ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน
ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่าย
เมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน
“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว”
ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ”
“ขอรับท่านแม่”
หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตู
ภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น
“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที
“พวกเขาคงตามพี่เว่ยซินมา..นี่พี่เว่ยซินกลับมาแล้วนะ นั่นไงนางอยู่ในรถม้านั่น” หวังอี้หยางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ขณะนั้นรถม้าก็มาจอดตรงหน้าเรือนแล้วมีหญิงสาวงดงามแต่งกายหรูหราผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า พอเห็นใบหน้าเขาก็พยายามก้าวเท้าเดินออกไปด้วยความยากลำบาก เอ่ยถามน้ำเสียงสั่น
“พะ..พี่เว่ยซินจริงหรือ” เด็กชายเอ่ยถามเพราะคิดว่านี้คือความฝัน ไม่ทันได้มองดูให้ชัดอีกสักครั้งภาพตรงหน้าก็พร่ามัวไปหมดเพราะหยาดน้ำตา หวังเว่ยซินยิ้มอย่างอ่อนโยน นางเดินเข้าไปโอบกอดเด็กชาย “พี่กลับมา ..ท่านแม่เล่าท่านแม่อยู่ไหน”
อี้หยางกลืนก้อนสะอื้นลงคอเอามือปาดน้ำตาลวก ๆ พูด “ท่านแม่อยู่ในเรือน...พี่สาวรีบเข้าไปหาท่านแม่เถอะ ท่านล้มป่วยเพราะคิดมากเรื่องท่าน”
เด็กชายคว้ามือพี่สาวเข้าไปในเรือน หวังเว่ยซินยังไม่ก้าวเท้าตาม นางเบือนหน้ามายังลู่เมิ่งกล่าว “ท่านลู่...รบกวนท่านช่วยเฝ้าประตูเรือน อย่าให้ผู้ใดเข้าไปข้างในได้”
“ขอรับคุณหนู”
ฉับพลันคนของลู่เมิ่งก็เคลื่อนไหวออกมาเป็นกำแพงมนุษย์อยู่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว พวกสกุลหวังที่กำลังจะก้าวเท้าตามหวังเว่ยซินต่างชะงักและเงยหน้ามองอย่างหวาดกลัว หวังจงได้รับความอับอายอีกครั้ง เขาข่มความกลัวกล่าว “เรือนนี้เป็นของสกุลหวัง เหตุใดพวกข้าจะเข้าไปไม่ได้”
ลู่เมิ่งจ้องมองด้วยสายตาดุดัน กลิ่นอายแผ่ซานความอำมหิตออกมา ตอบห้วน “ข้ามิทราบ”
ริมฝีปากของหวังจงสั่นระริก ๆ ทว่าแม้จะเกรงกลัว แต่พวกเขาก็ยังใจดีสู้เสือ หันไปขอความเห็นใจจากชาวบ้านที่มามุงดู เสียงพูดคุยข้างนอกเริ่มโอนเอียงเข้าข้างสกุลหวัง หวังเว่ยซินไม่ได้สนใจ นางคุกเข่าข้างมารดา “ท่านแม่...ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
มือหยาบกระด้างของจือซือลูบไล้ไปยังใบหน้าเนียนของหวังเว่ยซินสั่นระริก ๆ นางจ้องมองบุตรสาวกลัวว่าภาพตรงหน้าจะหายไป เอ่ยเสียงแหบพร่า
“ซินเอ๋อร์ ลูกจริง ๆ ใช่ไหม”
“ท่านแม่ข้าเอง”
จือซือดึงบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอดร้องไห้โหเสียงดัง “ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน” ทำให้เสียงหน้าเรือนพลันเบาลง
ลู่เมิ่งยืนนิ่งเฝ้าประตูด้วยท่าทางดุดัน ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ทว่าหูกลับกำลังเอียงฟังเสียงข้างในเรือน
หวังเว่ยซินปล่อยให้มารดาร้องไห้ให้หน่ำใจ ก่อนจะพูดคุย เอ่ยเล่าเรื่องตกแต่งอย่างพิถีพิถันลงท้ายด้วยการขอร้องมารดาออกเดินทางไปด้วยกัน
“ท่านแม่...ไปกับข้าเถิด ที่นั้นข้ามีพร้อมสำหรับทุกอย่าง อี้หยางก็จะได้เล่าเรียนมิใช่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
จือซือหลังจากคลายความโคกเศร้าเริ่มมีสติ นางเหม่อมองบุตรสาว “ซินเอ๋อร์...ขอเพียงเจ้าอยู่อย่างมีสุขปลอดภัย แม่อยู่ที่นี่ได้”
หวังเว่ยซินส่ายหน้า “หากไม่อยู่ร่วมกันข้าก็ไม่อาจจะวางใจได้ ท่านแม่ที่นี่ยังมีสิ่งใดให้ท่านอาวรณ์อีกหรือ”
จือซือสะอึกในลำคอ นางไตร่ตรองภายในใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “..แม่เข้าใจแล้ว เช่นนั้นแม่จะไปกับเจ้า อี้หยางไปเก็บข้าวของ”
“ขอรับท่านแม่”
หวังเว่ยซินกวาดสายตามองภายในบ้านอันทรุดโทรม สั่นสะท้านในใจนอกจากอาภรณ์ที่สวมใส่ ล้วนไม่มีสิ่งที่ต้องเก็บสักอย่าง “เก็บแค่สิ่งของสำคัญเถอะเจ้าค่ะ”
หวังอี้หยางเห็นสายตาของพี่สาวก็เข้าใจความหมาย เขาจึงผงกหัวก่อนจะเข้าไปในห้องนอน
ประตูเรือนถูกเปิดออกมา ปรากฏภาพหวังเว่ยซินที่กำลังประครองจือซือออกมา แม้ดวงตาหงส์กับรูปร่างอ่อนซ้อยพวกชาวบ้านจะคุ้นชิน ทว่าความเด็ดขาดที่แฝงออกมาทางแววตาของหวังเว่ยซินทำให้พวกเขาตกตะลึงไม่กล้าเอ่ยพูดส่งเดช
“นี่พวกเจ้าจะไปไหน” หวังจงไม่ยอมแพ้ วันนี้พวกเขาควรจะได้รับผลประโยชน์บ้าง
“ข้าจะพามารดากับน้องชายไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วย” หวังเว่ยซินตอบอย่างไม่ปิดปัง นางวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้ายิ้มบาง ๆ ชำเลืองมองไปยังลู่เมิ่ง
“ท่านลู่ ช่วยยกสิ่งที่ข้าเตรียมเอาไว้ออกมาด้วยเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ไม่รอให้ลู่เมิ่งสั่งการ พวกเขารีบนำออกมาทันที หวังจงและฮูหยินผู้เฒ่าต่างแสดงอาการตื่นเต้น คาดหวังหลายอย่างในใจ ยิ่งเมื่อเปิดหีบออกพวกเขาก็เบิกตามองแววตาเปี่ยมด้วยความปิติยินดี ก้าวเท้าออกไปแต่ไปทันได้แตะต้องหีบก็ถูกกระบี่ขวางทางเอาไว้ หวังหนิงรีบพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ซินเอ๋อร์ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นเด็กมีน้ำใจ ย่อมแบ่งปั่นวาสนาในครั้งนี้เป็นแน่”
รอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก ดูแฝงเจตนาร้ายชัดเจน ทำให้หวังหนิงที่กำลังจะพูดต่อหยุดชะงัก “เจ้ายิ้มเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร”
หวังเว่ยซินก้าวออกไปก้มหยิบเครื่องประดับชุดหนึ่งออกมา แล้วเดินออกไปยังเบื้องหน้าเด็กสาวคนหนึ่ง “อิ้จิน...ข้าจำได้ได้ว่าเจ้าชอบผีเสื้อ”
อี้จินตกตะลึงไม่คิดว่า หวังเว่ยซินจะเอ่ยและมอบของให้ตน นางมองปิ่นหยกแกะสลักผีเสื้อกำลังโบยบินอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “เว่ยซิน มันล้ำค่าเกินไป ข้ารับไม่ได้หรอก” หวังเว่ยซินดันเครื่องประดับให้ต่อ “ถือว่าเป็นของที่ข้ามอบให้เจ้า ตอบแทนที่เคยช่วยเหลือข้าตลอดมา”
จากนั้นนางก็หันกลับไปหยิบผ้านวมผืนใหญ่แล้วเดินไปยังหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “ป้าจาง ผ้านวมผืนนี้ตอบแทนที่ท่านให้ความอบอุ่นกับข้า”
ป้าจางมองดูผ้านวมในมือหวังเว่ยซินไม่กล้าปฏิเสธ หน้าหนาวแต่ละปีช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน
“ซินเอ๋อร์ เจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้วหรือ” ป้าจางเอ่ยถาม
“ข้ามิทราบ” จากนั้นนางก็หันไปหยิบสิ่งของอีก ชาวบ้านมีจำนวนมากขึ้น ทุกคนต่างได้รับสิ่งที่ควรได้รับแม้กระทั่ง จี้เจินก็ยังได้รับเงินเป็นค่าเล่าเรียนเพิ่มอีกสิบตำลึง
ลู่เมิ่งปรายตามอง หวังเว่ยซินที่กำลังมอบของให้เหล่าชาวบ้าน นางไม่เพียงมอบให้เฉย ๆ ยังเอ่ยวาจาอีกหลายประโยคแสดงความสนิทสนมคุ้นเคย ชายหนุ่มตั้งคำถาม
นางกำลังแสดงให้เขาดูหรือให้ใครดูกันแน่
คนสกุลหวังที่คาดหวังว่าตนเองจะได้รับสีหน้าเปลี่ยนจากยิ้มระรื่นเป็นเขียวคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ หวังเว่ยซินมอบสิ่งของออกไปจนเกือบหมดสิ้น แล้ว!! หวังจงทนไม่ไหวเอ่ยขึ้น
“หวังเว่ยซิน เจ้าทำเช่นนี้หมายความอย่างไร เจ้ากำลังเหยียบหยามพวกข้าหรือ”
หวังเว่ยซินเค่นยิ้มในลำคอ ในที่สุดก็รู้ตัวเสียที
“มิใช่ข้าบอกไปแล้วหรือทุกคนที่ข้ามอบให้ล้วนมีเหตุผลนะ” ชาวบ้านที่ได้ผลประโยชน์ต่างหยักหน้า
“เช่นนั้นแล้วของข้าเล่า” หวังหนิงโวยวายขึ้น
“ฮ่า ฮ่า...เช่นนั้นท่านลองกล่าวมาเถิดว่าข้าควรมอบให้ท่านด้วยเหตุผลใด” หวังหนิงชะงัก ทวนความทรงจำ แต่ภาพที่ประกฏออกมานางกลับไม่กล้าพูดออกมา เสียงตนเองด่าทอหวังเว่ยซินทุกวี่วันผุดขึ้นมา เสียงตบตีอีกฝ่าย ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ แต่นางยังแถออกไป
“แล้วท่านแม่เล่า มิใช่ท่านแม่หรือที่มอบเงินให้แม่เจ้าไปซื้อย่ามารักษาเจ้าตอนป่วย อีกทั้งเรือนและอาหารที่เลี้ยงเจ้าจนเติบโตมาจนบัดนี้ เจ้าจะไม่สำนึกบุญคุณสักนิดหรือ”
วาจานี้ หวังเว่ยซินย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเอ่ย นางจึงยกหีบเงินออกมา จากนั้นก็ก้าวออกไป ไม่รู้ว่านางสะดุดอะไรทำให้หีบเงินหล่นออกจากมือ เงินตำลึงจำนวนประมาณห้าสิบตำลึงหล่นกระจายออกมา
“นี่เจ้า นี่เจ้า จงใจใช่หรือไม่” หวังจงชี้หน้าหวังเว่ยซินไม่ทันได้ด่าอะไร ก็หันไปเห็นบุตรหลานของตนเองช่วยกันเก็บเงินดังกล่าว มีเงินก้อนหนึ่งกลิ้งมาที่เท้าของเขา หวังจงจ้องมองหวังเว่ยซินสั่งให้นางก้มลงไปเก็บ แน่นอนว่านางไม่ทำ..ในจังหวะนั้นหญิงรับใช้ที่หวังเว่ยซินจ้างมาชั่วคราวก็โผล่ออกมาทำทีจะก้มลงเก็บเงินด้วยความโลภหวังจงไม่ทันคิด เขารีบก้มลงเก็บเงินนั่นทันที
หึ! หวังเว่ยซินยิ้มอย่างพอใจ นับว่าช่วยทำให้ภาพลักษณ์สกุลหวังลดลงไปมาก เอาเท่านี้ก็พอ
นางหันไปประครองให้มารดาขึ้นรถม้า หวังหนิงรีบตะโกนทันที “หวังเว่ยซิน เงินพวกนี้ข้าดูแล้วน่าจะไม่กี่สิบตำลึง เจ้าตอบแทนสกุลหวังเท่านี้หรือ”
จือซือกำลังจะเอ่ยปาก เสียงหัวเราะเยาะของหวังเว่ยซินทำให้นางชะงักไม่กล้าพูด
“ด้วยการเลี้ยงดูอย่างที่พวกเจ้าทำ ชาวบ้านทุกคนต่างรับรู้ ไม่รวมที่ท่านเมตตาขายข้าให้คนพ่อค้าค้าทาส ไล่มารดาและน้องชายข้ามาอยู่ที่เก่าซอมซ่อ ท่านคิดว่าพวกท่านควรได้รับเท่าไร” น้ำเสียงท้าทายแฝงความขบขันขมขืน
ชาวบ้านที่ได้รับผลประโยชน์ต่างหันส่งสายตา เย้ยหยันสกุลหลังทำให้หวังจงไม่กล้าเอ่ยวาจา
จือซือ ย่อคารวะบอกลาทุกคนอีกครั้ง “ทุกท่านโปรดดูแลสุขภาพด้วย” จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไป หวังอี้หยางหันไปลาสหายแล้วค่อยขึ้นรถม้าตามมารดา
หวังเว่ยซินยิ้มน้อย ๆ โค้งศรีษะ แล้วหันไปพยักหน้าให้ลู่เมิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองเข้าของต่าง ๆ ที่อยู่ในมือชาวบ้านด้วยสายตาเคียดแค้น
มันควรเป็นของข้า มันควรเป็นของข้า
นางก้าวเท้าหวังจะเข้าไปคุยกับหวังเว่ยซินก็ถูกคนของ ลู่เมิ่งขวางเอาไว้
หวังเว่ยซินเลิกผ้าม่านออกมาสบตาเหยียดหยามฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง เช่นนี้ เป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด
พวกคนโลภเมื่อต้องสูญเสียสิ่งที่ตนเองควรจะได้ ทุกราตรี มิอาจนอนหลับสนิท ยามเข้าสู่ห้วงฝันก็จะเพ้อถึงของที่ถูกแย่งชิงไป
ตอนที่ 66 ขอแค่วันธรรมดาเรียบง่ายก็พอ ท้องฟ้าเริ่มทอแสงอ่อน หวังเว่ยซินเดินขึ้นไปยังระเบียงชมดาวอย่างช้า ๆ พลางมองทิวทัศน์โดยรอบ นางสร้างที่นี่ไว้เป็นที่พักผ่อนเบื้องล่างเป็นบึงขนาดใหญ่ที่ปลูกดอกบัวไว้เต็มสระล้อมรอบด้วยต้นดอกท้อ ทว่าเบื้องหน้าตอนนี้ทั้งดอกท้อและบัวยังไม่เติบโตเต็มที่ นางคาดฝันทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ในอีกหลายปีข้างหน้าด้วยสีหน้าอิ่มเอิบใจ นางยืนมองตะวันที่กำลังคล้อยต่ำและดับแสงลงเรื่อย ๆ มีเสียงฝีเท้าดั่งแว่วเข้ามาใกล้ แม้หวังเว่ยซินไม่ได้ชำเลืองมองก็จำได้ว่าเป็นฝีเท้าของผู้ใด นางกระพริบตาเพียงเล็กน้อยเพราะฝีเท้านั้นดูไม่หนักแน่นเช่นเคย หลีเซียวหยวนเห็นหวังเว่ยซินกำลังจ้องมองดอกไม้ที่กำลังปลิวไปตามแรงลม ใบหน้าของหญิงสาวดูอ่อนละมุนทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้น ชายหนุ่มเดินไปยืนนิ่งข้างหลังนางโน้มตัวโอบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด จุมพิตที่แก้มเบา ๆ ไม่เอ่ยวาจาหวังเว่ยซินจึงพูดขึ้น “ท่านมีเรื่องอยากจะกล่าวหรือไม่” ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบ หาได้เย็นชาจนปราศจากความรู้สึกทำให้หลีเซียวหยวนหายใจโล่งขึ้น เขาซุกหน้าเข้าไปแนบแอบอิง หญิงสาว
ตอนที่ 65 ตอบแทน ทุกครั้งที่กลับจากสำนักศึกษา หวังอี้หยางจะแวะไปคารวะมารดาก่อนเสมอ เรือนของมารดาจะเป็นเรือนหลักอยู่ข้างในลึกที่สุด ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คน หวังเว่ยซินได้สร้างสวนขนาดเล็กให้มารดาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์อย่างที่มารดาคุ้นชิน แม้จะเป็นเช่นนั้นกระนั้นมารดาก็ไม่ได้จับจอบเสียบขุดดินเอง ส่วนมากจะเป็นบ่าวไพร่ที่ช่วยกันดูแลเสียมากกว่า เมื่อหวังอี้หยางไปถึง บ่าวหน้าเรือนก็โค้งคำนับและเปิดประตูให้โดยไม่ได้เข้าไปรายงาน “เจ้าว่าปิ่นชิ้นนี้จะดูหรูหราเกินไปหรือไม่” เสียงมารดาเอ่ยพูดคุยกับบ่าวคนสนิท “ไม่หรอกเจ้าค่ะฮูหยิน...เถ้าแก่เจ้าของร้านเครื่องประดับยังกล่าวว่าเหมาะสมกับคุณหนูโจวชุนที่สุดเจ้าค่ะ” สีหน้าของหวังฮูหยินระบายไปด้วยความลังเล นางได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเบือนหน้ามาใบหน้าระบายยิ้มทันที “อี้หยาง มานี่สิ...เจ้ามาก็ดีแล้ว ช่วยแม่เลือกเครื่องประดับให้ชุนเอ๋อร์ที” อยู่ที่นี่มาหลายเดือนมิใช่ว่ามารดาไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แต่ทั้งหมดล้วนถูกปฏิเสธออกไป หวังอี้หยางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่า
ตอนที่ 64 ตัดได้ตัดไปแล้วเมื่อหวังเว่ยซินเดินมาถึงหน้าห้องบุปผาส่องจันทร์ สตรีชาวยุทธสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าโค้งศีรษะเปิดประตูพลางกล่าว “เชิญคุณหนูหวัง” หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งชันเขาเอนกายพิงระเบียง สวมผ้าคลุมบาง ปล่อยผมสลวยยาวดั่งน้ำตก ใบหน้างดงามเนียนลออดุจดั่งหยกชั้นดี เมื่อได้ยินฝีเท้านางเบือนหน้ามา ช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา หวังเว่ยซินสบสายตาเฉียบคมนั้นด้วยความรู้สึกนิ่งเฉยกล่าว “ท่านต้องการพบข้ามีเรื่องอันใด” นางแค่นเสียงเย้ยหยันแล้วยกขวดสุราในมือกรอกลงคอ กริยาที่แสดงช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์รูปร่างที่แสดงออก หวังเว่ยซินรอนางดื่มอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ข้าไม่ได้ต้องการอยากจะพบเจ้าเสียหน่อย” หวังเว่ยซินได้ยินคำนั้นก็เอ่ย “เช่นนี้ข้าขอตัว” เฟยอิงมองตามหลังแล้วพูดขึ้น “เหตุใดพี่เซียวต้องเลือกเจ้า เหตุใดไม่เป็นข้า...พี่ชายเคยให้คำสัญญาว่าจะดูแลข้าไปตลอดชีวิต...ข้าผิดอะไร ข้าไม่เคยผิดต่อพี่ชาย ข้าภักดีและเชื่อฟังพี่ชายมาโดยตลอด แล้วทำไมสิ่งที่ข้าได้รับถึงเป็นเช่นนี้ ฮื้อ ฮื้อ”
ตอนที่ 63 หัวใจพองโต วันเวลาผ่านไปอย่างราบรื่น หวังเว่ยซินรู้ดีว่าชีวิตตนเองมาถึงจุดนี้ได้ เพราะมีคนคอยคุ้มครองแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงถูกเลือกแต่กระนั้นนางจึงมุ่งมั่นทำความดีตอบแทน “พี่สาว...วันนี้มีแขกเข้าจองห้องพักเต็มยังไม่ถึงครึ่งวันเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของโจวชุนหาแฝงความลำบากใจมากกว่ายินดีหลังจากที่เจอลูกค้าเข้ามาแล้วแสดงอาการไม่พอใจหลายคนที่ไม่สามารถเข้าพักที่นี่ได้ หวังเว่ยซินจึงสั่งทำป้ายวางไว้หน้าร้านแจ้งให้ผู้ที่กำลังจะเข้ามาจองพักทราบก่อนว่าห้องพักเต็ม “ป้ายที่ให้ทำเสร็จ แล้วหรือยัง” “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ...แต่กระนั้นข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” หวังเว่ยซินหัวเราะ “หรือเราควรสร้างห้องพักเพิ่มดีหรือไม่” โจวชุนโบกมือพัลวัน “ไม่เอานะเจ้าค่ะ...หากมากไปกว่านี้ข้ากลัวว่าพวกเราจะควบคุมคนไม่ไหว” หวังเว่ยซินหยิบบัญชี โรงเตี๊ยวเว่ยซิน ขึ้นมาดูตัวเลขในบัญชีทำให้ยิ้มพราวอย่างพอใจพูดต่อ “ตอนนี้...พวกเราก็พอกำไรได้มากแล้ว เจ้าคิดว่าเราควรลดราคาอาหารดีหรือไม่” โจวชุนเบิกตากว้าง “พี่สาว ราคาอาหารตอนนี้ไม่
ตอนที่ 62 ดีเกินไป ภายในห้องรับรองเต็มไปด้วยหญิงสาวแต่งกายหรูหราจำนวนหนึ่ง โต๊ะตรงประธานมีหญิงสาววัยกลางคนงามดั่งบุปผาใบหน้าอิ่มเอิบเฉิดฉาย เด็กชายใบหน้าสะอาดหมดจดแต่งกายด้วยผ้าแพรไหมชั้นดีนั่งอยู่ข้างกาย หวังอี้หยางยืนน้อมตัวอ่อนน้อมพูดคุยด้วยสีหน้าสุภาพ กู้เฉียวจิงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอย่างออกรสชำเลืองมาเห็นหวังเว่ยซินเบิกตากว้างขึ้นกำลังจะลุกขึ้นไปต้อนรับก็ถูกสายตาของอีกฝ่ายสั่งให้นั่งกับที่ หวังเว่ยซินเร่งฝีเท้ามายืนเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยเสียงกระจ่างใส “คารวะกงฮูหยิน คารวะซือจือ ... ผู้น้อยขอบคุณท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน” แม้ว่าหวังเว่ยซินจะเป็นเพียงชาวบ้านไร้บรรดาศักดิ์ แต่เมื่อกู้เฉียวจิงให้ความสำคัญเหล่าอนุต่างรู้มารยาทลุกขึ้นยืนทำความเคารพตอบกู้เฉียวจิงคลี่ยิ้มจนกระทั่งไปถึงดวงตา “อย่าได้เกรงใจ ข้าเองก็ใคร่สนใจโรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน ได้ยินว่าเปิดกิจการวันแรกก็อยากจะมาร่วมยินดี โชคดีที่กู้ซวินเล่าว่าเป็นกิจการของสหายร่วมเรียน จึงได้ถือโอกาสนับความสัมพันธ์นี้มาที่นี่ เหล่าน้องสาวข้าเองก็อยากจะมาร่วมความครื้นเครงด
เวลาผ่านไปก็มาถึงฤกษ์ยามดีที่หวังเว่ยซินจะเปิดโรงเตี๊ยม ปัง! ปัง! ปัง! เสียงประทัดดังสนั่น ผู้คนจอแจมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เสียงเด็กในร้านตะโกนเสียงดัง “ไม่ต้องแย่งกัน มีเยอะขอรับ ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องแย่ง” หวังเว่ยซินยืนคู่กันกับหลีเซียวหยวนเบื้องหน้าโรงเตี๊ยม ใบหน้าของทั้งสองแม้จะดูเย็นชาทว่าก็แฝงความอบอุ่นอยู่จาง ๆ กลิ่นอายรอบกายดูคลายคลึงกันอย่างบอกไม่ถูก ชาวบ้านที่มาร่วมงานบางคนกระซิบพูดคุย “แสดงว่าข่าวที่บอกว่า โรงเตี๊ยมแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นของผู้บัญชาการหลี นับว่าเป็นเรื่องจริงสินะ” สตรีวัยกลางคนเขม็งตามองแล้วกดเสียงพูด “พูดให้มันเบา ๆ มิได้หรืออย่างไร จะเป็นของผู้ใดก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า...พวกเจ้าไม่รักชีวิตกันหรืออย่างไรถึงกล้าพูดลับหลังท่านผู้บัญชาการหลี” สตรีคนนั้นก็เอ่ยแย้ง “ข้าแค่ถาม มิได้กล่าวเรื่องไร้มารยาทเสียหน่อย” “จะอย่างไรข้าก็ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับพวกเจ้า” พูดเสร็จนางก็เดินออกไปต่อแถวรับคูปอง หวังเว่ยซินและหลีเซียวหยวนล้วนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ประสาทสัมผัสเฉียบแหลม