ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น
“คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ”
หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน”
ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้”
เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป
รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่งที่ตนเองต้องการทันที
“ข้าต้องการอาภรณ์ใหม่พร้อมเครื่องประดับที่หรูหราที่สุด และรบกวนท่านช่วยหาคนแต่งกายให้ข้าจะได้หรือไม่” เถ้าแก่ของร้านมองหวังเว่ยซินอย่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบรับปาก “ได้ ๆ ขอรับ คุณหนูรบกวนรอสักครู่ เด็ก ๆ พาคุณหนูไปยังห้องรับรอง ..โจวชุนไปเชิญฮูหยินมาตอนนี้”
หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก ที่ไหนก็ขอมีเงินก็เป็นเรื่องง่าย นางหันไปบอกลู่เมิง “ท่านลู่ ไม่ต้องตามข้าไปรอข้าที่รถม้าเถิด”
ใบหน้าลู่เมิ่งยังคงสุขุมยกมือประสาน “ขอรับ”
ลู่เมิ่งจอดรถม้ารอหวังเว่ยซินอยู่หน้าร้านแพรประมาณครึ่งชั่วยามเด็กสาวถึงปรากฏกาย เดิมหวังเว่ยซินก็งดงามอยู่แล้วเมื่อสวมอาภรณ์เครื่องประดับยิ่งขับให้นางดูสูงส่ง ทว่าภายในใจลู่เมิ่งกลับรู้สึกเอ็นดูเพราะรอยยิ้มอ่อนใจดูท่านางน่าจะเหนื่อยกับการแต่งกายไม่น้อย
หวังเว่ยซินไม่รู้เลย ว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีผู้ใดถูกสบสายตาจะไม่หวั่นไหว ลู่เมิ่งที่จิตใจมั่นใจยังรู้สึกสั่นสะท้าน เขายิ้มตอบเล็กน้อยหันไปมองเด็กสาวที่อยู่ข้างกายหวังเว่ยซินมากกว่าคนจำนวนหนึ่งกำลังทั้งหอบของและหีบขนาดใหญ่สองสามหีบ
“เด็กคนนี้ ข้าว่าจ้างเป็นบ่าวรับใช้ชั่วคราว”
หวังเว่ยซินอธิบาย ลู่เมิ่งยังคงประหยัดวาจา เขาไม่เอ่ยถามเหตุผลเช่นเคย แม้ท่าทางของหญิงรับใช้คนนั้นจะดูผิดแปลก
“ขอรับ...เชิญคุณหนูขึ้นรถม้า”
เส้นทางเข้าหมู่บ้าน ค่อนข้างขรุขระรถม้าเคลื่อนสั่นไหวไปมา หวังเว่ยซินแทบอยากจะออกไปควบขี้ม้าแทน รถม้าคันใหญ่หรูหราเข้ามาในหมู่บ้านก็ดึงดูดสายตาของคนในหมู่บ้านทันที
“นั่นใครกัน คนต่างถิ่นหลงทางเข้ามาหรือ”
สตรีชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น สตรีอีกคนหรี่ตามองเห็นบุรุษที่นำขบวนมีบุคลิกองอาจดูล่ำซำ เอ่ยพูดพร้อมก้าวฝีเท้าออกไป
“เอะ...ข้าจะสอบถามเสียหน่อยเผื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”
ขบวนเดินทางยังเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ลู่เมิ่งเห็นสตรีคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจึงชำเลืองมอง สตรีคนนั้นเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มแป้นอย่างยินดีเอ่ยถามขึ้น
“ท่านผู้สูงศักดิ์กำลังจะไปที่ใดหรือ ให้ข้าช่วยนำทางหรือไม่”
หวังเว่ยซินได้ยินเสียงคุ้นเคย แต่ไม่ได้เปิดผ้าม่านออกมา ได้ยินเสียงลู่เมิงตอบกลับไป
“เรียนแม่นาง ข้ากำลังจะไปตระกูลหวัง/ ..อ่า..นั่นมันตระกูลของข้า ท่านตามข้ามาเลย” ลู่เมิงยังเอ่ยไม่เต็มประโยคสตรีผู้นั้นก็โพล่งพูดแทรกขึ้น
คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงของหวังหนิงและเห็นขบวนเดินทางที่ดูยิ่งใหญ่ก็ต่างเริ่มให้ความสนใจ ทำให้หวังหนิงยิ่งได้ใจเอ่ยพูดเสียงดัง
“ท่านผู้สูงศักดิ์คงเป็นสหายของน้องชายข้ากระมัง เช่นนั้นตามข้ามาเถิด ข้าจะนำทางพวกท่านเอง”
ลู่เมิงปรายสายตามองในรถม้า เห็นว่าผ้าม่านยังไม่คงนิ่งไม่ไหวติง แสดงว่ายินยอมให้สตรีผู้นี้นำทาง จึงหันมาประสานมือตอบ “รบกวนแม่นางด้วย”
หวังเว่ยซินที่อยู่ในรถม้าได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบข้างนอก พวกเขาต่างคาดเดาบุคคลในรถม้าในหลากหลายรูปแบบ และด้วยความสนใจและใคร่รู้ คนที่เดินตามรถม้าก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงประตูเรือนสกุลหวัง
“ท่านแม่ ท่านแม่...มีผู้สูงศักดิ์มาเยือนเจ้าค่ะ” เสียงหวังหนิงตะโกนโหวกเหวก ทั้งหวังเรียกคนข้างในและคนที่อยู่ล้อมรอบได้ยิน
กระนั้นหวังเว่ยซินก็ยังไม่ออกมาจากรถม้า
แอ๊ด...เสียงประตูดังขึ้น หวังหนิงเห็นมีสตรีผู้หนึ่งโผล่หน้าออกมา ก็รีบพูดขึ้นน้ำเสียงร้อนรน “พี่สะใภ้...ท่านรีบไปตามท่านแม่กับท่านพ่อมาต้อนรับเดี๋ยวนี้” สตรีผู้นั้นเบิกตากว้างมองคนเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง รถม้าคันใหญ่หรูหราและคนคุ้มกันนั่งอยู่บนหลังม้าช่างองอาจข่มขวัญ ทำให้นางเชื่ออย่างสนิทใจ รีบกลับเข้าไปในทันที
สักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมา นำหน้าด้วยหวังจงกับหวังฮูหยินพวกเขาไม่เอ่ยถามที่มาที่ไปก็รีบพากันคุกเข่า หวังจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นท่วงตาดุจดั่งนักปราชญ์
“ข้าหวังจง คารวะผู้สูงศักดิ์”
หวังเว่ยซินอดทนอดกลั้น ไม่หลุดเสียงหัวเราะออกไป นางยืนมือออกไป คนข้างนอกที่กำลังจ้องมองรถม้าเป็นตาเดียวมือขาวเนียนหมดจดโผล่พ้นออกมา แม้ยังไม่เปิดเผยโฉม นิ้วมือเรียวยาวงดงามนั่นก็สะกดตรึงจิตผู้คนไปกว่าครึ่งใจ พวกเขาต่างพากันจินตนาการถึงรูปโฉมอย่างใจจดใจจอ
บ่าวรับใช้ยืนมือไปให้หวังเว่ยซินจับ นางโค้งศีรษะปิ่นหยกระย้างดงามโผล่ออกมา ยิ่งกระตุ้นให้ทุกคนตื่นเต้น ลืมหายใจไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อนางเงยหน้าขึ้นยืนอย่างมั่นคงก็มีเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“นั่นมัน...พี่เว่ยซินนี่น่า”
ทุกคนต่างกระพริบตาถี่ ดูให้ชัดเจนอีกครั้ง แม้เด็กสาวตรงหน้าจะงดงามสะคราญแต่งกายด้วยผ้าไหมราคาแพงสวมเครื่องประดับล้ำค่า ใบหน้าเฉิดฉายเย็นชาแต่ใบหน้านั้นพวกเขาต่างคุ้นเคยดี จึงมีเสียงเอ่ยขึ้น
“อ่า...แม่หนูเว่ยซินจริง ๆ ด้วย”
หวังจงที่กำลังคุกเข่าอยู่ รีบเงยหน้าขึ้นมามองดูเขาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“คริ คริ...” เสียงหัวเราะดังกังวานอย่างไพเราะเสนาะหู ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มหัวเราะการกระทำของคนสกุลหวัง หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก นับว่าการอดทนแต่งกายทรงเครื่องเป็นชั่วยามไม่เสียเปล่าจริง ๆ
แม่เฒ่าหวังรีบลุกขึ้นชี้หน้าด่าทอหวังเว่ยซินทันที “นังเด็กชั่วร้าย...แต่แกกล้าให้ปู่กับย่า คุกเข่าให้เชียวหรือ”
หวังเว่ยซินก้าวเดินออกไปข้างหน้า ทั่วกายเรือนร่างไม่มีกลิ่นอายเด็กสาวเมื่อวันวาน ทุกกริยาแฝงความเย่อหยิ่งราวคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งแววตาเย็นชาคู่นั้นที่จ้องมองมาทำให้แม่เฒ่าหวังเผลอถอยหลังหนี
“ข้ามิได้บอกให้พวกท่านคุกเข่าเสียหน่อย เป็นพวกท่านที่กระทำเองคิดไปเอง” ขณะที่พูดหวังเว่ยซินก็กวาดตามองทุกคน นางยอมรับจากใจคนสกุลหวังล้วนมีใบหน้างดงามหมดจน ท่วงท่ากลิ่นอายคล้ายตระกูลใหญ่อยู่บ้าง มิน่าถึงหลอกผู้คนว่าตนเองเป็นคนมีศีลธรรมได้
ทว่าไม่มีมารดากับน้องชายของนางในกลุ่มนี้ แน่นอนล่ะ เรื่องดี ๆ พวกเขาไม่มีทางได้โผล่หน้าออกมา นางปรายสายตามองฮูหยินเฒ่าแล้วพูดขึ้น
“...อ่า...นี้ท่านหายป่วยแล้วหรือ..แล้วตอนนี้มารดากับน้องชายข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงที่เอ่ยถามแฝงความเย็นชา หวังจงพึ่งได้สติแต่ไม่ตอบคำถาม
“เว่ยซิน เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่” หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก
“นั่นสิ ข้าถูกพวกท่านขายไปแล้ว ควรจะอยู่หอนางโลมหรือเป็นบ่าวอุ่นเตียงในจวนขุนนาง ไม่ควรได้ออกมาเดินเพ่นพานสินะ” เสียงกระซิบพูดคุยเริ่มดังขึ้น
แม่เฒ่าหวังเดินออกมาเบื้องหน้า สำรวจหวังเว่ยซินดวงตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างมีเลศนัย “นี่เจ้าคงโชคดี มีคนเลี้ยงดูสินะ...ข้าค่อนสบายใจหน่อย..”
นางเอามือทาบอก ท่าทางดุจดั่งหญิงชราอบอุ่นมีเมตตา ทำให้หวังเว่ยซินรู้สึกขยะแขยง รีบบอกปัดคนเหล่านี้ออก “ใช่และตอนนี้ข้ามิใช่คนสกุลหวังแล้ว...พวกเราไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
หวังหนิงเผยแววเจ็บปวดระคนละอายใจ เอ่ยขึ้น “หวังเว่ยซิน สกุลหวังจำใจขายเจ้าเพราะจำเป็นต้องใช้เงินรักษาท่านแม่ หลายวันที่ผ่านมาพวกข้าทุกคนล้วนอยู่ด้วยความทุกข์ใจ นี่ไม่ใช่เพราะเป็นเพราะความกตัญญูหรือหรือ ส่งผลให้เจ้าจะได้มีโอกาสได้สวมชุดอาภรณ์งดงามอย่างนี้...เช่นนี้เจ้ารีบคารวะขอบคุณและขอขมาท่านแม่เสีย”
ลู่เมิ่งคิ้วกระตุกเล็กน้อย นี่มันตระกะเพี้ยนอะไร หากไม่โง่เขลาผู้ใดก็มองออก รักษาอาการป่วยนั่นล้วนเป็นข้ออ้าง ขายหลานสาวให้กับพ่อค้าทาส ไม่ต่างอะไรกับส่งไปไม่มีทางมีชีวิตที่ดีได้ เหตุใดยังกล้าเสนอหน้าพูดทวงบุญคุณ
“ฮ่า ฮ่า...พวกท่านช่างหน้าไม่อายสม่ำเสมอเสียจริง”
หวังจงหน้าเขียวคล้ำ “นั่งเด็กสามหาว นี่เจ้ากล้าด่าทอสกุลเดิมตนเองขนาดนี้เชียวหรือ..ชีวิตนี้เจ้าอย่าหวังจะได้ดี” หวังเว่ยซินอยากด่าอีกหลายประโยค แต่นางคิดว่าเท่านี้พอแล้ว จึงเอ่ยน้ำเสียงกดดันอีกครั้ง
“มิต้องให้ท่านเป็นกังวล...ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน..ข้าถามว่ามารดาข้าอยู่ที่ใด” คนสกุลหวังต่างชำเลืองมองกันปรึกษากันผ่านสายตา ทำให้หวังเว่ยซินรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางก้าวเท้าออกไปสีหน้าดุดันเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กน้อยคนเดิมที่เอ่ยพูดขึ้นเมื่อสักครู่จึงพูดขึ้น
“ท่านป้ามู่กับน้องอี้หยาง ย้ายออกไปแล้วขอรับตอนนี้พวกเขาพักอยู่เชิงเขาโน้น” หวังเว่ยซินผ่อนหายใจโล่งออก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เดินมานั่งเบื้องหน้าเด็กน้อย หยิบเงินออกมาถุงหนึ่งยื่นออกไป
“จี้เจิน..ข้าจ้างเจ้าเป็นผู้นำทาง...พาข้าไปหาท่านแม่ที”
จี้เจินเบิกตามองถุงเงินอย่างดีใจ
“ได้ ๆ พี่เว่ยซินตามข้ามาเลย”
คนสกุลหวังแม้ตอนนี้จะรู้สึกเสียหน้าแต่กระนั้นก็พากันเดินตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป
ตอนที่ 66 ขอแค่วันธรรมดาเรียบง่ายก็พอ ท้องฟ้าเริ่มทอแสงอ่อน หวังเว่ยซินเดินขึ้นไปยังระเบียงชมดาวอย่างช้า ๆ พลางมองทิวทัศน์โดยรอบ นางสร้างที่นี่ไว้เป็นที่พักผ่อนเบื้องล่างเป็นบึงขนาดใหญ่ที่ปลูกดอกบัวไว้เต็มสระล้อมรอบด้วยต้นดอกท้อ ทว่าเบื้องหน้าตอนนี้ทั้งดอกท้อและบัวยังไม่เติบโตเต็มที่ นางคาดฝันทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ในอีกหลายปีข้างหน้าด้วยสีหน้าอิ่มเอิบใจ นางยืนมองตะวันที่กำลังคล้อยต่ำและดับแสงลงเรื่อย ๆ มีเสียงฝีเท้าดั่งแว่วเข้ามาใกล้ แม้หวังเว่ยซินไม่ได้ชำเลืองมองก็จำได้ว่าเป็นฝีเท้าของผู้ใด นางกระพริบตาเพียงเล็กน้อยเพราะฝีเท้านั้นดูไม่หนักแน่นเช่นเคย หลีเซียวหยวนเห็นหวังเว่ยซินกำลังจ้องมองดอกไม้ที่กำลังปลิวไปตามแรงลม ใบหน้าของหญิงสาวดูอ่อนละมุนทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้น ชายหนุ่มเดินไปยืนนิ่งข้างหลังนางโน้มตัวโอบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด จุมพิตที่แก้มเบา ๆ ไม่เอ่ยวาจาหวังเว่ยซินจึงพูดขึ้น “ท่านมีเรื่องอยากจะกล่าวหรือไม่” ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบ หาได้เย็นชาจนปราศจากความรู้สึกทำให้หลีเซียวหยวนหายใจโล่งขึ้น เขาซุกหน้าเข้าไปแนบแอบอิง หญิงสาว
ตอนที่ 65 ตอบแทน ทุกครั้งที่กลับจากสำนักศึกษา หวังอี้หยางจะแวะไปคารวะมารดาก่อนเสมอ เรือนของมารดาจะเป็นเรือนหลักอยู่ข้างในลึกที่สุด ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คน หวังเว่ยซินได้สร้างสวนขนาดเล็กให้มารดาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์อย่างที่มารดาคุ้นชิน แม้จะเป็นเช่นนั้นกระนั้นมารดาก็ไม่ได้จับจอบเสียบขุดดินเอง ส่วนมากจะเป็นบ่าวไพร่ที่ช่วยกันดูแลเสียมากกว่า เมื่อหวังอี้หยางไปถึง บ่าวหน้าเรือนก็โค้งคำนับและเปิดประตูให้โดยไม่ได้เข้าไปรายงาน “เจ้าว่าปิ่นชิ้นนี้จะดูหรูหราเกินไปหรือไม่” เสียงมารดาเอ่ยพูดคุยกับบ่าวคนสนิท “ไม่หรอกเจ้าค่ะฮูหยิน...เถ้าแก่เจ้าของร้านเครื่องประดับยังกล่าวว่าเหมาะสมกับคุณหนูโจวชุนที่สุดเจ้าค่ะ” สีหน้าของหวังฮูหยินระบายไปด้วยความลังเล นางได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเบือนหน้ามาใบหน้าระบายยิ้มทันที “อี้หยาง มานี่สิ...เจ้ามาก็ดีแล้ว ช่วยแม่เลือกเครื่องประดับให้ชุนเอ๋อร์ที” อยู่ที่นี่มาหลายเดือนมิใช่ว่ามารดาไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แต่ทั้งหมดล้วนถูกปฏิเสธออกไป หวังอี้หยางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่า
ตอนที่ 64 ตัดได้ตัดไปแล้วเมื่อหวังเว่ยซินเดินมาถึงหน้าห้องบุปผาส่องจันทร์ สตรีชาวยุทธสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าโค้งศีรษะเปิดประตูพลางกล่าว “เชิญคุณหนูหวัง” หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งชันเขาเอนกายพิงระเบียง สวมผ้าคลุมบาง ปล่อยผมสลวยยาวดั่งน้ำตก ใบหน้างดงามเนียนลออดุจดั่งหยกชั้นดี เมื่อได้ยินฝีเท้านางเบือนหน้ามา ช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา หวังเว่ยซินสบสายตาเฉียบคมนั้นด้วยความรู้สึกนิ่งเฉยกล่าว “ท่านต้องการพบข้ามีเรื่องอันใด” นางแค่นเสียงเย้ยหยันแล้วยกขวดสุราในมือกรอกลงคอ กริยาที่แสดงช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์รูปร่างที่แสดงออก หวังเว่ยซินรอนางดื่มอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ข้าไม่ได้ต้องการอยากจะพบเจ้าเสียหน่อย” หวังเว่ยซินได้ยินคำนั้นก็เอ่ย “เช่นนี้ข้าขอตัว” เฟยอิงมองตามหลังแล้วพูดขึ้น “เหตุใดพี่เซียวต้องเลือกเจ้า เหตุใดไม่เป็นข้า...พี่ชายเคยให้คำสัญญาว่าจะดูแลข้าไปตลอดชีวิต...ข้าผิดอะไร ข้าไม่เคยผิดต่อพี่ชาย ข้าภักดีและเชื่อฟังพี่ชายมาโดยตลอด แล้วทำไมสิ่งที่ข้าได้รับถึงเป็นเช่นนี้ ฮื้อ ฮื้อ”
ตอนที่ 63 หัวใจพองโต วันเวลาผ่านไปอย่างราบรื่น หวังเว่ยซินรู้ดีว่าชีวิตตนเองมาถึงจุดนี้ได้ เพราะมีคนคอยคุ้มครองแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงถูกเลือกแต่กระนั้นนางจึงมุ่งมั่นทำความดีตอบแทน “พี่สาว...วันนี้มีแขกเข้าจองห้องพักเต็มยังไม่ถึงครึ่งวันเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของโจวชุนหาแฝงความลำบากใจมากกว่ายินดีหลังจากที่เจอลูกค้าเข้ามาแล้วแสดงอาการไม่พอใจหลายคนที่ไม่สามารถเข้าพักที่นี่ได้ หวังเว่ยซินจึงสั่งทำป้ายวางไว้หน้าร้านแจ้งให้ผู้ที่กำลังจะเข้ามาจองพักทราบก่อนว่าห้องพักเต็ม “ป้ายที่ให้ทำเสร็จ แล้วหรือยัง” “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ...แต่กระนั้นข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” หวังเว่ยซินหัวเราะ “หรือเราควรสร้างห้องพักเพิ่มดีหรือไม่” โจวชุนโบกมือพัลวัน “ไม่เอานะเจ้าค่ะ...หากมากไปกว่านี้ข้ากลัวว่าพวกเราจะควบคุมคนไม่ไหว” หวังเว่ยซินหยิบบัญชี โรงเตี๊ยวเว่ยซิน ขึ้นมาดูตัวเลขในบัญชีทำให้ยิ้มพราวอย่างพอใจพูดต่อ “ตอนนี้...พวกเราก็พอกำไรได้มากแล้ว เจ้าคิดว่าเราควรลดราคาอาหารดีหรือไม่” โจวชุนเบิกตากว้าง “พี่สาว ราคาอาหารตอนนี้ไม่
ตอนที่ 62 ดีเกินไป ภายในห้องรับรองเต็มไปด้วยหญิงสาวแต่งกายหรูหราจำนวนหนึ่ง โต๊ะตรงประธานมีหญิงสาววัยกลางคนงามดั่งบุปผาใบหน้าอิ่มเอิบเฉิดฉาย เด็กชายใบหน้าสะอาดหมดจดแต่งกายด้วยผ้าแพรไหมชั้นดีนั่งอยู่ข้างกาย หวังอี้หยางยืนน้อมตัวอ่อนน้อมพูดคุยด้วยสีหน้าสุภาพ กู้เฉียวจิงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอย่างออกรสชำเลืองมาเห็นหวังเว่ยซินเบิกตากว้างขึ้นกำลังจะลุกขึ้นไปต้อนรับก็ถูกสายตาของอีกฝ่ายสั่งให้นั่งกับที่ หวังเว่ยซินเร่งฝีเท้ามายืนเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยเสียงกระจ่างใส “คารวะกงฮูหยิน คารวะซือจือ ... ผู้น้อยขอบคุณท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน” แม้ว่าหวังเว่ยซินจะเป็นเพียงชาวบ้านไร้บรรดาศักดิ์ แต่เมื่อกู้เฉียวจิงให้ความสำคัญเหล่าอนุต่างรู้มารยาทลุกขึ้นยืนทำความเคารพตอบกู้เฉียวจิงคลี่ยิ้มจนกระทั่งไปถึงดวงตา “อย่าได้เกรงใจ ข้าเองก็ใคร่สนใจโรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน ได้ยินว่าเปิดกิจการวันแรกก็อยากจะมาร่วมยินดี โชคดีที่กู้ซวินเล่าว่าเป็นกิจการของสหายร่วมเรียน จึงได้ถือโอกาสนับความสัมพันธ์นี้มาที่นี่ เหล่าน้องสาวข้าเองก็อยากจะมาร่วมความครื้นเครงด
เวลาผ่านไปก็มาถึงฤกษ์ยามดีที่หวังเว่ยซินจะเปิดโรงเตี๊ยม ปัง! ปัง! ปัง! เสียงประทัดดังสนั่น ผู้คนจอแจมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เสียงเด็กในร้านตะโกนเสียงดัง “ไม่ต้องแย่งกัน มีเยอะขอรับ ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องแย่ง” หวังเว่ยซินยืนคู่กันกับหลีเซียวหยวนเบื้องหน้าโรงเตี๊ยม ใบหน้าของทั้งสองแม้จะดูเย็นชาทว่าก็แฝงความอบอุ่นอยู่จาง ๆ กลิ่นอายรอบกายดูคลายคลึงกันอย่างบอกไม่ถูก ชาวบ้านที่มาร่วมงานบางคนกระซิบพูดคุย “แสดงว่าข่าวที่บอกว่า โรงเตี๊ยมแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นของผู้บัญชาการหลี นับว่าเป็นเรื่องจริงสินะ” สตรีวัยกลางคนเขม็งตามองแล้วกดเสียงพูด “พูดให้มันเบา ๆ มิได้หรืออย่างไร จะเป็นของผู้ใดก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า...พวกเจ้าไม่รักชีวิตกันหรืออย่างไรถึงกล้าพูดลับหลังท่านผู้บัญชาการหลี” สตรีคนนั้นก็เอ่ยแย้ง “ข้าแค่ถาม มิได้กล่าวเรื่องไร้มารยาทเสียหน่อย” “จะอย่างไรข้าก็ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับพวกเจ้า” พูดเสร็จนางก็เดินออกไปต่อแถวรับคูปอง หวังเว่ยซินและหลีเซียวหยวนล้วนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ประสาทสัมผัสเฉียบแหลม