“คุณหนูหวัง...ถึงโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ”
เสียงพ่อบ้านเฉิงเอ่ยเรียกอยู่นอกรถม้าด้วยเสียงนอบน้อม พอหวังเว่ยซินเลิกผ้าม่านออกมา ก็เจอป้ายขนาดใหญ่
หอสุราชิงเห่อ โรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
หวังเว่ยซินถอนหายใจ มิต้องสงสัย คงไม่ได้เริ่มต้นแบบชีวิตสตรีชาวบ้านทั่วไปเสียแล้ว นางก้าวลงรถม้า พ่อบ้านเฉิงก็เอ่ยบอก “นี่คือเอกสารของท่านขอรับ เมื่อสักครู่คนเอามาส่งแล้ว”
“รบกวนแล้ว ขอบคุณพ่อบ้านเฉิงมาก”
“มิกล้า มิกล้า โรงเตี๊ยมนี้ท่านจะอยู่กี่คืนก็ได้ขอรับ ข้าได้สั่งเถ้าแก่เอาไว้ ให้ไปเก็บที่จวน”
หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ จากนั้นก็เอ่ย “ท่านพ่อบ้านมีภารกิจมากมาย ขอมิอาจรบกวนนาน ส่งข้าเท่านี้พอ”
พ่อบ้านเฉิงถูกกำชับว่าอย่าขัดใจคนเบื้องหน้าเด็ดขาด ก็รีบขานรับทันที “มิกล้า มิกล้า เช่นนั้นบ่าวขอตัว”
“เดินทางดี ๆ เจ้าค่ะ”
จากนั้นเสี่ยวเอ้อก็มารับหน้าต่อ “คุณหนูเชิญด้านในเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านจะไปยังห้องพักหรือว่านั่งผ่อนคลายที่ระเบียงชั้นสองก่อนดีเจ้าคะ”
“ขอที่นั่งตรงระเบียงชั้นสองก่อน”
“เชิญคุณหนูตามข้ามา”
ขณะกำลังนั่งลงนางก็ชำเลืองหางตาดูบุรุษชุดครามผู้หนึ่ง
ผ่านไปสามปี คนผู้นี้ยังคงเหมือนเดิม
นับว่าสมกับโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่ง เบื้องล่างเป็นแม่น้ำประดับโคมไฟงดงาม ด้านข้างมีผู้คนเดินขวักไขว่ วิวทิศทัศน์ล้วนจรรโลงใจ
“คุณหนูจะสั่งอาหารว่างหรือไม่เจ้าคะ”
หากกู้เฉียวจิงไม่ได้จ่ายเงินนางคนจะนอนไม่หลับ ทำให้สบายใจสักหน่อย หวังเว่ยซินจึงพูดขึ้น “เจ้าเลือกของว่างมาให้ข้าสักสองสามอย่าง อ่า..ขอสุราชั้นเลิศด้วยหากมีหลากหลายแบบก็เอามาอย่างละขวด”
“ได้เจ้าค่ะ...คุณหนูได้โปรดรอสักครู่”
เพียงครู่เดียวทั้งสุราของว่างก็มาเรียงเต็มโต๊ะ หวังเว่ยซินหยิบขนมขึ้นมาทาน รสชาติอร่อยกลอมกล่อม
สุรา ร่างกายนี้จะรับได้แค่ไหนนะ ค่อย ๆ ทานดีกว่า
หลังจากยกจอกสุราขึ้นหลายครั้ง ก็ปรากฏเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสง่างามดุจดั่งนักปราชญ์ เมื่อสบตากับหวังเว่ยซิน เขาก็คุกเข่าลงคารวะหวังเว่ยซินอย่างเต็มพิธีการ
หวังเว่ยซินมิห้าม นางปรายตามองเด็กเบื้องหน้าด้วยสายตาอบอุ่น
"ผู้เยาว์คารวะท่านน้า...”
“แม่ให้เจ้ามาหรือ”
“ขอรับ” ช่างเป็นเด็กที่เชื่อฟังมารดายิ่งนัก น่ารักไม่ไหว
“อืม...หลายปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ล้วนดีกว่าแย่ขอรับ”
“ดีแล้ว ดีแล้ว...ในเมื่อมาถึงแล้วก็กลับเถอะ”
“ถ้าเช่นนั้นผู้เยาว์ไม่รบกวนท่านน้า ผู้เยาว์ขอตัว”
หวังเว่ยซินพยักหน้าอย่างอ่อนโยน พอกู้ซวินลับตาไป นางก็หัวเราะเบา ๆ พริบตานางจากไปแค่หนึ่งวัน ที่นี่กลับผ่านไปถึงสามปี ช่วงเวลาเช่นนี้ทำให้อดทอดถอนใจไม่ได้ เวลาไม่คอยใครอยากทำอะไรก็ทำ หวังเว่ยซินรินสุราหลายอีกหลายจอกทันที
ดื่มสุราไปหลายจอก ใบหน้าของหวังเว่ยซินก็เริ่มแดงระเรือ นางหรี่ตามองบุรุษในชุดครามนั่นอีกครั้ง จากนั้นก็ยกขวดสุรา เดินไปกำลังจะนั่งเบื้องหน้า กระบี่แหลมคมอันหนึ่งก็ขวาง
จางเคอเอ่ยเสียงข่มขู่ “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นสตรี ไม่รู้ความ..หากยังอยากมีชีวิตถอยไปซะ”
หวังเว่ยซินหรี่ตามอง แล้วหันหน้าไปยังหลีเซียวหยวน
“ท่านมิอยากรู้เรื่องของชาวบ้านแล้วหรือ วันนี้ที่มาของข้าแปลกประหลาดยิ่งนัก หากได้พูดคุยตอนเมามาย อาจจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ดีกว่าฟังเสียงกระซิบพูดคุยเสียอีกนะ”
หลีเซียวหยวนส่งสายตาให้จางเคอถอยไป หวังเว่ยซินจึงนั่งลงพูดขึ้น “เหตุใดท่านยังอยู่ในตำแหน่งเดิม สามปีที่ผ่านมาไม่มีผลงานเลยหรือ...อ่า ข้าลืมไป ผลงานของท่านย่อมมีอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มแค่นเสียงเย็นชาถาม
“เจ้าเป็นตัวอะไร นกต่อหรือ?”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้น ไม่ใส่ใจกับน้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมกล่าวยียวน “ข้าเป็นนักฆ่าที่เกือบจะได้เป็นหญิงคณิกา แต่ว่าซือจือหงอี้กงกลับเรียกข้าว่า ท่านน้า ...อ่า..น่าสงสัยจริง ข้าเป็นตัวอะไรกันแน่”
คำพูดช่างยัวยุให้อีกฝ่ายชักกระบี่ แววตาของหลีเซียวหยวนเริ่มเข้มขึ้น หวังเว่ยซินจึงพูดต่อ “ท่านอย่าทำหน้าดุนักสิ ข้านั่งตั้งนานให้ท่านมาเกี้ยวพา...เหตุใดท่านจึงเปลี่ยนไปแล้ว”
เหตุใดจึงเปลี่ยนไป
หลีเซียวหยวนยิ้มที่มุมปาก ปรับสีหน้าทันทีกลายเป็นบุรุษเจ้าสำราญ “ข้าเห็นว่าแม่นางอ่อนเยาว์เกินไป จึงมิกล้าหยอกล้อ”
หวังเว่ยซินหรี่ตามอง “ท่านมีคุณธรรมตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“สักพัก” เสียงตอบห้วนอย่างไม่ใส่ใจ
หลีเซียวหยวนมองเด็กสาวตรงเบื้องหน้า เหตุใดพูดคุยกับเขาผ่อนคลายเช่นนี้ หวังเว่ยซินยิ้มให้อีกฝ่ายแบบมีเลศนัย
คนผู้นี้เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องเกินคน
สืบเลย สืบเข้าไป
เรื่องของข้ากี่ชาติท่านก็สืบไม่ได้หรอก
ฮ่า ฮ่า เห็นหน้าประหลาดใจคิดไม่ตกของหลีเซียวหยวน ก็รู้สึกเบิกบานนัก
จากนั้นนางก็ขอตัว “ข้าง่วงแล้ว...ขอไปนอนก่อน”
พอนางหายลับตาไป หลีเซียวหยวนก็เอ่ยถามจางเคอ
“มีข้อมูลที่ผิดปกติหรือไม่”
องค์รักษ์ส่ายหน้า “ไม่ขอรับ แต่คงต้องไปสืบที่หมู่บ้านอี้จือต่อ ว่านางเป็นตัวจริงหรือเปล่า”
หลีเซียวหยวนพยักหน้า ทวนแววตาของเด็กสาวเมื่อสักครู่อีกครั้ง อย่างไรก็ต้องสืบให้กระจ่างใจ
ฟ้ายังไม่สว่างหวังเว่ยซินก็เตรียมออกเดินทาง นางจ้างรถม้าและคนคุ้มกันจำนวนหนึ่งออกเดินทางด้วย
ไม่รู้ปานนี้มารดาและน้องชายจะเป็นอย่างไรบ้าง นางร้องไห้ปานจะขาดใจตอนเห็นนางถูกจับขึ้นรถม้า ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“เร่งเดินทางสักหน่อยนะเจ้าคะ” นางหันไปกำชับคนขับรถม้า เมื่อนางขึ้นรถม้าเรียบร้อย ก็เริ่มออกเดินทาง
ขณะออกประตูเมืองหลวง นางก็เลิกผ้าม่านเปิดขึ้นมา
“แล้วข้าจะกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้จะมาในฐานะพี่สาว...”
จากนั้นนางก็ปิดผ้าม่านลง ทบทวนถึงน้องชายคนนี้
หวังอี้หยาง บุคลิคท่าทางกริยาคล้ายกับกู้ซวินอยู่บ้าง เช่นนั้น ข้าจะปั้นเขาให้เป็นจอหงวน มาดูกันว่า
พี่สาวจอหงวนจะง่ายหรือไม่ง่าย
รถม้าเคลื่อนออกห่างประตูเมืองเรื่อย ๆ หลีเซียวหยวนยืนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ นัยน์ตาครุ่นคิดไม่บ่งบอกอารมณ์
วัฏจักรหมุนเวียนผันเปลี่ยนไปได้ทุกทางอย่างไม่หยุด
การเดินใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ตอนที่ 66 ขอแค่วันธรรมดาเรียบง่ายก็พอ ท้องฟ้าเริ่มทอแสงอ่อน หวังเว่ยซินเดินขึ้นไปยังระเบียงชมดาวอย่างช้า ๆ พลางมองทิวทัศน์โดยรอบ นางสร้างที่นี่ไว้เป็นที่พักผ่อนเบื้องล่างเป็นบึงขนาดใหญ่ที่ปลูกดอกบัวไว้เต็มสระล้อมรอบด้วยต้นดอกท้อ ทว่าเบื้องหน้าตอนนี้ทั้งดอกท้อและบัวยังไม่เติบโตเต็มที่ นางคาดฝันทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ในอีกหลายปีข้างหน้าด้วยสีหน้าอิ่มเอิบใจ นางยืนมองตะวันที่กำลังคล้อยต่ำและดับแสงลงเรื่อย ๆ มีเสียงฝีเท้าดั่งแว่วเข้ามาใกล้ แม้หวังเว่ยซินไม่ได้ชำเลืองมองก็จำได้ว่าเป็นฝีเท้าของผู้ใด นางกระพริบตาเพียงเล็กน้อยเพราะฝีเท้านั้นดูไม่หนักแน่นเช่นเคย หลีเซียวหยวนเห็นหวังเว่ยซินกำลังจ้องมองดอกไม้ที่กำลังปลิวไปตามแรงลม ใบหน้าของหญิงสาวดูอ่อนละมุนทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้น ชายหนุ่มเดินไปยืนนิ่งข้างหลังนางโน้มตัวโอบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด จุมพิตที่แก้มเบา ๆ ไม่เอ่ยวาจาหวังเว่ยซินจึงพูดขึ้น “ท่านมีเรื่องอยากจะกล่าวหรือไม่” ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบ หาได้เย็นชาจนปราศจากความรู้สึกทำให้หลีเซียวหยวนหายใจโล่งขึ้น เขาซุกหน้าเข้าไปแนบแอบอิง หญิงสาว
ตอนที่ 65 ตอบแทน ทุกครั้งที่กลับจากสำนักศึกษา หวังอี้หยางจะแวะไปคารวะมารดาก่อนเสมอ เรือนของมารดาจะเป็นเรือนหลักอยู่ข้างในลึกที่สุด ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คน หวังเว่ยซินได้สร้างสวนขนาดเล็กให้มารดาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์อย่างที่มารดาคุ้นชิน แม้จะเป็นเช่นนั้นกระนั้นมารดาก็ไม่ได้จับจอบเสียบขุดดินเอง ส่วนมากจะเป็นบ่าวไพร่ที่ช่วยกันดูแลเสียมากกว่า เมื่อหวังอี้หยางไปถึง บ่าวหน้าเรือนก็โค้งคำนับและเปิดประตูให้โดยไม่ได้เข้าไปรายงาน “เจ้าว่าปิ่นชิ้นนี้จะดูหรูหราเกินไปหรือไม่” เสียงมารดาเอ่ยพูดคุยกับบ่าวคนสนิท “ไม่หรอกเจ้าค่ะฮูหยิน...เถ้าแก่เจ้าของร้านเครื่องประดับยังกล่าวว่าเหมาะสมกับคุณหนูโจวชุนที่สุดเจ้าค่ะ” สีหน้าของหวังฮูหยินระบายไปด้วยความลังเล นางได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเบือนหน้ามาใบหน้าระบายยิ้มทันที “อี้หยาง มานี่สิ...เจ้ามาก็ดีแล้ว ช่วยแม่เลือกเครื่องประดับให้ชุนเอ๋อร์ที” อยู่ที่นี่มาหลายเดือนมิใช่ว่ามารดาไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แต่ทั้งหมดล้วนถูกปฏิเสธออกไป หวังอี้หยางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่า
ตอนที่ 64 ตัดได้ตัดไปแล้วเมื่อหวังเว่ยซินเดินมาถึงหน้าห้องบุปผาส่องจันทร์ สตรีชาวยุทธสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าโค้งศีรษะเปิดประตูพลางกล่าว “เชิญคุณหนูหวัง” หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งชันเขาเอนกายพิงระเบียง สวมผ้าคลุมบาง ปล่อยผมสลวยยาวดั่งน้ำตก ใบหน้างดงามเนียนลออดุจดั่งหยกชั้นดี เมื่อได้ยินฝีเท้านางเบือนหน้ามา ช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา หวังเว่ยซินสบสายตาเฉียบคมนั้นด้วยความรู้สึกนิ่งเฉยกล่าว “ท่านต้องการพบข้ามีเรื่องอันใด” นางแค่นเสียงเย้ยหยันแล้วยกขวดสุราในมือกรอกลงคอ กริยาที่แสดงช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์รูปร่างที่แสดงออก หวังเว่ยซินรอนางดื่มอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ข้าไม่ได้ต้องการอยากจะพบเจ้าเสียหน่อย” หวังเว่ยซินได้ยินคำนั้นก็เอ่ย “เช่นนี้ข้าขอตัว” เฟยอิงมองตามหลังแล้วพูดขึ้น “เหตุใดพี่เซียวต้องเลือกเจ้า เหตุใดไม่เป็นข้า...พี่ชายเคยให้คำสัญญาว่าจะดูแลข้าไปตลอดชีวิต...ข้าผิดอะไร ข้าไม่เคยผิดต่อพี่ชาย ข้าภักดีและเชื่อฟังพี่ชายมาโดยตลอด แล้วทำไมสิ่งที่ข้าได้รับถึงเป็นเช่นนี้ ฮื้อ ฮื้อ”
ตอนที่ 63 หัวใจพองโต วันเวลาผ่านไปอย่างราบรื่น หวังเว่ยซินรู้ดีว่าชีวิตตนเองมาถึงจุดนี้ได้ เพราะมีคนคอยคุ้มครองแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงถูกเลือกแต่กระนั้นนางจึงมุ่งมั่นทำความดีตอบแทน “พี่สาว...วันนี้มีแขกเข้าจองห้องพักเต็มยังไม่ถึงครึ่งวันเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของโจวชุนหาแฝงความลำบากใจมากกว่ายินดีหลังจากที่เจอลูกค้าเข้ามาแล้วแสดงอาการไม่พอใจหลายคนที่ไม่สามารถเข้าพักที่นี่ได้ หวังเว่ยซินจึงสั่งทำป้ายวางไว้หน้าร้านแจ้งให้ผู้ที่กำลังจะเข้ามาจองพักทราบก่อนว่าห้องพักเต็ม “ป้ายที่ให้ทำเสร็จ แล้วหรือยัง” “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ...แต่กระนั้นข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” หวังเว่ยซินหัวเราะ “หรือเราควรสร้างห้องพักเพิ่มดีหรือไม่” โจวชุนโบกมือพัลวัน “ไม่เอานะเจ้าค่ะ...หากมากไปกว่านี้ข้ากลัวว่าพวกเราจะควบคุมคนไม่ไหว” หวังเว่ยซินหยิบบัญชี โรงเตี๊ยวเว่ยซิน ขึ้นมาดูตัวเลขในบัญชีทำให้ยิ้มพราวอย่างพอใจพูดต่อ “ตอนนี้...พวกเราก็พอกำไรได้มากแล้ว เจ้าคิดว่าเราควรลดราคาอาหารดีหรือไม่” โจวชุนเบิกตากว้าง “พี่สาว ราคาอาหารตอนนี้ไม่
ตอนที่ 62 ดีเกินไป ภายในห้องรับรองเต็มไปด้วยหญิงสาวแต่งกายหรูหราจำนวนหนึ่ง โต๊ะตรงประธานมีหญิงสาววัยกลางคนงามดั่งบุปผาใบหน้าอิ่มเอิบเฉิดฉาย เด็กชายใบหน้าสะอาดหมดจดแต่งกายด้วยผ้าแพรไหมชั้นดีนั่งอยู่ข้างกาย หวังอี้หยางยืนน้อมตัวอ่อนน้อมพูดคุยด้วยสีหน้าสุภาพ กู้เฉียวจิงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอย่างออกรสชำเลืองมาเห็นหวังเว่ยซินเบิกตากว้างขึ้นกำลังจะลุกขึ้นไปต้อนรับก็ถูกสายตาของอีกฝ่ายสั่งให้นั่งกับที่ หวังเว่ยซินเร่งฝีเท้ามายืนเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยเสียงกระจ่างใส “คารวะกงฮูหยิน คารวะซือจือ ... ผู้น้อยขอบคุณท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน” แม้ว่าหวังเว่ยซินจะเป็นเพียงชาวบ้านไร้บรรดาศักดิ์ แต่เมื่อกู้เฉียวจิงให้ความสำคัญเหล่าอนุต่างรู้มารยาทลุกขึ้นยืนทำความเคารพตอบกู้เฉียวจิงคลี่ยิ้มจนกระทั่งไปถึงดวงตา “อย่าได้เกรงใจ ข้าเองก็ใคร่สนใจโรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน ได้ยินว่าเปิดกิจการวันแรกก็อยากจะมาร่วมยินดี โชคดีที่กู้ซวินเล่าว่าเป็นกิจการของสหายร่วมเรียน จึงได้ถือโอกาสนับความสัมพันธ์นี้มาที่นี่ เหล่าน้องสาวข้าเองก็อยากจะมาร่วมความครื้นเครงด
เวลาผ่านไปก็มาถึงฤกษ์ยามดีที่หวังเว่ยซินจะเปิดโรงเตี๊ยม ปัง! ปัง! ปัง! เสียงประทัดดังสนั่น ผู้คนจอแจมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เสียงเด็กในร้านตะโกนเสียงดัง “ไม่ต้องแย่งกัน มีเยอะขอรับ ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องแย่ง” หวังเว่ยซินยืนคู่กันกับหลีเซียวหยวนเบื้องหน้าโรงเตี๊ยม ใบหน้าของทั้งสองแม้จะดูเย็นชาทว่าก็แฝงความอบอุ่นอยู่จาง ๆ กลิ่นอายรอบกายดูคลายคลึงกันอย่างบอกไม่ถูก ชาวบ้านที่มาร่วมงานบางคนกระซิบพูดคุย “แสดงว่าข่าวที่บอกว่า โรงเตี๊ยมแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นของผู้บัญชาการหลี นับว่าเป็นเรื่องจริงสินะ” สตรีวัยกลางคนเขม็งตามองแล้วกดเสียงพูด “พูดให้มันเบา ๆ มิได้หรืออย่างไร จะเป็นของผู้ใดก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า...พวกเจ้าไม่รักชีวิตกันหรืออย่างไรถึงกล้าพูดลับหลังท่านผู้บัญชาการหลี” สตรีคนนั้นก็เอ่ยแย้ง “ข้าแค่ถาม มิได้กล่าวเรื่องไร้มารยาทเสียหน่อย” “จะอย่างไรข้าก็ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับพวกเจ้า” พูดเสร็จนางก็เดินออกไปต่อแถวรับคูปอง หวังเว่ยซินและหลีเซียวหยวนล้วนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ประสาทสัมผัสเฉียบแหลม