หวังเว่ยซินในชาติที่แล้ว ทะลุมิติเข้าในนิยายอยู่ในร่างของกู้เฉียวจิงฮูหยินเอกของแม่ทัพบูรพาเสิ่นเยี่ยหงพร้อมมีบุตรด้วยกันสองคน ในวันที่เกิดใหม่พร้อมภารกิจตู้ยาวิเศษ เกิดเรื่องราวมากมายจนกระทั่งนางหลงรักบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองคนมากไม่อาจจะตัดใจจากไป
ทว่านางไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเสิ่นเยี่ยหงแม้แต่น้อย
อีกทั้งคนที่บุรุษรักก็ไม่ใช่นาง หากฝืนรักฝืนอยู่ด้วยกันย่อมมีปัญหามากมายตามมาที่หลัง
จนกระทั้งทำภารกิจที่ห้าสำเร็จ นางได้รับรางวัลเป็นพรสามประการและยังค้นพบอีกว่าตั้งแต่แรกที่นางมาอยู่ที่นี่...เจ้าของร่างเดิมกู้เฉียวจิงยังอยู่กับนาง เป็นหนึ่งร่างสองวิญญาณ
กู้เฉียวจิง เจ้าของร่างเดิมไม่ได้คิดจะทวงร่างคืน เพราะหากไม่มีหวังเว่ยซินที่เข้ามาอยู่ในร่างแทนแม้กระทั่งชีวิตของบุตรชายก็ไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้ บุญคุณครั้งนี้แค่ร่างกายนางยินดีที่จะมอบให้ นางจึงมาขอพรหนึ่งข้อเพื่อไปเกิดใหม่
ทำให้หวังเว่ยซิน ผุดวาบความคิดหนึ่งขึ้นมา ความตั้งใจเดิมของนาง คืออยากออกจากจวนหงอี้โหว อยากหย่า เพียงแต่นางไม่อาจตัดใจทำร้ายจิตใจเด็กทั้งสองได้ ทำให้ยืดเยื้อมาหลายเดือน ในเมื่อมีหนทางให้นางไปเกิดใหม่พร้อมกับพรสามประการ นางจึงไม่ลังเลที่จะใช้มัน
นางวางแผนฝังเงินเอาไว้ให้องค์รักษ์ซูซูเฝ้า พร้อมรหัสลับ นักฆ่าศตวรรษที่ยี่สิบห้า จากนั้นก็เรียบเรียงพร
ขอไปเกิดใหม่พร้อมความทรงจำและวรยุทธ์
เกิดในครอบครัวที่นางสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ทันที มีครอบครัวได้มีบิดา มารดา หรือน้องชายพี่ชายน้องสาวพี่สาว แต่ขออย่ามีสามีเด็ดขาด
เกิดในยุคเดิมในนิยายที่มาทำภารกิจ ยุคที่กู้ซวินอายุห้าขวบเสิ่นซูเวยอายุสามเดือน เผื่อคิดถึงจะได้แอบมาหา
เมื่อทุกอย่างพร้อม นางตัดใจเรียบร้อย ครั้งกล่าววาจาของขอพรเสร็จ ไม่ทันได้ทำใจฉับพลันสติก็ดับวูบทันที
หวังเว่ยซิน ได้ตามที่ขอ
ในถนนเส้นหนึ่งในอำเภอเล็ก ๆ มีรถม้าคันนี้กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ภายในรถม้ามีเด็กสาววัยแรกแย้มอยู่ประมาณห้าหกคน ทุกคนล้วนมีผิวพรรณละเอียดใบหน้าหมดจด เค้าโครงรูปหน้าชัดบ่งบอกว่ายามเติบโตย่อมเป็นหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮื้อ ฮื้อ...ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าครอบครัวข้าจะขายข้า”
เสียงเด็กสาวร้องไห้สะอื้นจนตัวโยก บางคนร้องจนหมดแรงหลับไป กู้เฉียวจิงตอนนี้อยู่ในร่างของ หวังเว่ยซิน หนึ่งในสาวงามที่ถูกครอบครัวขายมา เจ้าของร่างได้ตรอมใจตายยกร่างให้กู้เฉียวจิง อย่างไม่อาลัยอาวรณ์พร้อมขอไปเกิดใหม่ทันที
นางนิ่งเงียบสนิทพยายามทบทวนเรื่องราวของตนเองจากความทรงจำเจ้าของร่างพร้อมกับตรวจสอบพรว่าได้ครบหรือไม่
ในข้อที่หนึ่งขอไปเกิดใหม่พร้อมความทรงจำและวรยุทธ์ ข้อนี้ผ่านไม่มีข้อผิดพลาด ถูกต้องตามเจตนา
ข้อสอง เกิดในครอบครัวที่นางสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ทันที นับว่าใช่ ตอนนี้นางมีมารดาและน้องชายแต่นางถูกขายออกมาโดยผู้ที่ได้ว่าเป็นย่าแท้ ๆ อำมหิตสุด ๆ แต่ก็ยังถูกต้องตามที่ขอ เลือกใช้ชีวิตได้ทันที หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ
ส่วนข้อสาม ช่วงเวลาคงต้องรอสักระยะ ได้ยินคนขับรถม้าคุยกัน จะพาพวกไปขายหญิงสาวที่หอชิงเซียงที่เมืองหลวง
คิ้วของหวังเว่ยซิงขมวดเล็กน้อย จะเป็นหอนางโลมที่เคยเชิญหญิงงามมาอบรมเหล่าอนุหรือเปล่านะ
เช่นนั้นก็ถือโอกาสนั่งรถม้าไปด้วย โชคดีไม่ต้องหาทางเข้าเมืองหลวงเอง จะได้ไปสืบด้วยว่าช่วงนี้คือยุคสมัยใด
ดวงตาของเด็กสาววาววับขึ้น แล้วนางก็จะไปขุดเงินที่ฝั่งเอาไว้ เงินสองแสนตำลึงของนางหวังว่าคงจะอยู่ดีนะ
ทว่าอย่างไรก็ต้อง ก็ภาวนาในใจ ขอบคุณท่านเทพท่านช่างเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาขอให้ท่านมีบารมี ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งขึ้นไป...
หึ ! เสียงแค่นเสียงแว่วมาจากแห่งหนึ่ง
หวังเว่ยซินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแป้น จากนั้นหาที่เหมาะเอนกายนอนลงไปอย่างใจเย็น
เช้ามืดรถม้าก็มาถึงประตูเมืองหลวง ทหารเฝ้าประตูเปิดอ่านเอกสารพลางเลิกผ้าเข้ามาดู เด็กสาวพากันตกใจสั่นสะท้าน แววตาที่ทหารมองดูฉายความเห็นใจอยู่จาง ๆ
รถม้าเคลื่อนล้อไปอีกสักระยะก็จอดสนิท เสียงไพเราะใสดังอยู่ด้านนอกรถม้า
“โจวถัง ครั้งนี้หวังว่าจะมีที่ถูกใจข้านะ”
“ถูกใจเถ้าแก่หลีอย่างแน่นอนขอรับ เชิญท่านตรวจสอบข้างในได้เลย”
โจวถังพ่อค้าที่ไปซื้อนางมาจากบ้านก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วออกเสียงสั่ง “พากันออกมาได้แล้ว...ที่นี่เป็นหอซิงเซียงชื่อดังของเมืองหลวงหากแม่นางหลีถูกใจพวกเจ้าได้อยู่ที่นี่ทั้งชาติสบายไปทั้งชาติ อย่าชักช้าข้าพาไปที่อื่นแล้วจะเสียใจ”
โจวถังทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ เด็กสาวได้ยินต่างสะดุ้งหวาดกลัว พวกนางกระจ่างใจดีถูกขายมาครั้งนี้ไม่พ้นลงเอ่ยที่หอนางโลม ทว่าอย่างน้อยได้อยู่ที่ดี ๆ ชีวิตก็อาจจะไม่ย่ำแย่จนเกินไป จึงพากันกระตื้อรือร้นลงจากรถม้า
แม่นางหลีคลี่พัดพลางเดินสำรวจ แววตาของปรายตามองดูเด็กสาวที่ละคน ดูจากสีหน้านับว่าพึงพอใจ ดวงตาของโจวถังประกายแววยินดี
“ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางหลีหรือไม่ขอรับ...ข้าเดินทางไปรับมาจากบ้านด้วยตนเอง ต่างเป็นเด็กสาวว่านอนสอนง่ายทุกคนขอรับ”
แม่นางหลีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มพราว
“นับว่าท่านโจวถังใส่ใจคุณภาพไม่น้อย”
“แน่นอน แน่นอนขอรับ มาส่งให้หอซิงเซียงจะขอไปทีไม่ได้ ข้าเลือกสรรมาอย่างดีให้ท่านเลือกก่อนหอนางโลมอื่น ๆ ด้วยนะขอรับ”
ความเหน็บหนาวสะท้านแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนสั่นเทา ทั้งที่นางไม่ใช่หวังเว่ยซินตัวจริงเย็นยังรับรู้ถึงความเจ็บปวด เมื่อปรายตาดูก็เห็นเด็กสาวล้วนดวงตาหม่นหมองใบหน้าซีดเซียว
ปรากฏว่า แม่นางหลีรับไว้ทั้งหมดจากนั้นนางก็ส่งสายตาให้คนพาเด็กสาวเข้าไปข้างใน บุรุษกำยำกลุ่มหนึ่งออกมาต้อนดั่งต้อนวัวควาย หวังเย่วซินกำมือแน่นเตือนสติตนเองอย่างสร้างเรื่องราวลับสายตาคนอื่น นางแค่หนีออกไปก็จบแล้ว
พวกนางถูกนั่งไปขังรวมในห้องหนึ่ง หวังเว่ยซินได้ยินแว่วคุยกัน พวกเขากำลังพูดคุยเจรจาราคากัน ต่อรองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ร้อยตำลึง ข้ามีค่าหนึ่งร้อยตำลึง
เมื่อตกลงซื้อขายกันเสร็จ แม่นางหลีก็เดินเข้ามากวาดสายตาไปทั่วแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว ชีวิตมีแต่ต้องเดินต่อ...รูปร่างหน้าตาของพวกเจ้าแต่ละคนล้วนงดงาม หากมีวาสนาอาจจะมีเหล่าขุนนางรับเลี้ยงเป็นอนุอยู่ดีกินดีไปตลอดชาติ เชื่อข้าแม้กระทั่งบ้านเดิมพวกเจ้าก็ให้สิ่งนี้ไม่ได้”
เหล่าเด็กสาวพลางฟังพลางสะอื้น แม่นางหลีเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้า แล้วถือกระดาษหนาชุดหนึ่งขึ้นตบเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงขรึมข่มขู่
“พวกเจ้าลองทบทวนดูให้ดี..ข้าซื้อขายพวกเจ้ามาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย จะทำยำแกงอย่างไรก็ได้ หากพวกเจ้าคิดหนี นอกจากคนของข้า ที่จะตามจับพวกเจ้า..ยังมีคนของทางการ..หากหลุดรอดไปจริง ๆ ตลอดชีวิตนี้อย่าคิดว่าจะเปิดเผยตนเองได้เลย”
จากนั้นแม่นางหลีก็สะบัดโบกเดินส่ายสะโพกออกไป อย่างไม่ใส่ใจว่าใครจะรู้สึกอย่างไร
วาจานี้ สร้างความตกตะลึงให้กับหวังเว่ยซินเป็นอย่างมาก แสดงว่า แม้นางจะหนีไปได้ ก็ไม่ต่างจากนักโทษ?
นางปลอบให้ตนเองใจเย็น ไม่หนีก็ได้
นางมีเงินนางมาไถ่ตัวเองได้
หลังจากนั้นก็มีบ่าวหญิงชราพาพวกนางไปยังห้องอาบน้ำขัดตัว พวกนางถูกเปื้อนอาภรณ์จนหมดสิ้นทั้งกายไม่มีสิ่งใดปกปิด เด็กสาวแต่ละคนล้วนก้มหน้าแดงอับอาย หญิงชราต่างเดินสำรวจพร้อมลูบคล่ำนวดคลึง พลางบ่น “ฮืม ผิวค่อนข้างหยาบกระด้างต้องบำรุงให้มากเสียหน่อย”
แผ่นหลังเด็กสาวคนหนึ่งถูกชี้ นางสะดุ้งตกใจหญิงชราไม่ได้สนใจ เอ่ยพูดน้ำเสียงเสียดาย “มีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ตรงนี้ ลองหาขึ้ผึ้งมาทาดู”
หลังจากนั้นพวกเขาก็นำชุดผ้าแพรสีขาวปักลายพุดตานหลากสีสรร มวยผมอย่างปราณีตประทินโฉมบางเบา เน้นเผยความงดงามตามธรรมชาติ ผสานกับดวงตากลมโตแววตาไร้เดียงสา เด็กสาวชาวบ้านเหล่านี้ก็กลายเป็นบุปผาแรกแย้มพร้อมให้บุรุษมาเด็ดดอมดม
แม่นางหลีเข้ามาดูผลงาน ดวงตานางเป็นประกายยิ้มแย้มแฝงเลศนัย “พวกเจ้าควรต้องภาคภูมิใจ ที่ตนเองยังมีรูปร่างงดงามพอผ่อนปรนชะตากรรมที่เลือกไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ให้อับจนมากเกินไป”
ขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมรักสวยรักงาม ครั้งได้เห็นตนเองสวมชุดอาภรณ์หรูหราใบหน้าแต่งแต้มงดงามผุดผาดก็เริ่มมีรอยยิ้มมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้แย่จนเกินรับไหว
หวังเว่ยซินครุ่นคิด นางเองก็อยากรู้เสียแล้ว ว่าคืนแรกของนางจะราคาเท่าไรจะมีคนเสนอราคาไหมนะ ฮ่า ฮ่า
ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิ ดวงดาวบนฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับหวังเว่ยซินมาปรากฏกายตรงจุดที่นางในนามกูเฉียวจิงชาติที่แล้ว ฝั่งหีบเงินเอาไว้ เวลาน่าจะผ่านมาหลายปี ต้นไม้น้อยใหญ่เติบโตปกคลุม โชคดีที่นางขโมยมีดมาจากห้องครัวด้วย
ฉับ ฉับ พริบตาต้นไม้ก็ถูกถางเกือบหมดสิ้น นางใช้ปลายมีดขุดดินลงไปได้เพียงหนึ่งครั้ง ก็รู้สึกเยือกเย็นที่คอเมื่อกวาดสายตามองตามกระบี่ไปก็สบสายตากับคนคุ้นเคย
“ซูซูหรือ ข้าคือ นักฆ่าศตวรรษที่ยี่สิบห้า พอดีเลยเจ้ามาช่วยข้าขุดหน่อย”
ทั้งแววตาทอประกายดั่งยินดีที่ได้พบพร้อมกับประโยคนั้น ทำให้ซูซูชะงักงัน เพ่งมองดูเด็กสาววัยแรกแย้มตรงหน้าอีกครั้ง นักฆ่างั้นหรือ? หลายปีที่มานางจินตนาการถึงคนที่จะมาขุดหีบเงินหีบนี้มาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีในความคิดว่าจะเป็นเด็กสาวอรชรบอบบางผู้หนึ่ง
“เหตุใดจึงนิ่งเล่า...มาช่วยกันหน่อย”
หวังเว่ยซินเอ่ยเรียกสติอีกฝ่ายอีกครั้ง ทว่าถึงซูซูไม่ช่วย นางก็ไม่ขุ่นเคือง เพราะตอนนี้นางเบิกบานใจยิ่งนัก
พรทั้งสามข้อท่านเทพให้นางครบทุกข้อ
ดีจริง ๆ
ชีวิตที่เป็นอิสระได้เริ่มต้นแล้ว
ตอนที่ 66 ขอแค่วันธรรมดาเรียบง่ายก็พอ ท้องฟ้าเริ่มทอแสงอ่อน หวังเว่ยซินเดินขึ้นไปยังระเบียงชมดาวอย่างช้า ๆ พลางมองทิวทัศน์โดยรอบ นางสร้างที่นี่ไว้เป็นที่พักผ่อนเบื้องล่างเป็นบึงขนาดใหญ่ที่ปลูกดอกบัวไว้เต็มสระล้อมรอบด้วยต้นดอกท้อ ทว่าเบื้องหน้าตอนนี้ทั้งดอกท้อและบัวยังไม่เติบโตเต็มที่ นางคาดฝันทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ในอีกหลายปีข้างหน้าด้วยสีหน้าอิ่มเอิบใจ นางยืนมองตะวันที่กำลังคล้อยต่ำและดับแสงลงเรื่อย ๆ มีเสียงฝีเท้าดั่งแว่วเข้ามาใกล้ แม้หวังเว่ยซินไม่ได้ชำเลืองมองก็จำได้ว่าเป็นฝีเท้าของผู้ใด นางกระพริบตาเพียงเล็กน้อยเพราะฝีเท้านั้นดูไม่หนักแน่นเช่นเคย หลีเซียวหยวนเห็นหวังเว่ยซินกำลังจ้องมองดอกไม้ที่กำลังปลิวไปตามแรงลม ใบหน้าของหญิงสาวดูอ่อนละมุนทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้น ชายหนุ่มเดินไปยืนนิ่งข้างหลังนางโน้มตัวโอบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด จุมพิตที่แก้มเบา ๆ ไม่เอ่ยวาจาหวังเว่ยซินจึงพูดขึ้น “ท่านมีเรื่องอยากจะกล่าวหรือไม่” ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบ หาได้เย็นชาจนปราศจากความรู้สึกทำให้หลีเซียวหยวนหายใจโล่งขึ้น เขาซุกหน้าเข้าไปแนบแอบอิง หญิงสาว
ตอนที่ 65 ตอบแทน ทุกครั้งที่กลับจากสำนักศึกษา หวังอี้หยางจะแวะไปคารวะมารดาก่อนเสมอ เรือนของมารดาจะเป็นเรือนหลักอยู่ข้างในลึกที่สุด ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คน หวังเว่ยซินได้สร้างสวนขนาดเล็กให้มารดาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์อย่างที่มารดาคุ้นชิน แม้จะเป็นเช่นนั้นกระนั้นมารดาก็ไม่ได้จับจอบเสียบขุดดินเอง ส่วนมากจะเป็นบ่าวไพร่ที่ช่วยกันดูแลเสียมากกว่า เมื่อหวังอี้หยางไปถึง บ่าวหน้าเรือนก็โค้งคำนับและเปิดประตูให้โดยไม่ได้เข้าไปรายงาน “เจ้าว่าปิ่นชิ้นนี้จะดูหรูหราเกินไปหรือไม่” เสียงมารดาเอ่ยพูดคุยกับบ่าวคนสนิท “ไม่หรอกเจ้าค่ะฮูหยิน...เถ้าแก่เจ้าของร้านเครื่องประดับยังกล่าวว่าเหมาะสมกับคุณหนูโจวชุนที่สุดเจ้าค่ะ” สีหน้าของหวังฮูหยินระบายไปด้วยความลังเล นางได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเบือนหน้ามาใบหน้าระบายยิ้มทันที “อี้หยาง มานี่สิ...เจ้ามาก็ดีแล้ว ช่วยแม่เลือกเครื่องประดับให้ชุนเอ๋อร์ที” อยู่ที่นี่มาหลายเดือนมิใช่ว่ามารดาไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แต่ทั้งหมดล้วนถูกปฏิเสธออกไป หวังอี้หยางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่า
ตอนที่ 64 ตัดได้ตัดไปแล้วเมื่อหวังเว่ยซินเดินมาถึงหน้าห้องบุปผาส่องจันทร์ สตรีชาวยุทธสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าโค้งศีรษะเปิดประตูพลางกล่าว “เชิญคุณหนูหวัง” หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งชันเขาเอนกายพิงระเบียง สวมผ้าคลุมบาง ปล่อยผมสลวยยาวดั่งน้ำตก ใบหน้างดงามเนียนลออดุจดั่งหยกชั้นดี เมื่อได้ยินฝีเท้านางเบือนหน้ามา ช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา หวังเว่ยซินสบสายตาเฉียบคมนั้นด้วยความรู้สึกนิ่งเฉยกล่าว “ท่านต้องการพบข้ามีเรื่องอันใด” นางแค่นเสียงเย้ยหยันแล้วยกขวดสุราในมือกรอกลงคอ กริยาที่แสดงช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์รูปร่างที่แสดงออก หวังเว่ยซินรอนางดื่มอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ข้าไม่ได้ต้องการอยากจะพบเจ้าเสียหน่อย” หวังเว่ยซินได้ยินคำนั้นก็เอ่ย “เช่นนี้ข้าขอตัว” เฟยอิงมองตามหลังแล้วพูดขึ้น “เหตุใดพี่เซียวต้องเลือกเจ้า เหตุใดไม่เป็นข้า...พี่ชายเคยให้คำสัญญาว่าจะดูแลข้าไปตลอดชีวิต...ข้าผิดอะไร ข้าไม่เคยผิดต่อพี่ชาย ข้าภักดีและเชื่อฟังพี่ชายมาโดยตลอด แล้วทำไมสิ่งที่ข้าได้รับถึงเป็นเช่นนี้ ฮื้อ ฮื้อ”
ตอนที่ 63 หัวใจพองโต วันเวลาผ่านไปอย่างราบรื่น หวังเว่ยซินรู้ดีว่าชีวิตตนเองมาถึงจุดนี้ได้ เพราะมีคนคอยคุ้มครองแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงถูกเลือกแต่กระนั้นนางจึงมุ่งมั่นทำความดีตอบแทน “พี่สาว...วันนี้มีแขกเข้าจองห้องพักเต็มยังไม่ถึงครึ่งวันเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของโจวชุนหาแฝงความลำบากใจมากกว่ายินดีหลังจากที่เจอลูกค้าเข้ามาแล้วแสดงอาการไม่พอใจหลายคนที่ไม่สามารถเข้าพักที่นี่ได้ หวังเว่ยซินจึงสั่งทำป้ายวางไว้หน้าร้านแจ้งให้ผู้ที่กำลังจะเข้ามาจองพักทราบก่อนว่าห้องพักเต็ม “ป้ายที่ให้ทำเสร็จ แล้วหรือยัง” “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ...แต่กระนั้นข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” หวังเว่ยซินหัวเราะ “หรือเราควรสร้างห้องพักเพิ่มดีหรือไม่” โจวชุนโบกมือพัลวัน “ไม่เอานะเจ้าค่ะ...หากมากไปกว่านี้ข้ากลัวว่าพวกเราจะควบคุมคนไม่ไหว” หวังเว่ยซินหยิบบัญชี โรงเตี๊ยวเว่ยซิน ขึ้นมาดูตัวเลขในบัญชีทำให้ยิ้มพราวอย่างพอใจพูดต่อ “ตอนนี้...พวกเราก็พอกำไรได้มากแล้ว เจ้าคิดว่าเราควรลดราคาอาหารดีหรือไม่” โจวชุนเบิกตากว้าง “พี่สาว ราคาอาหารตอนนี้ไม่
ตอนที่ 62 ดีเกินไป ภายในห้องรับรองเต็มไปด้วยหญิงสาวแต่งกายหรูหราจำนวนหนึ่ง โต๊ะตรงประธานมีหญิงสาววัยกลางคนงามดั่งบุปผาใบหน้าอิ่มเอิบเฉิดฉาย เด็กชายใบหน้าสะอาดหมดจดแต่งกายด้วยผ้าแพรไหมชั้นดีนั่งอยู่ข้างกาย หวังอี้หยางยืนน้อมตัวอ่อนน้อมพูดคุยด้วยสีหน้าสุภาพ กู้เฉียวจิงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอย่างออกรสชำเลืองมาเห็นหวังเว่ยซินเบิกตากว้างขึ้นกำลังจะลุกขึ้นไปต้อนรับก็ถูกสายตาของอีกฝ่ายสั่งให้นั่งกับที่ หวังเว่ยซินเร่งฝีเท้ามายืนเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยเสียงกระจ่างใส “คารวะกงฮูหยิน คารวะซือจือ ... ผู้น้อยขอบคุณท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน” แม้ว่าหวังเว่ยซินจะเป็นเพียงชาวบ้านไร้บรรดาศักดิ์ แต่เมื่อกู้เฉียวจิงให้ความสำคัญเหล่าอนุต่างรู้มารยาทลุกขึ้นยืนทำความเคารพตอบกู้เฉียวจิงคลี่ยิ้มจนกระทั่งไปถึงดวงตา “อย่าได้เกรงใจ ข้าเองก็ใคร่สนใจโรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน ได้ยินว่าเปิดกิจการวันแรกก็อยากจะมาร่วมยินดี โชคดีที่กู้ซวินเล่าว่าเป็นกิจการของสหายร่วมเรียน จึงได้ถือโอกาสนับความสัมพันธ์นี้มาที่นี่ เหล่าน้องสาวข้าเองก็อยากจะมาร่วมความครื้นเครงด
เวลาผ่านไปก็มาถึงฤกษ์ยามดีที่หวังเว่ยซินจะเปิดโรงเตี๊ยม ปัง! ปัง! ปัง! เสียงประทัดดังสนั่น ผู้คนจอแจมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เสียงเด็กในร้านตะโกนเสียงดัง “ไม่ต้องแย่งกัน มีเยอะขอรับ ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องแย่ง” หวังเว่ยซินยืนคู่กันกับหลีเซียวหยวนเบื้องหน้าโรงเตี๊ยม ใบหน้าของทั้งสองแม้จะดูเย็นชาทว่าก็แฝงความอบอุ่นอยู่จาง ๆ กลิ่นอายรอบกายดูคลายคลึงกันอย่างบอกไม่ถูก ชาวบ้านที่มาร่วมงานบางคนกระซิบพูดคุย “แสดงว่าข่าวที่บอกว่า โรงเตี๊ยมแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นของผู้บัญชาการหลี นับว่าเป็นเรื่องจริงสินะ” สตรีวัยกลางคนเขม็งตามองแล้วกดเสียงพูด “พูดให้มันเบา ๆ มิได้หรืออย่างไร จะเป็นของผู้ใดก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า...พวกเจ้าไม่รักชีวิตกันหรืออย่างไรถึงกล้าพูดลับหลังท่านผู้บัญชาการหลี” สตรีคนนั้นก็เอ่ยแย้ง “ข้าแค่ถาม มิได้กล่าวเรื่องไร้มารยาทเสียหน่อย” “จะอย่างไรข้าก็ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับพวกเจ้า” พูดเสร็จนางก็เดินออกไปต่อแถวรับคูปอง หวังเว่ยซินและหลีเซียวหยวนล้วนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ประสาทสัมผัสเฉียบแหลม