หวังเว่ยซินในชาติที่แล้ว ทะลุมิติเข้าในนิยายอยู่ในร่างของกู้เฉียวจิงฮูหยินเอกของแม่ทัพบูรพาเสิ่นเยี่ยหงพร้อมมีบุตรด้วยกันสองคน ในวันที่เกิดใหม่พร้อมภารกิจตู้ยาวิเศษ เกิดเรื่องราวมากมายจนกระทั่งนางหลงรักบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองคนมากไม่อาจจะตัดใจจากไป
ทว่านางไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเสิ่นเยี่ยหงแม้แต่น้อย
อีกทั้งคนที่บุรุษรักก็ไม่ใช่นาง หากฝืนรักฝืนอยู่ด้วยกันย่อมมีปัญหามากมายตามมาที่หลัง
จนกระทั้งทำภารกิจที่ห้าสำเร็จ นางได้รับรางวัลเป็นพรสามประการและยังค้นพบอีกว่าตั้งแต่แรกที่นางมาอยู่ที่นี่...เจ้าของร่างเดิมกู้เฉียวจิงยังอยู่กับนาง เป็นหนึ่งร่างสองวิญญาณ
กู้เฉียวจิง เจ้าของร่างเดิมไม่ได้คิดจะทวงร่างคืน เพราะหากไม่มีหวังเว่ยซินที่เข้ามาอยู่ในร่างแทนแม้กระทั่งชีวิตของบุตรชายก็ไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้ บุญคุณครั้งนี้แค่ร่างกายนางยินดีที่จะมอบให้ นางจึงมาขอพรหนึ่งข้อเพื่อไปเกิดใหม่
ทำให้หวังเว่ยซิน ผุดวาบความคิดหนึ่งขึ้นมา ความตั้งใจเดิมของนาง คืออยากออกจากจวนหงอี้โหว อยากหย่า เพียงแต่นางไม่อาจตัดใจทำร้ายจิตใจเด็กทั้งสองได้ ทำให้ยืดเยื้อมาหลายเดือน ในเมื่อมีหนทางให้นางไปเกิดใหม่พร้อมกับพรสามประการ นางจึงไม่ลังเลที่จะใช้มัน
นางวางแผนฝังเงินเอาไว้ให้องค์รักษ์ซูซูเฝ้า พร้อมรหัสลับ นักฆ่าศตวรรษที่ยี่สิบห้า จากนั้นก็เรียบเรียงพร
ขอไปเกิดใหม่พร้อมความทรงจำและวรยุทธ์
เกิดในครอบครัวที่นางสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ทันที มีครอบครัวได้มีบิดา มารดา หรือน้องชายพี่ชายน้องสาวพี่สาว แต่ขออย่ามีสามีเด็ดขาด
เกิดในยุคเดิมในนิยายที่มาทำภารกิจ ยุคที่กู้ซวินอายุห้าขวบเสิ่นซูเวยอายุสามเดือน เผื่อคิดถึงจะได้แอบมาหา
เมื่อทุกอย่างพร้อม นางตัดใจเรียบร้อย ครั้งกล่าววาจาของขอพรเสร็จ ไม่ทันได้ทำใจฉับพลันสติก็ดับวูบทันที
หวังเว่ยซิน ได้ตามที่ขอ
ในถนนเส้นหนึ่งในอำเภอเล็ก ๆ มีรถม้าคันนี้กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ภายในรถม้ามีเด็กสาววัยแรกแย้มอยู่ประมาณห้าหกคน ทุกคนล้วนมีผิวพรรณละเอียดใบหน้าหมดจด เค้าโครงรูปหน้าชัดบ่งบอกว่ายามเติบโตย่อมเป็นหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮื้อ ฮื้อ...ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าครอบครัวข้าจะขายข้า”
เสียงเด็กสาวร้องไห้สะอื้นจนตัวโยก บางคนร้องจนหมดแรงหลับไป กู้เฉียวจิงตอนนี้อยู่ในร่างของ หวังเว่ยซิน หนึ่งในสาวงามที่ถูกครอบครัวขายมา เจ้าของร่างได้ตรอมใจตายยกร่างให้กู้เฉียวจิง อย่างไม่อาลัยอาวรณ์พร้อมขอไปเกิดใหม่ทันที
นางนิ่งเงียบสนิทพยายามทบทวนเรื่องราวของตนเองจากความทรงจำเจ้าของร่างพร้อมกับตรวจสอบพรว่าได้ครบหรือไม่
ในข้อที่หนึ่งขอไปเกิดใหม่พร้อมความทรงจำและวรยุทธ์ ข้อนี้ผ่านไม่มีข้อผิดพลาด ถูกต้องตามเจตนา
ข้อสอง เกิดในครอบครัวที่นางสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ทันที นับว่าใช่ ตอนนี้นางมีมารดาและน้องชายแต่นางถูกขายออกมาโดยผู้ที่ได้ว่าเป็นย่าแท้ ๆ อำมหิตสุด ๆ แต่ก็ยังถูกต้องตามที่ขอ เลือกใช้ชีวิตได้ทันที หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ
ส่วนข้อสาม ช่วงเวลาคงต้องรอสักระยะ ได้ยินคนขับรถม้าคุยกัน จะพาพวกไปขายหญิงสาวที่หอชิงเซียงที่เมืองหลวง
คิ้วของหวังเว่ยซิงขมวดเล็กน้อย จะเป็นหอนางโลมที่เคยเชิญหญิงงามมาอบรมเหล่าอนุหรือเปล่านะ
เช่นนั้นก็ถือโอกาสนั่งรถม้าไปด้วย โชคดีไม่ต้องหาทางเข้าเมืองหลวงเอง จะได้ไปสืบด้วยว่าช่วงนี้คือยุคสมัยใด
ดวงตาของเด็กสาววาววับขึ้น แล้วนางก็จะไปขุดเงินที่ฝั่งเอาไว้ เงินสองแสนตำลึงของนางหวังว่าคงจะอยู่ดีนะ
ทว่าอย่างไรก็ต้อง ก็ภาวนาในใจ ขอบคุณท่านเทพท่านช่างเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาขอให้ท่านมีบารมี ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งขึ้นไป...
หึ ! เสียงแค่นเสียงแว่วมาจากแห่งหนึ่ง
หวังเว่ยซินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแป้น จากนั้นหาที่เหมาะเอนกายนอนลงไปอย่างใจเย็น
เช้ามืดรถม้าก็มาถึงประตูเมืองหลวง ทหารเฝ้าประตูเปิดอ่านเอกสารพลางเลิกผ้าเข้ามาดู เด็กสาวพากันตกใจสั่นสะท้าน แววตาที่ทหารมองดูฉายความเห็นใจอยู่จาง ๆ
รถม้าเคลื่อนล้อไปอีกสักระยะก็จอดสนิท เสียงไพเราะใสดังอยู่ด้านนอกรถม้า
“โจวถัง ครั้งนี้หวังว่าจะมีที่ถูกใจข้านะ”
“ถูกใจเถ้าแก่หลีอย่างแน่นอนขอรับ เชิญท่านตรวจสอบข้างในได้เลย”
โจวถังพ่อค้าที่ไปซื้อนางมาจากบ้านก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วออกเสียงสั่ง “พากันออกมาได้แล้ว...ที่นี่เป็นหอซิงเซียงชื่อดังของเมืองหลวงหากแม่นางหลีถูกใจพวกเจ้าได้อยู่ที่นี่ทั้งชาติสบายไปทั้งชาติ อย่าชักช้าข้าพาไปที่อื่นแล้วจะเสียใจ”
โจวถังทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ เด็กสาวได้ยินต่างสะดุ้งหวาดกลัว พวกนางกระจ่างใจดีถูกขายมาครั้งนี้ไม่พ้นลงเอ่ยที่หอนางโลม ทว่าอย่างน้อยได้อยู่ที่ดี ๆ ชีวิตก็อาจจะไม่ย่ำแย่จนเกินไป จึงพากันกระตื้อรือร้นลงจากรถม้า
แม่นางหลีคลี่พัดพลางเดินสำรวจ แววตาของปรายตามองดูเด็กสาวที่ละคน ดูจากสีหน้านับว่าพึงพอใจ ดวงตาของโจวถังประกายแววยินดี
“ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางหลีหรือไม่ขอรับ...ข้าเดินทางไปรับมาจากบ้านด้วยตนเอง ต่างเป็นเด็กสาวว่านอนสอนง่ายทุกคนขอรับ”
แม่นางหลีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มพราว
“นับว่าท่านโจวถังใส่ใจคุณภาพไม่น้อย”
“แน่นอน แน่นอนขอรับ มาส่งให้หอซิงเซียงจะขอไปทีไม่ได้ ข้าเลือกสรรมาอย่างดีให้ท่านเลือกก่อนหอนางโลมอื่น ๆ ด้วยนะขอรับ”
ความเหน็บหนาวสะท้านแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนสั่นเทา ทั้งที่นางไม่ใช่หวังเว่ยซินตัวจริงเย็นยังรับรู้ถึงความเจ็บปวด เมื่อปรายตาดูก็เห็นเด็กสาวล้วนดวงตาหม่นหมองใบหน้าซีดเซียว
ปรากฏว่า แม่นางหลีรับไว้ทั้งหมดจากนั้นนางก็ส่งสายตาให้คนพาเด็กสาวเข้าไปข้างใน บุรุษกำยำกลุ่มหนึ่งออกมาต้อนดั่งต้อนวัวควาย หวังเย่วซินกำมือแน่นเตือนสติตนเองอย่างสร้างเรื่องราวลับสายตาคนอื่น นางแค่หนีออกไปก็จบแล้ว
พวกนางถูกนั่งไปขังรวมในห้องหนึ่ง หวังเว่ยซินได้ยินแว่วคุยกัน พวกเขากำลังพูดคุยเจรจาราคากัน ต่อรองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ร้อยตำลึง ข้ามีค่าหนึ่งร้อยตำลึง
เมื่อตกลงซื้อขายกันเสร็จ แม่นางหลีก็เดินเข้ามากวาดสายตาไปทั่วแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว ชีวิตมีแต่ต้องเดินต่อ...รูปร่างหน้าตาของพวกเจ้าแต่ละคนล้วนงดงาม หากมีวาสนาอาจจะมีเหล่าขุนนางรับเลี้ยงเป็นอนุอยู่ดีกินดีไปตลอดชาติ เชื่อข้าแม้กระทั่งบ้านเดิมพวกเจ้าก็ให้สิ่งนี้ไม่ได้”
เหล่าเด็กสาวพลางฟังพลางสะอื้น แม่นางหลีเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้า แล้วถือกระดาษหนาชุดหนึ่งขึ้นตบเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงขรึมข่มขู่
“พวกเจ้าลองทบทวนดูให้ดี..ข้าซื้อขายพวกเจ้ามาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย จะทำยำแกงอย่างไรก็ได้ หากพวกเจ้าคิดหนี นอกจากคนของข้า ที่จะตามจับพวกเจ้า..ยังมีคนของทางการ..หากหลุดรอดไปจริง ๆ ตลอดชีวิตนี้อย่าคิดว่าจะเปิดเผยตนเองได้เลย”
จากนั้นแม่นางหลีก็สะบัดโบกเดินส่ายสะโพกออกไป อย่างไม่ใส่ใจว่าใครจะรู้สึกอย่างไร
วาจานี้ สร้างความตกตะลึงให้กับหวังเว่ยซินเป็นอย่างมาก แสดงว่า แม้นางจะหนีไปได้ ก็ไม่ต่างจากนักโทษ?
นางปลอบให้ตนเองใจเย็น ไม่หนีก็ได้
นางมีเงินนางมาไถ่ตัวเองได้
หลังจากนั้นก็มีบ่าวหญิงชราพาพวกนางไปยังห้องอาบน้ำขัดตัว พวกนางถูกเปื้อนอาภรณ์จนหมดสิ้นทั้งกายไม่มีสิ่งใดปกปิด เด็กสาวแต่ละคนล้วนก้มหน้าแดงอับอาย หญิงชราต่างเดินสำรวจพร้อมลูบคล่ำนวดคลึง พลางบ่น “ฮืม ผิวค่อนข้างหยาบกระด้างต้องบำรุงให้มากเสียหน่อย”
แผ่นหลังเด็กสาวคนหนึ่งถูกชี้ นางสะดุ้งตกใจหญิงชราไม่ได้สนใจ เอ่ยพูดน้ำเสียงเสียดาย “มีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ตรงนี้ ลองหาขึ้ผึ้งมาทาดู”
หลังจากนั้นพวกเขาก็นำชุดผ้าแพรสีขาวปักลายพุดตานหลากสีสรร มวยผมอย่างปราณีตประทินโฉมบางเบา เน้นเผยความงดงามตามธรรมชาติ ผสานกับดวงตากลมโตแววตาไร้เดียงสา เด็กสาวชาวบ้านเหล่านี้ก็กลายเป็นบุปผาแรกแย้มพร้อมให้บุรุษมาเด็ดดอมดม
แม่นางหลีเข้ามาดูผลงาน ดวงตานางเป็นประกายยิ้มแย้มแฝงเลศนัย “พวกเจ้าควรต้องภาคภูมิใจ ที่ตนเองยังมีรูปร่างงดงามพอผ่อนปรนชะตากรรมที่เลือกไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ให้อับจนมากเกินไป”
ขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมรักสวยรักงาม ครั้งได้เห็นตนเองสวมชุดอาภรณ์หรูหราใบหน้าแต่งแต้มงดงามผุดผาดก็เริ่มมีรอยยิ้มมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้แย่จนเกินรับไหว
หวังเว่ยซินครุ่นคิด นางเองก็อยากรู้เสียแล้ว ว่าคืนแรกของนางจะราคาเท่าไรจะมีคนเสนอราคาไหมนะ ฮ่า ฮ่า
ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิ ดวงดาวบนฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับหวังเว่ยซินมาปรากฏกายตรงจุดที่นางในนามกูเฉียวจิงชาติที่แล้ว ฝั่งหีบเงินเอาไว้ เวลาน่าจะผ่านมาหลายปี ต้นไม้น้อยใหญ่เติบโตปกคลุม โชคดีที่นางขโมยมีดมาจากห้องครัวด้วย
ฉับ ฉับ พริบตาต้นไม้ก็ถูกถางเกือบหมดสิ้น นางใช้ปลายมีดขุดดินลงไปได้เพียงหนึ่งครั้ง ก็รู้สึกเยือกเย็นที่คอเมื่อกวาดสายตามองตามกระบี่ไปก็สบสายตากับคนคุ้นเคย
“ซูซูหรือ ข้าคือ นักฆ่าศตวรรษที่ยี่สิบห้า พอดีเลยเจ้ามาช่วยข้าขุดหน่อย”
ทั้งแววตาทอประกายดั่งยินดีที่ได้พบพร้อมกับประโยคนั้น ทำให้ซูซูชะงักงัน เพ่งมองดูเด็กสาววัยแรกแย้มตรงหน้าอีกครั้ง นักฆ่างั้นหรือ? หลายปีที่มานางจินตนาการถึงคนที่จะมาขุดหีบเงินหีบนี้มาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีในความคิดว่าจะเป็นเด็กสาวอรชรบอบบางผู้หนึ่ง
“เหตุใดจึงนิ่งเล่า...มาช่วยกันหน่อย”
หวังเว่ยซินเอ่ยเรียกสติอีกฝ่ายอีกครั้ง ทว่าถึงซูซูไม่ช่วย นางก็ไม่ขุ่นเคือง เพราะตอนนี้นางเบิกบานใจยิ่งนัก
พรทั้งสามข้อท่านเทพให้นางครบทุกข้อ
ดีจริง ๆ
ชีวิตที่เป็นอิสระได้เริ่มต้นแล้ว
ตอนที่ 1 ฮูหยินกู้...ถามข่าวท่านทุกวันคนเฝ้าหีบสมบัติซูซูมองเด็กสาวประครองหีบขึ้นมา เมื่อเปิดดูข้างในก็เจอตั๋วเงินหลายแผ่นพร้อมเครื่องประดับจำนวนหนึ่ง เด็กสาวดวงตาโตเจิดจ้าใต้แสงดาว ได้ยินเสียงนางพึมพำ“เงินของข้า เงินของข้า”นางประคองหีบออกมาอย่างประคบประหงม ลุกขึ้นปัดฝุ่นเล็กน้อยแล้วหันมากล่าว “ซูซู ขอบคุณท่านมากนะที่เฝ้าให้ข้า ข้าไปล่ะ”ในขณะที่กำลังจะทะยานออกไป ซูซูก็เอ่ย“คุณหนูช้าก่อน” จากนั้นก็ไปขวางหน้าเด็กสาว เห็นสีหน้าที่ดูแตกตื่นแววตาสังหารประกายวาบขึ้น นางก็รีบอธิบาย “ป่ะ...เปล่า ข้ามิได้ห้ามที่ท่านจะนำหีบไป เพียงแต่ฮูหยินสั่งเอาไว้ หากท่านมาก็ให้เชิญท่านไปพบ”เด็กสาวพยักหน้าเข้าใจยิ้มตอบ “ฝากบอกนางว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เอาไว้ทุกอย่างลงตัวแล้วข้าจะไป”หวังเว่ยซินกำลังจะก้าวเท้าออกไปก็ถูกซูซูขวางอีกรอบ “คุณหนูจะบอกข้าได้หรือไม่...ว่าท่านพักอยู่ที่ใด เผื่อหากว่าฮูหยินถามข้าจะได้มีข้อมูล...เอ่อ..ฮูหยินถามข่าวท่านทุกวันเลยนะเจ้าคะ สีหน้านางดูเป็นกังวลและห่วงใยท่านมาก” แววตาของหวังเว่ยซินมีประกายอบอุ่นขึ้นมา นางคลี่ยิ้มตอบ “ข้าถูกนำมาขายที่หอซิงเซียง ต
ตอนที่ 2 เกิดใหม่อีกครั้งเวลาก็ผ่านไปสามปี รถม้าจวนหงอี้กงเคลื่อนผ่านพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา “นี่...รู้ไหมฮูหยินหงอี้กง จัดหาอนุให้กับท่านหงอี้กงอีกแล้วนะ ...ได้ยินว่าเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มงดงามที่สุดที่หอซิงเซียงอุตสาหามาได้ แต่จวนหงอี้กงก็ยังมาแย่งคนไป” “จริงหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูตื่นเต้นประหลาดที่สุด ทำให้คนเล่ายิ่งรู้สึกสนุกอยากเล่าต่อ “แน่นอน...ข้าได้เห็นกลับตา ว่าไปแล้วก็อิจฉาหงอี้กงยิ่งนัก ได้ฮูหยินที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรเช่นนี้ หากเป็นข้าก็อยากจะกลับเรือนทุกวัน” “คริ คริ” เสียงสตรีผู้หนึ่งหัวเราะขบขันพลางกล่าว “ท่านมีเงินเลี้ยงพวกนางหรือข้าได้ยินว่า ฮูหยินหงอี้กงใช้เงินเดือนละหลายหมื่นตำลึงหมดไปกับอาภรณ์เครื่องประดับของเหล่าอนุเชียวนะ” บุรุษผู้นั้นรู้สึกเสียหน้าระคนละอาย ตอนนี้แค่นี้ภรรยากับบุตรสองคนก็แสนอัตคัดจะมีปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงอนุเพิ่มบุรุษผู้หนึ่ง หมุนจอกชาในมือไปมาคิดไปแล้วก็แปลกใจดูเหมือนว่า อยู่ ๆ เขาก็ตัดใจจากกู้เฉียวจิงได้ จวนหงอี้กงในส่วนฮูหยินอันดับหนึ่งที่ทุกคนให้ตำแหน่งมา
ตอนที่ 3 บทบาทต่อไป...พี่สาวจอหงวน “คุณหนูหวัง...ถึงโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ” เสียงพ่อบ้านเฉิงเอ่ยเรียกอยู่นอกรถม้าด้วยเสียงนอบน้อม พอหวังเว่ยซินเลิกผ้าม่านออกมา ก็เจอป้ายขนาดใหญ่หอสุราชิงเห่อ โรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง หวังเว่ยซินถอนหายใจ มิต้องสงสัย คงไม่ได้เริ่มต้นแบบชีวิตสตรีชาวบ้านทั่วไปเสียแล้ว นางก้าวลงรถม้า พ่อบ้านเฉิงก็เอ่ยบอก “นี่คือเอกสารของท่านขอรับ เมื่อสักครู่คนเอามาส่งแล้ว” “รบกวนแล้ว ขอบคุณพ่อบ้านเฉิงมาก” “มิกล้า มิกล้า โรงเตี๊ยมนี้ท่านจะอยู่กี่คืนก็ได้ขอรับ ข้าได้สั่งเถ้าแก่เอาไว้ ให้ไปเก็บที่จวน” หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ จากนั้นก็เอ่ย “ท่านพ่อบ้านมีภารกิจมากมาย ขอมิอาจรบกวนนาน ส่งข้าเท่านี้พอ” พ่อบ้านเฉิงถูกกำชับว่าอย่าขัดใจคนเบื้องหน้าเด็ดขาด ก็รีบขานรับทันที “มิกล้า มิกล้า เช่นนั้นบ่าวขอตัว” “เดินทางดี ๆ เจ้าค่ะ” จากนั้นเสี่ยวเอ้อก็มารับหน้าต่อ “คุณหนูเชิญด้านในเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านจะไปยังห้องพักหรือว่านั่งผ่อนคลายที่ระเบียงชั้นสองก่อนดีเจ้าคะ” “ข
ตอนที่ 4 คุกเข่าคารวะ ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ” หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน” ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้” เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่ง
ตอนที่ 5 ชั่วสม่ำเสมอ ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายเมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว” ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ” “ขอรับท่านแม่”หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตูภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที“พวก
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
คุยกัน จวนผู้บัญชาการหลี แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อีกทั้งขนมหวานพร้อมชาหอมกรุ่นชุมชื่นละมุนคอ ก็ไม่ทำให้หวังอี้หยางคลายความประหม่าในใจได้ หลีเซียวหยวนพยายามพูดคุยสร้างบรรยากาศ “ดูสีหน้าน้องชายใคร่ไม่สบายใจนัก.. ข้าทำอะไรผิดพลาดหรือทำสิ่งใดให้เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า” หวังอี้หยางส่ายหน้ารัว ๆ “ปะ เปล่าขอรับ...ข้าไม่เคยเป็นแขกจวนขุนนางมาก่อนเลยค่อนข้างจะประหม่าขอรับ” หวังอี้หยางคร่ำครวญในใจ แค่ขุนนางชั้นต่ำเฝ้าประตูจวนนายอำเภอเขาก็หวั่นเกรงไม่กล้าสบตา ตอนนี้เขาไม่ล้มลงสลบไร้สิ้นสติไปก็นับว่าเก่งกาจแล้ว หลีเซียวหยวนลอบถอนหายใจ การบ่มเพาะใครสักคนให้เต็มไปด้วยความภูมิฐานและเต็มเปี่ยมด้วยท่วงท่านักปราชญไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย จะต้องมีช่วงเวลาเคี่ยวกรำจนคร่ำกร้านจึงจะสามารถมีสติใช้ปัญญาที่มีในช่วงเวลายากลำบากใจได้ เห็นได้ว่า หวังอี้หยางยังห่างไกลคำว่าสุขุมรอบคอบอีกมากนักอีกไม่นานหวังเว่ยซินจะตามมา หลีเซียวหยวนจึงเอ่ยถามขึ้น “ข้าขอรบกวนเวลาน้องชายไม่นาน...ช่วยเล่าเหตุการณ์ก่อนที่เจ้าจะมีสติปัญญาเ
พูดได้ไหม กู้เฉียวจิงชำเลืองมองหวังเว่ยซินด้วยความระมัดระวัง แล้วพูดเสียงอ่อย ๆ “พี่สาว...ท่านอย่าตำหนิเลยนะ” หวังเว่ยซินหันมาอีกฝ่าย แววตาเรียบเฉย “ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าเหนื่อยนัก...สมควรที่เจ้าจะกลับไปได้แล้ว...” เห็นอีกฝ่ายไม่โมโหกู้เฉียวจิงก็ผ่อนคลายลง ยิ้มละมุ่น “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพี่สาวแล้ว...แล้วถ้าเงินไม่พอมาหาข้านะ ข้ามีเยอะ” “รู้แล้ว...ไปได้แล้ว” น้ำเสียงหวังเว่ยซินแฝงความรำคาญพริบตากู้เฉียวจิงก็หายไป หวังเว่ยซินถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้ามิได้กลัวว่า หลีเซียวหยวนจะจับได้ ..แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร อธิบายได้แค่ไหน เรื่องเหล่านี้เป็นความลับของสวรรค์หรือเปล่า พูดไปจะมีผลดีหรือผลเสีย...แล้วจะถามตู้ยาได้อย่างไร” หญิงสาวเอนกายลงนอน “ช่างเถอะ...ถ้าเปิดเผยไม่ได้..ตู้ยาคงมีหนทางจัดการเอง...ข้ามิได้ตั้งใจเปิดเผยเสียหน่อยย่อมไม่ผิด” นางสลัดไล่ความกังวลไป พรุ่งนี้นางยังมีสิ่งที่จะต้องทำอีกมากจึงรีบหลับตานอนยามรุ่งอรุณ พระอาทิตย์ยังไม่ทอแสง หวังเว่ยซินล้างหน้าล้างตาเสร็จออกมาจากเรือนก็เห็น
ตอนที่ 36 ชีวิตใหม่แล้วนะหลังกู้ซวินกลับไป หลีเซียวหยวนก็ยกสุราดื่มเพียงลำพัง หวนคิดถึงตอนที่เจอกับหวังเว่ยซินครั้งแรกนางเข้ามาพูดคุยกับเขาก่อน แม้เขาจะมีรูปลักษณ์ที่สตรีจะชำเลืองมอง ทว่าด้วยกลิ่นอายเจ้าเล่ห์แฝงความเย็นชาร้ายกาจที่ประทับร่างมานาน ทำให้น้อยนักจะมีสตรีกล้าพูดคุยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายไม่ประมาทเขาเป็นคนมีสติปัญญาเฉียบแหลมสิ่งใดและรายละเอียดต่าง ๆ ที่ผ่านตาแล้วมักไม่ลืม ชายหนุ่มยิ้มอย่างใจลอยเอ่ยพูดกับอีกฝ่ายที่อยู่ในความคิด “แม้ข้าจะกล่าวว่าไม่จดจำเพียงหน้าตา...ย่อมหมายถึงลักษณะกริยา..มิใช่จดจำวิญญาณเสียหน่อย”น้ำเสียงของเขาแฝงความจนใจอยู่บ้าง เขาเป็นคนทำอะไรรอบครอบและระมัดระวังอยู่เสมอ กระนั้นเขาก็รู้ใจตนเอง ความรู้สึกให้ความสนใจอีกฝ่ายมิใช่เรียบง่ายอย่างคนทั่วไปและเหมือนเขาจะได้หลักฐานมาเพิ่มแล้ว “จางเคอ”“ขอรับนายท่าน”จางเคอชำเลืองมองหลีเซียวหยวนที่กำลังอารมณ์ดีด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดระคนแปลกใจ“เจ้าไปสืบผลการเรียนของหวังอี้หยางทั้งก่อนหน้านี้และตอนนี้มาอย่างละเอียด ... และมีหลักฐานด้วยยิ่งดี”แม้ภายนอกใบหน้าของจางเคอจะนิ่งราบเรียบ ทว่าภายในกลับป
ตอนที่ 36 เปิดเผยเรื่องราวหลังจากที่ฟังวาจาของอาจารย์หงโจหวังเว่ยซินก็กระจ่างใจได้ไม่ยาก กล่าวให้ง่ายขึ้นหวังอี้อย่างต้องฝึกกล้ามเนื้อเล็กให้แข็งแรงขึ้นอีกทั้งยังอ่อนเยาว์เกินไปหรือที่นางเข้าใจคือน้องชายยังขาด วุฒิภาวะ ตารางการเรียนของหวังอี้หยางถูกปรับเปลี่ยน ช่วงเช้าจะเรียนเกี่ยวกับปรัชญาการเมืองการปกครอง การคำนวณในบางครั้ง ส่วนช่วงบ่ายฝึกใช้พู่กันทั้งการคัดอักษรและวาดภาพ โดยอาจารย์หงโจได้รับปากจะดูแลจัดการเรื่องนี้ เรื่องเรียนของหวังอี้หยางนับว่าราบรื่นยิ่งนัก หวังเว่ยซินรู้สึกวางใจได้หลายส่วน อีกทั้งการสร้างเรือนก็ใกล้จะเสร็จทำให้นางยิ่งอารมณ์ดี มีเวลาจัดการเรื่องการวางแผนการบริการจัดการโรงเตี๊ยม โดยไม่ทันได้สังเกตว่าช่วงนี้มีบุรุษผู้หนึ่งติดตามนางอยู่ “นายท่าน คุณชายกู้มารอพบท่านอยู่ที่จวนขอรับ” หลีเซียวหยวนหันมาพยักหน้าแล้วเร้นกายออกไปทันทีจวนผู้บัญชาการหลี เมื่อเห็นหลีเซียวหยวน กู้ซวินก็ลุกขึ้นคารวะ “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์”ชายหนุ่มโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง “มีความคืบหน้าหรือ”กู้ซวินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “โชค
ตอนที่ 35 ต้องใช้เวลา โจวชุนหลังจากคัดเด็กที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับน้องชายของตนเอง เมื่อคัดเลือกมาได้สองคน จึงเดินออกมาตามหา หวังเว่ยซิน ให้นางช่วยตรวจสอบคนอีกครั้ง “พี่สาว ... ข้าตัดสินใจเลือกเด็กได้แล้ว” หวังเว่ยซินหันมามองเด็กชายสองคนเบื้องหน้า ร่างกายสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณดูสดใสขึ้นผิดจากหลายวันก่อน แสดงว่าพวกพอรู้จักดูแลตนเองได้ดีในระดับหนึ่ง นับว่าใช้ได้ “พวกเจ้าชื่ออะไร” “ผู้น้อย...อี้ซิงขอรับ” “ผู้น้อย..จางถงขอรับ” “อี้ซิง จางถง...ข้าจะให้เจ้าสองคนเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายรองหวังอี้หยาง พวกเจ้ายินดีหรือไม่” เด็กน้อยทั้งสองคนรีบคุกเข่า “ผู้น้อยยินดีติดตามรับใช้คุณชายรองขอรับ” น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน หวังเว่ยซินพยักหน้าพอใจ “เช่นนั้นก็ไปเก็บข้าวของ กลับไปกับข้า” เด็กชายทั้งสองรับคำรีบกุลีกุจอวิ่งกลับไป หวังเว่ยซินหันมายิ้มกับโจวชุน “แล้วเจ้าเล่า? เลือกสาวใช้ได้หรือยัง” โจวชุนส่ายหน้า “มิต้องหรอกเจ้าค่ะ เอาไว้ย้ายมาอยู่ที่นี่คัดเลือกตอนนั้นยั
ตอนที่ 34 เงินจะหมดแล้ว นอกจากเรือนพักเล็กของเหล่าทาสที่สร้างก่อน ก็เป็นเรือนใหญ่ที่พักของหวังเว่ยซิน เหล่าทาสที่คาดเดาความยิ่งใหญ่ทั้งคฤหาสน์และโรงเตี๊ยมต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มเพราะที่นี่ต่อไปนี้จะเป็นที่พวกเขาได้อาศัยอยู่จวบจนชั่วชีวิต ทว่า แม้หวังเว่ยซินจะเป็นนายที่เพียบพร้อม ไม่ต่างจากสวรรค์ประทานมาให้ กระนั้นก็มิใช่จะไม่มีคนโง่ละโมบมาก ตัดสินใจหักหลังนาง ความจริงนี้หวังเว่ยซินรู้ดี นางมิได้เชื่อใจพวกเขาขนาดนั้น การปล่อยป่ะให้อิสระก็นับเป็นการคัดเลือกคนอย่างหนึ่ง วันนี้นางกับโจวชุนมาตรวจดูความคืบหน้าและยังมาสอดส่องเด็กรับใช้ให้หวังอี้หยางด้วย เสียงฮื้อฮากระซิบพูดคุยทำให้หวังเว่ยซินเงยหน้าขึ้นไปมอง “นั่นเป็นขบวนรถม้าจากจวนหงอี้กง...ใช่หรือไม่” คนงานอีกคนพยักหน้า “ใช่แล้ว...ว่าแต่พวกเขาจะไปที่ใด” อีกคนเริ่มเอ่ยพูด ด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า “ข้ารู้...” “รู้ก็พูดสิ...จะมัวอวดอ้างอันใด” พวกเขาต่างใจจดจ่อรอฟัง อีกคนอดทนไม่ไหวก็เอ่ยปากเร่ง “แล้ว..อย่างไร พวกเขาจะไปที่ใด”
ตอนที่ 33 แลกเปลี่ยนความคิด จางฮูหยินเสร็จงานที่ก่อสร้างก็เดินกลับ ถึงเรือนตะวันก็คล้อยต่ำเหลือแสงสว่างอยู่รำไร นางจึงรีบหุ่งข้าวเตรียมมื้อเย็น จางฉือพึ่งกลับมาถึงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในครัวจึงเอ่ยถาม “ท่านแม่พึ่งกลับมาหรือขอรับ” “จางฉือหรือลูก...ไปนั่งพักก่อน แม่ทำอาหารสักครู่” จางฉือ วางกระเป๋าตำราลงพลางพับแขนเสื้อขึ้น แล้วเดินเข้าไปในครัว จางฮูหยินเห็นบุตรชายก็เอ่ย “มิต้อง ๆ ตรงนี้ไม่มีอันใด กับข้าวมีแล้ว...แม่แค่ต้มข้าวเพิ่มเท่านั้น...ลูกไปล้างหน้าล้างตาเสียแล้วค่อยมาทานข้าวกัน” จางฉือ มองไปยังกล่องอาหารแล้วเดินไปนั่งข้างมารดา พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ต่างหากที่ต้องไปอาบน้ำ ข้าจะเป็นคนต้มข้าวเอง” จางฉือสบสายตามุ่งมั่นของบุตรชาย นางจึงจำยอม “ได้..เช่นนั้นแม่ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า...แล้วจะกลับมาทานอาหารที่เจ้าเตรียมให้..อย่าลืมอุ่นน้ำแกงด้วยนะ” จางฉือยิ้ม “ขอรับ...ท่านแม่วางใจได้” จางฮูหยินอาบน้ำเสร็จก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุน นางรีบเดินแล
ตอนที่ 32 มิใช่ว่าจะดูไม่ออก ส่วนทางเวทีในขณะนั้น เฟยอิงปรากฏกายตามที่คาดหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าใบหน้าหญิงสาวก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด ไอ้บ้านี้ ร่างกายภายในบอบซ้ำอย่างหนักแทบจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ได้จะชนะ..แล้วให้คนเอ่ยเพราะ..นังคนนั้นไม่ได้ แม้เฟยอิงจะสามารถเอาชนะได้ภายในหนึ่งฝ่ามือ กระนั้นทุกครั้งที่ลงมือนางกลับถอนกำลังภายในออกทั้งหมด หวังยืดการประลองให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สีหน้าที่นางแสดงออกมาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ลมหายใจหอบถี่ดั่งกำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วง ทว่าก็มิใช่ว่าทุกคนจะดูไม่ออก เสิ่นเยี่ยหงเห็นสถานการณ์บนเวที ก็ถอนหายใจโล่งอก ใบหน้าองค์รัชทายาทเองก็ผ่อนคลายลงไปหลายส่วน หันมาถาม “หลีเซียวหยวนไปไหนเสียแล้ว” เสิ่นเยี่ยหงแค่นเสียงหัวเราะ “กระหม่อมคาดว่าน่าจะตามไปดูอาการของคุณหนูหวังผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทยิ้มพลางเอ่ย “อายุของหลีเซียวหยวนก็ควรออกเรือนแล้ว ได้ข่าวมงคลท่านได้บุตรสาวเพิ่มอีกคนแล้ว” เสิ่นเยี่ยหง พยักหน้าตอบ “
ตอนที่ 31 ทำตามหน้าที่ ดวงตาของหวังเว่ยซินคล้ายมีเปลวไฟลุกโชน อารมณ์ของหญิงสาวขุ่นมัวสุดขีด อุตสาวางแผนเจ็บตัวให้สมจริงไปแล้ว การต่อสู้หลังจากนี้ก็ของจริงเช่นนั้น พริบตาหวังเว่ยซินก็พลิ้วกายวูบไหวไปมาบนเวที เพียะ!! ผลัวะ!! อั๊ก!! เชี่ยเฉิงถูกหวังเว่ยซินซ้อมจนร่างที่ยืนอยู่ซวนโซ ชายหนุ่มเอากระบี่ปักประครองตนเองแล้วตะโกนขึ้น “นังปีศาจ..!!” หวังเว่ยซินหยุดเคลื่อนไหวยืนนิ่งอยู่บนไม้ขอบเวที นางหรี่ตามองสภาพของอีกฝ่าย ด้วยแววตาผ่อนคลาย ได้ระบายโทสะทำให้หายใจคล่องขึ้น ส่วนหลีเซียวหยวนก็คลายมัดที่กำอยู่โดยไม่รู้ตัว “อย่าพึ่งตายนะ...ข้ายังไม่ได้เริ่มต้น” หวังเว่ยซินชัดกระบี่ออกไป พลิ้วไหวกายดุจสายลม ผู้คนเบื้องล่างเห็นเพียงประกายกระบี่มีเพียงพวกเหล่ายุทธภพที่มีฝีมือแก่กล้ามองเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหว “นางกำลังทำอะไร” “ดูเหมือนว่า...จะกรีดเสื้อผ้าของอีกฝ่าย” เมื่อนางหยุดการเคลื่อนไหว เสื้อผ้าของเชี่ยเฉิงก็ขาดกระจายออก “ว้าย!!” เสียงส