูดดมยาหอมไป
หลังจากบ่าวไพร่จัดวางอาหารว่างและชาเสร็จ กู้เฉียวจิงก็ไล่พวกนางออกไป ยกจอกชารินให้หวังเว่ยซินพลางพูดขึ้น
“ตอนนี้ซือจื่อ อายุจะแปดขวดแล้ว ไปเรียนที่สำนักศึกษาและพักที่นั่นรวมกับเพื่อนร่วมเรียน ทุกคนต่างยกย่องว่าเขาเป็นเลิศทั้งในบู๊และบุ๋น นับว่าเป็นอัจฉริยะที่จะพบพานได้ในร้อยปี”
หวังเว่ยซินเอ่ยถาม “แล้วเขารู้สึกแปลกใจหรือไม่ที่มารดาเปลี่ยนไป” หญิงสาวพยักหน้าตอบ “ซือจือเข้าใจว่าข้าพยายามเข้มแข็ง พอคืนดีกับเสิ่นเยี่ยหงก็กลับมาเป็นมารดาที่อ่อนโยนเช่นเดิม” เมื่อเอ่ยถึงกู้ซวินแววตาของทั้งสองก็ทอประกายอบอุ่น
“เป็นเช่นนี้ นับว่าดีเหลือเกิน”
“ใช่เจ้าค่ะ...ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริง ๆ ทั้งชีวิตนี้ข้าเป็นหนี้ท่านไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไรถึงจะสาสม”
“หากเจ้ายังพูดเรื่องบุญคุณอีกข้าจะไปแล้วนะ” หวังเว่ยซินเอ่ยตัดบทขึ้น
“อ่ะ...ไม่แล้ว..ไม่แล้ว ข้าไม่พูดแล้ว”
หวังเว่ยซินหรี่ตามองแล้วเอ่ยถาม “แล้วเกาเหยาชุน นางได้สร้างปัญหาอะไรหรือไม่”
กู้เฉียวจิงส่ายหน้า “ไม่เลย นางปรับปรุงตัวดีมากรับผิดชอบงานในจวนทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย...มีงานข้าก็ได้นางแนะนำ นางไม่เอาข้าไปขายนอกจวนด้วย ตอนแรกข้าก็คิดว่านางทำไปเพราะถูกท่านพี่จับตา พอผ่านไปสักระยะรู้สึกว่านางสำนึกผิดจริง..ข้าสงสารนางจึงขอร้องท่านพี่ไปหานางบ้าง...ท่านรู้ไหมนางตั้งครรภ์ แต่ว่า...ทั้งที่นางดูแลอย่างดี เด็กคนนั้นเกิดมาให้นางชื่นใจไม่กี่วันก็จากไป..ข้าเห็นนางร้องไห้ปริ่มใจจะขาด ความแค้นที่มีก็สลายหายไปหมดเลย”
“เวรกรรมแท้ ๆ” แววตาหวังเว่ยซินทอประกายเห็นใจ
“แต่สวรรค์ยังให้โอกาสนาง...ท่านพี่เองก็เห็นใจนางไปหานางบ่อยขึ้น นางจึงได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง ตอนนี้เด็กคนนั้นก็อายุขวบกว่าแล้ว”
ความแค้นลืมได้ย่อมเป็นเรื่องนี้ เห็นกู้เฉียวจิงพูดแบบปลอดโปร่งหวังเว่ยซิงก็เชื่อแล้วว่านางปล่อยวางได้จริง มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมา
“เจ้าให้เกาเหยาชุนตั้งครรภ์ได้ คงมิใช่อนุญาตให้เหล่าอนุตั้งครรภ์ได้กระมัง”
กู้เฉียวจิงยิ้มแป้น “ข้าเป็นฮูหยินเอก มิควรใจแคบ จะต้องช่วยหงอี้กงขยายวงศ์ตระกูล”
หวังเว่ยซินพยักหน้า นางยอมรับนางไม่เข้าใจสตรียุคโบราณจริง ๆ “แล้วตอนนี้ เจ้าเป็นแม่ลูกกี่คนแล้ว”
สำหรับคนอื่นเรื่องนี้อาจจะกระอักกระอ่วนใจ แต่สำหรับกู้เฉียวจิงนับว่าเป็นความภาคภูมิใจเพราะเหล่าอนุล้วนดีกับนาง ดั่งพี่สาวน้องสาวกันจริง ๆ นางตอบอย่างยินดี
“บุตรชาย 7 คน บุตรสาว 5 คน ตอนนี้พวกเขาคงอยู่เรือนหลักวุ่นวายกันอยู่ที่นั้น ท่านจะไปดูหรือไม่”
หวังเว่ยซินส่ายหน้า“ไม่เป็นไร เห็นเจ้าเบิกบานข้าก็ดีใจ”
“ในเด็กกลุ่มนี้ ซูเวยนับว่าเป็นพี่ใหญ่ นางค่อนข้างยิ่งใหญ่เชียวล่ะ เวลาคนเรียกพี่รอง พี่รอง นางจะเชิดคอขึ้นเล็กน้อย”
นินทาบุตรนับว่าเป็นความบันเทิงที่พูดไม่หยุด
หวังเว่ยซินนั่งฟังกู้เฉียวจิงพูดจนตะวันคล้อยต่ำ นางจึงพูดขึ้น “ข้าต้องไปแล้ว”
กู้เฉียวจิงกุมมือนางขึ้นมาแล้วถาม “ท่านจะมาหาข้าอีกเมื่อไร”
“ข้าจะไปรับมารดาและน้องชายมาอยู่ด้วย ต่อไปนี้ข้าคือ หวังเว่ยซิน เป็นสาวชาวบ้าน มีชีวิตใหม่แล้ว..แต่ข้ารับรองว่าหากมีเรื่องเดือนร้อนจะมารบกวนเจ้าอย่างแน่นอน”
ได้ยินหวังเว่ยซินพูดเช่นนี้ กู้เฉียวจิงก็พึ่งจะตระหนักถึงหน้าตาของอีกฝ่าย “อ่า...เหตุใดชาตินี้ท่านอ่อนเยาว์เช่นนี้”
“ก็ข้าเกิดใหม่..เริ่มต้นชีวิตใหม่ จะให้อายุเท่าเจ้าหรืออย่างไร”
กู้เฉียวจิงเอียงศีรษะพินิจอีกฝ่าย “ท่านช่างงดงามยิ่งนัก โดดเด่นมีเสน่ห์ ดวงตาเชิดขึ้นดูเจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก เช่นนี้ท่านกับผู้บัญชาการก็เหมาะสมกันไม่น้อย”
หวังเว่ยซินมองอีกฝ่ายตาขวาง “พูดจาส่งเดช..แล้วเขาได้พูดอันใดกับเจ้าอีกหรือไม่”
กู้เฉียวจิงหยักไหล่ขึ้น “ไม่เลย ไม่มองสักนิด เขาไม่ได้สนใจข้าเลย...ผู้ชายคนนี้ประสาสัมผัสยิ่งกว่าปีศาจ ท่านคิดดูสิขนาดเสิ่นเยี่ยหงยังไม่รู้เลยว่าเป็นท่านหาใช่ข้า...ส่วนท่านหลีเซียวหยวนกลับหมดความสนใจข้าหลังจากที่ท่านจากไปแล้ว”
พูดแล้วเหมือนจะทำให้สามีภรรยาทะเลาะกัน
หวังเว่ยซินจึงรีบตัดบท “เจ้าหยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว ใครมาได้ยินเข้าจะไม่มีคำอธิบายนะ”
กู้เฉียวจิงเหมือนได้สติเอามือปิดปากกดเสียงต่ำลง “ท่านผู้นั้นให้ท่านครบทุกข้อเลยใช่หรือไม่ ดี ๆ เช่นนั้นข้าจะรอท่านที่นี่ ท่านจะให้ซูซูติดตามไปด้วยหรือไม่”
หวังเว่ยซินส่ายหน้า “เจ้าให้พ่อบ้านไปส่งข้า แล้วขอรถม้าธรรมดาที่คนปกติใช้ด้วยนะ...พรุ่งนี้หากได้เอกสารแล้วช่วยเอาไปส่งให้ข้าด้วย”
กู้เฉียวจิงพยักหน้าหงึกหงักเป็นดังน้องสาวผู้ว่าง่ายหาใช่กงฮูหยินผู้เต็มไปด้วยบรรดาศักดิ์สูงส่ง
“ได้ ๆ” จากนั้นนางก็ให้คนไปตามพ่อบ้านมา พลางเดินไปส่งหวังเว่ยซินที่หน้าประตู
ในขณะที่หวังเว่ยซินกำลังจะเดินออกไป นึกบางอย่างได้จึงหันกลับมา “ข้ามีบางอย่างอยากจะรบกวน”
กู้เฉียวจิงเบิกตากว้าง
“อะไร ท่านรีบสั่งมาเลย ข้าจะจัดเตรียมให้ เงินหรือไม่ ตู้ยานั้นยังใช้งานได้เพียงแต่ไม่มีภารกิจกับตัวยาเพิ่ม หลายปีที่ผ่านมาพระชายาให้เงินข้าหลายแสนตำลึงเลย”
หน้าตาของกู้เฉียวเป็นประกายเด่นชัด
สั่งมา สั่งมาเลย สั่งเยอะ ๆ
หวังเว่ยซินลูบจมูกเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น แล้วเช่นนี้ที่ข้าเอาหีบเงินไปฝั่งไม่นับว่าโง่เขลาสิ้นเปลืองแรงหรืออย่างไร นางรู้สึกอับอายเล็กน้อยพูดเสียงแผ่วเบา
“ข้าอยากได้ที่ดินตรงลานกว้างที่พาซือจือไปฝึกซ้อม ..จำนวนมากหน่อย ข้าอยากเปิดโรงเตี๊ยม”
กู้เฉียวจิงยิ้มจนหน้าหยี
“ได้ ๆ ข้าจะรีบให้พ่อบ้านไปกว้านซื้อมาให้ท่าน”
“ขอบใจเจ้ามาก” พอดีกับเดินมาถึงรถม้า กู้เฉียวจิงยืนส่งจนรถม้าจนลับตา นางค่อยเดินกลับเข้าจวนด้วยสีหน้าอบอุ่นระคนยินดี
ชีวิตนี้ไม่มีสิ่งที่ติดค้างแล้ว
ตอนที่ 3 บทบาทต่อไป...พี่สาวจอหงวน “คุณหนูหวัง...ถึงโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ” เสียงพ่อบ้านเฉิงเอ่ยเรียกอยู่นอกรถม้าด้วยเสียงนอบน้อม พอหวังเว่ยซินเลิกผ้าม่านออกมา ก็เจอป้ายขนาดใหญ่หอสุราชิงเห่อ โรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง หวังเว่ยซินถอนหายใจ มิต้องสงสัย คงไม่ได้เริ่มต้นแบบชีวิตสตรีชาวบ้านทั่วไปเสียแล้ว นางก้าวลงรถม้า พ่อบ้านเฉิงก็เอ่ยบอก “นี่คือเอกสารของท่านขอรับ เมื่อสักครู่คนเอามาส่งแล้ว” “รบกวนแล้ว ขอบคุณพ่อบ้านเฉิงมาก” “มิกล้า มิกล้า โรงเตี๊ยมนี้ท่านจะอยู่กี่คืนก็ได้ขอรับ ข้าได้สั่งเถ้าแก่เอาไว้ ให้ไปเก็บที่จวน” หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ จากนั้นก็เอ่ย “ท่านพ่อบ้านมีภารกิจมากมาย ขอมิอาจรบกวนนาน ส่งข้าเท่านี้พอ” พ่อบ้านเฉิงถูกกำชับว่าอย่าขัดใจคนเบื้องหน้าเด็ดขาด ก็รีบขานรับทันที “มิกล้า มิกล้า เช่นนั้นบ่าวขอตัว” “เดินทางดี ๆ เจ้าค่ะ” จากนั้นเสี่ยวเอ้อก็มารับหน้าต่อ “คุณหนูเชิญด้านในเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านจะไปยังห้องพักหรือว่านั่งผ่อนคลายที่ระเบียงชั้นสองก่อนดีเจ้าคะ” “ข
ตอนที่ 4 คุกเข่าคารวะ ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ” หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน” ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้” เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่ง
ตอนที่ 5 ชั่วสม่ำเสมอ ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายเมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว” ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ” “ขอรับท่านแม่”หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตูภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที“พวก
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
ตอนที่ 9 มันก็ใช่ว่าจะง่าย หลังจากดื่มน้ำชาทานมื้อเที่ยงเสร็จ หวังเว่ยซินก็ไปดูที่ดินที่ตนเองซื้อเอาไว้ นางกระโดนขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงจุดประจำทอดสายตามองผืนแผ่นดินกว้างด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม พลางมองพลางวางแผนหลายอย่างในใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเร้นกายออกไป หลังจากนั้นก็ ปรากฏบุรุษสวมชุดสีดำลายไก่ฟ้ามายืนแทนที่พลางทอดสายตามองตามร่างอรชนที่เพียงพริบตาก็หายไปร้านเครื่องเขียน “คุณหนูข้าจัดเตรียมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสิบห้าตำลึงขอรับ” หวังเว่ยซินหยิบเงินออกมาจ่าย เด็กในร้านรีบจัดการห่ออุปกรณ์เครื่องเขียนทันที ในขณะที่รอนางก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้นข้าขอกระดาษสักห้าแผ่นก็พอ” “อ่า...จางฮูหยินเช่นนั้นข้าแถมให้ท่านอีกแผ่นละกัน เห็นแก่ความตั้งใจของท่าน” “ขอบคุณ ขอบคุณเถ้าแก่” “..มิกล้า มิกล้า เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ” หวังเว่ยซินปรายสายตามองดูหญิงคนนั้นเดินออกจากร้านไป มือที่ถือห่อกระดาษประคับประคองยิ่ง คล้ายมันแบกความฝันของนางเอาไว้ เด็กที่ร้านเห็นนางมองดูพลางขม
ตอนที่ 10 ปฏิเสธและไม่ปฏิเสธ บนระเบียงชั้นสองโรงน้ำชา หวังเว่ยซินยกชาดื่มรวดเดียวหมดอย่างรู้สึกคับแค้นใจ พลางนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ “ขออภัยคุณหนูหวัง ท่านก็ทราบว่าการรับศิษย์ของข้านั้นค่อนข้างเข้มงวด ข้าต้องเสียมารยาทต่อท่านแล้ว”“ขออภัยคุณหนู ข้ามิอาจรับน้องชายของท่านได้จริงๆ” “ขออภัย...นักเรียนของข้าเต็มแล้ว” “ขออภัย...” “ขออภัย......” มือเรียวขาวจับก้อนถ่ายขีดรายชื่อ เหล่าอาจารย์ที่ได้มาจากเด็กที่ร้านหนังสือถูกขีดทิ้งจนหมดสิ้น เด็กสาวเอนกายพิงเสาพลางคิด “หากเอากระบี่พาดคอคนพวกนั้น จะยอมรับหวังอี้หยางเป็นศิษย์หรือเปล่านะ” ในขณะนั้นนางก็เห็นชายเสื้อสีดำลายไก่ฟ้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของชายหนุ่มมันแฝงประกายเย้ยหยัน มุมปากหล่อเหลายกยิ้มเอ่ย “ท่าทางของคุณหนูหวัง เหนื่อยล้ายิ่งนัก” หวังเว่ยซินเบ้ปากเบือนหน้าหนี นางพอรู้สาเหตุแล้ว บุรุษผู้นี้จิตใจคับแคบ ไม่มีทางปล่อยให้นางล่อเล่นด้วยง่าย ๆ แต่นางเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ และนางอุตสาช่วยเหลือให้การสืบข่า
คุยกัน จวนผู้บัญชาการหลี แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อีกทั้งขนมหวานพร้อมชาหอมกรุ่นชุมชื่นละมุนคอ ก็ไม่ทำให้หวังอี้หยางคลายความประหม่าในใจได้ หลีเซียวหยวนพยายามพูดคุยสร้างบรรยากาศ “ดูสีหน้าน้องชายใคร่ไม่สบายใจนัก.. ข้าทำอะไรผิดพลาดหรือทำสิ่งใดให้เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า” หวังอี้หยางส่ายหน้ารัว ๆ “ปะ เปล่าขอรับ...ข้าไม่เคยเป็นแขกจวนขุนนางมาก่อนเลยค่อนข้างจะประหม่าขอรับ” หวังอี้หยางคร่ำครวญในใจ แค่ขุนนางชั้นต่ำเฝ้าประตูจวนนายอำเภอเขาก็หวั่นเกรงไม่กล้าสบตา ตอนนี้เขาไม่ล้มลงสลบไร้สิ้นสติไปก็นับว่าเก่งกาจแล้ว หลีเซียวหยวนลอบถอนหายใจ การบ่มเพาะใครสักคนให้เต็มไปด้วยความภูมิฐานและเต็มเปี่ยมด้วยท่วงท่านักปราชญไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย จะต้องมีช่วงเวลาเคี่ยวกรำจนคร่ำกร้านจึงจะสามารถมีสติใช้ปัญญาที่มีในช่วงเวลายากลำบากใจได้ เห็นได้ว่า หวังอี้หยางยังห่างไกลคำว่าสุขุมรอบคอบอีกมากนักอีกไม่นานหวังเว่ยซินจะตามมา หลีเซียวหยวนจึงเอ่ยถามขึ้น “ข้าขอรบกวนเวลาน้องชายไม่นาน...ช่วยเล่าเหตุการณ์ก่อนที่เจ้าจะมีสติปัญญาเ
พูดได้ไหม กู้เฉียวจิงชำเลืองมองหวังเว่ยซินด้วยความระมัดระวัง แล้วพูดเสียงอ่อย ๆ “พี่สาว...ท่านอย่าตำหนิเลยนะ” หวังเว่ยซินหันมาอีกฝ่าย แววตาเรียบเฉย “ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าเหนื่อยนัก...สมควรที่เจ้าจะกลับไปได้แล้ว...” เห็นอีกฝ่ายไม่โมโหกู้เฉียวจิงก็ผ่อนคลายลง ยิ้มละมุ่น “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพี่สาวแล้ว...แล้วถ้าเงินไม่พอมาหาข้านะ ข้ามีเยอะ” “รู้แล้ว...ไปได้แล้ว” น้ำเสียงหวังเว่ยซินแฝงความรำคาญพริบตากู้เฉียวจิงก็หายไป หวังเว่ยซินถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้ามิได้กลัวว่า หลีเซียวหยวนจะจับได้ ..แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร อธิบายได้แค่ไหน เรื่องเหล่านี้เป็นความลับของสวรรค์หรือเปล่า พูดไปจะมีผลดีหรือผลเสีย...แล้วจะถามตู้ยาได้อย่างไร” หญิงสาวเอนกายลงนอน “ช่างเถอะ...ถ้าเปิดเผยไม่ได้..ตู้ยาคงมีหนทางจัดการเอง...ข้ามิได้ตั้งใจเปิดเผยเสียหน่อยย่อมไม่ผิด” นางสลัดไล่ความกังวลไป พรุ่งนี้นางยังมีสิ่งที่จะต้องทำอีกมากจึงรีบหลับตานอนยามรุ่งอรุณ พระอาทิตย์ยังไม่ทอแสง หวังเว่ยซินล้างหน้าล้างตาเสร็จออกมาจากเรือนก็เห็น
ตอนที่ 36 ชีวิตใหม่แล้วนะหลังกู้ซวินกลับไป หลีเซียวหยวนก็ยกสุราดื่มเพียงลำพัง หวนคิดถึงตอนที่เจอกับหวังเว่ยซินครั้งแรกนางเข้ามาพูดคุยกับเขาก่อน แม้เขาจะมีรูปลักษณ์ที่สตรีจะชำเลืองมอง ทว่าด้วยกลิ่นอายเจ้าเล่ห์แฝงความเย็นชาร้ายกาจที่ประทับร่างมานาน ทำให้น้อยนักจะมีสตรีกล้าพูดคุยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายไม่ประมาทเขาเป็นคนมีสติปัญญาเฉียบแหลมสิ่งใดและรายละเอียดต่าง ๆ ที่ผ่านตาแล้วมักไม่ลืม ชายหนุ่มยิ้มอย่างใจลอยเอ่ยพูดกับอีกฝ่ายที่อยู่ในความคิด “แม้ข้าจะกล่าวว่าไม่จดจำเพียงหน้าตา...ย่อมหมายถึงลักษณะกริยา..มิใช่จดจำวิญญาณเสียหน่อย”น้ำเสียงของเขาแฝงความจนใจอยู่บ้าง เขาเป็นคนทำอะไรรอบครอบและระมัดระวังอยู่เสมอ กระนั้นเขาก็รู้ใจตนเอง ความรู้สึกให้ความสนใจอีกฝ่ายมิใช่เรียบง่ายอย่างคนทั่วไปและเหมือนเขาจะได้หลักฐานมาเพิ่มแล้ว “จางเคอ”“ขอรับนายท่าน”จางเคอชำเลืองมองหลีเซียวหยวนที่กำลังอารมณ์ดีด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดระคนแปลกใจ“เจ้าไปสืบผลการเรียนของหวังอี้หยางทั้งก่อนหน้านี้และตอนนี้มาอย่างละเอียด ... และมีหลักฐานด้วยยิ่งดี”แม้ภายนอกใบหน้าของจางเคอจะนิ่งราบเรียบ ทว่าภายในกลับป
ตอนที่ 36 เปิดเผยเรื่องราวหลังจากที่ฟังวาจาของอาจารย์หงโจหวังเว่ยซินก็กระจ่างใจได้ไม่ยาก กล่าวให้ง่ายขึ้นหวังอี้อย่างต้องฝึกกล้ามเนื้อเล็กให้แข็งแรงขึ้นอีกทั้งยังอ่อนเยาว์เกินไปหรือที่นางเข้าใจคือน้องชายยังขาด วุฒิภาวะ ตารางการเรียนของหวังอี้หยางถูกปรับเปลี่ยน ช่วงเช้าจะเรียนเกี่ยวกับปรัชญาการเมืองการปกครอง การคำนวณในบางครั้ง ส่วนช่วงบ่ายฝึกใช้พู่กันทั้งการคัดอักษรและวาดภาพ โดยอาจารย์หงโจได้รับปากจะดูแลจัดการเรื่องนี้ เรื่องเรียนของหวังอี้หยางนับว่าราบรื่นยิ่งนัก หวังเว่ยซินรู้สึกวางใจได้หลายส่วน อีกทั้งการสร้างเรือนก็ใกล้จะเสร็จทำให้นางยิ่งอารมณ์ดี มีเวลาจัดการเรื่องการวางแผนการบริการจัดการโรงเตี๊ยม โดยไม่ทันได้สังเกตว่าช่วงนี้มีบุรุษผู้หนึ่งติดตามนางอยู่ “นายท่าน คุณชายกู้มารอพบท่านอยู่ที่จวนขอรับ” หลีเซียวหยวนหันมาพยักหน้าแล้วเร้นกายออกไปทันทีจวนผู้บัญชาการหลี เมื่อเห็นหลีเซียวหยวน กู้ซวินก็ลุกขึ้นคารวะ “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์”ชายหนุ่มโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง “มีความคืบหน้าหรือ”กู้ซวินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “โชค
ตอนที่ 35 ต้องใช้เวลา โจวชุนหลังจากคัดเด็กที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับน้องชายของตนเอง เมื่อคัดเลือกมาได้สองคน จึงเดินออกมาตามหา หวังเว่ยซิน ให้นางช่วยตรวจสอบคนอีกครั้ง “พี่สาว ... ข้าตัดสินใจเลือกเด็กได้แล้ว” หวังเว่ยซินหันมามองเด็กชายสองคนเบื้องหน้า ร่างกายสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณดูสดใสขึ้นผิดจากหลายวันก่อน แสดงว่าพวกพอรู้จักดูแลตนเองได้ดีในระดับหนึ่ง นับว่าใช้ได้ “พวกเจ้าชื่ออะไร” “ผู้น้อย...อี้ซิงขอรับ” “ผู้น้อย..จางถงขอรับ” “อี้ซิง จางถง...ข้าจะให้เจ้าสองคนเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายรองหวังอี้หยาง พวกเจ้ายินดีหรือไม่” เด็กน้อยทั้งสองคนรีบคุกเข่า “ผู้น้อยยินดีติดตามรับใช้คุณชายรองขอรับ” น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน หวังเว่ยซินพยักหน้าพอใจ “เช่นนั้นก็ไปเก็บข้าวของ กลับไปกับข้า” เด็กชายทั้งสองรับคำรีบกุลีกุจอวิ่งกลับไป หวังเว่ยซินหันมายิ้มกับโจวชุน “แล้วเจ้าเล่า? เลือกสาวใช้ได้หรือยัง” โจวชุนส่ายหน้า “มิต้องหรอกเจ้าค่ะ เอาไว้ย้ายมาอยู่ที่นี่คัดเลือกตอนนั้นยั
ตอนที่ 34 เงินจะหมดแล้ว นอกจากเรือนพักเล็กของเหล่าทาสที่สร้างก่อน ก็เป็นเรือนใหญ่ที่พักของหวังเว่ยซิน เหล่าทาสที่คาดเดาความยิ่งใหญ่ทั้งคฤหาสน์และโรงเตี๊ยมต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มเพราะที่นี่ต่อไปนี้จะเป็นที่พวกเขาได้อาศัยอยู่จวบจนชั่วชีวิต ทว่า แม้หวังเว่ยซินจะเป็นนายที่เพียบพร้อม ไม่ต่างจากสวรรค์ประทานมาให้ กระนั้นก็มิใช่จะไม่มีคนโง่ละโมบมาก ตัดสินใจหักหลังนาง ความจริงนี้หวังเว่ยซินรู้ดี นางมิได้เชื่อใจพวกเขาขนาดนั้น การปล่อยป่ะให้อิสระก็นับเป็นการคัดเลือกคนอย่างหนึ่ง วันนี้นางกับโจวชุนมาตรวจดูความคืบหน้าและยังมาสอดส่องเด็กรับใช้ให้หวังอี้หยางด้วย เสียงฮื้อฮากระซิบพูดคุยทำให้หวังเว่ยซินเงยหน้าขึ้นไปมอง “นั่นเป็นขบวนรถม้าจากจวนหงอี้กง...ใช่หรือไม่” คนงานอีกคนพยักหน้า “ใช่แล้ว...ว่าแต่พวกเขาจะไปที่ใด” อีกคนเริ่มเอ่ยพูด ด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า “ข้ารู้...” “รู้ก็พูดสิ...จะมัวอวดอ้างอันใด” พวกเขาต่างใจจดจ่อรอฟัง อีกคนอดทนไม่ไหวก็เอ่ยปากเร่ง “แล้ว..อย่างไร พวกเขาจะไปที่ใด”
ตอนที่ 33 แลกเปลี่ยนความคิด จางฮูหยินเสร็จงานที่ก่อสร้างก็เดินกลับ ถึงเรือนตะวันก็คล้อยต่ำเหลือแสงสว่างอยู่รำไร นางจึงรีบหุ่งข้าวเตรียมมื้อเย็น จางฉือพึ่งกลับมาถึงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในครัวจึงเอ่ยถาม “ท่านแม่พึ่งกลับมาหรือขอรับ” “จางฉือหรือลูก...ไปนั่งพักก่อน แม่ทำอาหารสักครู่” จางฉือ วางกระเป๋าตำราลงพลางพับแขนเสื้อขึ้น แล้วเดินเข้าไปในครัว จางฮูหยินเห็นบุตรชายก็เอ่ย “มิต้อง ๆ ตรงนี้ไม่มีอันใด กับข้าวมีแล้ว...แม่แค่ต้มข้าวเพิ่มเท่านั้น...ลูกไปล้างหน้าล้างตาเสียแล้วค่อยมาทานข้าวกัน” จางฉือ มองไปยังกล่องอาหารแล้วเดินไปนั่งข้างมารดา พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ต่างหากที่ต้องไปอาบน้ำ ข้าจะเป็นคนต้มข้าวเอง” จางฉือสบสายตามุ่งมั่นของบุตรชาย นางจึงจำยอม “ได้..เช่นนั้นแม่ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า...แล้วจะกลับมาทานอาหารที่เจ้าเตรียมให้..อย่าลืมอุ่นน้ำแกงด้วยนะ” จางฉือยิ้ม “ขอรับ...ท่านแม่วางใจได้” จางฮูหยินอาบน้ำเสร็จก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุน นางรีบเดินแล
ตอนที่ 32 มิใช่ว่าจะดูไม่ออก ส่วนทางเวทีในขณะนั้น เฟยอิงปรากฏกายตามที่คาดหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าใบหน้าหญิงสาวก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด ไอ้บ้านี้ ร่างกายภายในบอบซ้ำอย่างหนักแทบจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ได้จะชนะ..แล้วให้คนเอ่ยเพราะ..นังคนนั้นไม่ได้ แม้เฟยอิงจะสามารถเอาชนะได้ภายในหนึ่งฝ่ามือ กระนั้นทุกครั้งที่ลงมือนางกลับถอนกำลังภายในออกทั้งหมด หวังยืดการประลองให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สีหน้าที่นางแสดงออกมาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ลมหายใจหอบถี่ดั่งกำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วง ทว่าก็มิใช่ว่าทุกคนจะดูไม่ออก เสิ่นเยี่ยหงเห็นสถานการณ์บนเวที ก็ถอนหายใจโล่งอก ใบหน้าองค์รัชทายาทเองก็ผ่อนคลายลงไปหลายส่วน หันมาถาม “หลีเซียวหยวนไปไหนเสียแล้ว” เสิ่นเยี่ยหงแค่นเสียงหัวเราะ “กระหม่อมคาดว่าน่าจะตามไปดูอาการของคุณหนูหวังผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทยิ้มพลางเอ่ย “อายุของหลีเซียวหยวนก็ควรออกเรือนแล้ว ได้ข่าวมงคลท่านได้บุตรสาวเพิ่มอีกคนแล้ว” เสิ่นเยี่ยหง พยักหน้าตอบ “
ตอนที่ 31 ทำตามหน้าที่ ดวงตาของหวังเว่ยซินคล้ายมีเปลวไฟลุกโชน อารมณ์ของหญิงสาวขุ่นมัวสุดขีด อุตสาวางแผนเจ็บตัวให้สมจริงไปแล้ว การต่อสู้หลังจากนี้ก็ของจริงเช่นนั้น พริบตาหวังเว่ยซินก็พลิ้วกายวูบไหวไปมาบนเวที เพียะ!! ผลัวะ!! อั๊ก!! เชี่ยเฉิงถูกหวังเว่ยซินซ้อมจนร่างที่ยืนอยู่ซวนโซ ชายหนุ่มเอากระบี่ปักประครองตนเองแล้วตะโกนขึ้น “นังปีศาจ..!!” หวังเว่ยซินหยุดเคลื่อนไหวยืนนิ่งอยู่บนไม้ขอบเวที นางหรี่ตามองสภาพของอีกฝ่าย ด้วยแววตาผ่อนคลาย ได้ระบายโทสะทำให้หายใจคล่องขึ้น ส่วนหลีเซียวหยวนก็คลายมัดที่กำอยู่โดยไม่รู้ตัว “อย่าพึ่งตายนะ...ข้ายังไม่ได้เริ่มต้น” หวังเว่ยซินชัดกระบี่ออกไป พลิ้วไหวกายดุจสายลม ผู้คนเบื้องล่างเห็นเพียงประกายกระบี่มีเพียงพวกเหล่ายุทธภพที่มีฝีมือแก่กล้ามองเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหว “นางกำลังทำอะไร” “ดูเหมือนว่า...จะกรีดเสื้อผ้าของอีกฝ่าย” เมื่อนางหยุดการเคลื่อนไหว เสื้อผ้าของเชี่ยเฉิงก็ขาดกระจายออก “ว้าย!!” เสียงส