تسجيل الدخول“เราขอบใจเธอมากนะที่ช่วยเรา” หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ผู้หญิงด้วยกัน แต่ถามจริง ๆ เถอะ ทำไมไม่โวยวายออกมาดัง ๆ ตั้งแต่แรก ยอมให้ตาแก่บ้ากามคนนั้นทำมิดีมิร้ายอยู่ได้”
“เราไม่กล้า เราอายด้วย อีกอย่างผู้ชายคนนั้นอ้างว่าเราเป็นภรรยาแล้วทุกคนก็เชื่อเขาหมดเลย” หญิงสาวคนนั้นทำน้ำตาปริ่มอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวน
แบบฉบับผู้หญิงยุคนี้จริง ๆ ไม่กล้าโวยวาย ไม่กล้าแสดงออก พิริยามองอย่างอ่อนใจ
“คราวหน้าถ้าเกิดเหตุอย่างวันนี้อีกให้ส่งเสียงดังโวยวายออกไปเลยรู้เปล่า อย่ามามัวนั่งเงียบ ๆ ติ๋ม ๆ แบบนี้ คนเขาก็เข้าใจผิดกันหมดว่าเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ แล้วไม่ต้องไปอายด้วย”
“คนที่ควรจะอายคือไอ้ผู้ชายบ้ากามคนนั้น ถ้าเรามัวแต่นั่งเงียบ ๆ แบบนี้ ไอ้บ้านั่นจะยิ่งได้ใจ แล้วถ้าเกิดมันฉวยโอกาสลากเราไปปู้ยี่ปู้ยำได้อีก จะเป็นฝ่ายเราเองที่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตรู้ไหม” แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากตักเตือนออกไป
หญิงสาวคนนั้นพยักหน้ารัวเหมือนไก่จิก “คราวหน้าเราจะไม่เป็นแบบนี้อีก จะตะเบ็งสุดเสียงเลย”
พิริยาพยักหน้ารับอย่างพึงใจในคำตอบ “แล้วทำไมเธอเดินทางคนเดียวล่ะ คนติ๋ม ๆ แบบเธอ พ่อกับแม่ไม่น่าปล่อยให้มาคนเดียวได้นะ”
“เราไปเยี่ยมย่าที่เมืองหลวงช่วงปิดเทอม พ่อกับแม่เรามีงานด่วนเลยกลับมาก่อนหน้านี้แล้ว ปกติเรานั่งเครื่องบินกลับตลอด แต่พอดีตั๋วเต็ม เลยตัดสินใจนั่งรถไฟกลับ จองตั๋วนอนเพราะคิดว่าจะปลอดภัยแต่ที่ไหนได้...เราขอบใจเธอจริง ๆ นะที่ช่วยเราไว้”
“เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลยนะ เราชื่อวิภาวี เรียกวิก็ได้ อายุ 16 ปี เธอล่ะ”
“เราชื่อปิ่นแก้ว ชื่อเล่นแก้ว อายุ 16 ปีเหมือนกัน”
วิภาวีตาพราวระยับ “อายุเท่ากันเลย ถ้าอย่างนั้นเรามาเป็นเพื่อนกันนะ เธอเรียน ม.4 ใช่หรือปล่า อยู่โรงเรียนไหน”
“เคยเรียนเทอมหนึ่ง” พิริยาตอบยิ้ม ๆ “แต่ไม่ได้เรียนต่อแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“พ่อแม่เราเสียพอดี เลยไม่มีเงินเรียนต่อ กำลังจะหางานทำอยู่”
“เราเสียใจด้วยนะ”
“ขอบใจจ้ะ ตอนนี้พอทำใจได้แล้ว ชีวิตต้องเดินหน้านี่ ถูกไหม”
“แล้วแก้วตั้งใจทำงานอะไร เราขอให้พ่อกับแม่ช่วยหาให้เอาไหม” วิภาวีรีบยื่นข้อเสนอให้
“ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไร ว่าจะลองหาอะไรที่ตัวเองชอบดูก่อน”
“งั้นแก้วเอาเบอร์โทรเราไปนะ ถ้ามีเรื่องให้ช่วยเหลือรีบโทรหาเราได้เลย เราจะช่วยเธอเต็มที่” ว่าแล้วก็ควักปากกาและกระดาษออกมาจดเบอร์โทรศัพท์ส่งให้
“เดี๋ยวตอนนอน วิสลับเตียงกับเราดีกว่านะ วิขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นสองจะได้ปลอดภัยมากขึ้น”
“แล้วแก้วล่ะ”
“ฮ่าฮ่า..ไม่มีใครสนใจจะทำอะไรเราหรอก คนผิวใส ๆ คุณหนู คุณหนูแบบวินี่สิต้องระวัง”
“อ้อ..แล้วเอานี่วางไว้ข้างหมอนด้วย เผื่อเกิดมีคนแผลงปีนขึ้นชั้นสองจริง ๆ ก็กดปุ่มนี้ค้างไว้แล้วจิ้มไปบนตัวไอ้ผู้ร้ายได้เลย รับรองสลบเหมือด” ในการนี้ พิริยาได้ยื่นเครื่องช็อตไฟฟ้าให้วิภาวีพร้อมกับสอนวิธีใช้ไปด้วย
“แต่อย่าเผลอเอาไปจิ้มตัวเองนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเราที่สลบแทน”
“เธอเอาเครื่องนี้มาจากไหนเหรอ เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ดูแปลกตาจัง”
“พี่ที่รู้จักเป็นตำรวจ เขาให้เราเอาไว้ป้องกันตัวน่ะ” พิริยาตอบแบบเนียน ๆ
“แก้วนอนเตียงล่าง เอาไว้ป้องกันตัวดีกว่านะ”
“เรามีอีกเครื่อง ไม่ต้องห่วงหรอก”
คราวนี้วิภาวีก็ไม่ท้วงอีก รับเครื่องช็อตไฟฟ้ามาและมองสำรวจด้วยความสนใจ พอดีกับที่พนักงานได้เข้ามาปูเตียงให้ หลังจากปูเตียงเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนทนากันมากความอีก เพียงแค่บอกราตรีสวัสดิ์แล้วต่างคนต่างก็ขึ้นไปบนเตียงนอนเพื่อพักผ่อน
พิริยานอนรออยู่เกือบชั่วโมง เมื่อไม่ได้ยินเสียงขยับตัวไปมาของวิภาวีอีก เธอจึงมุดเข้าไปในพื้นที่เพื่อนอนหลับพักผ่อนโดยไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกตอนตีห้าเอาไว้ด้วยเพื่อจะได้ออกมาก่อนวิภาวีตื่น
ยุพินและมานพกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างชอบใจเมื่อเห็นเงินห้าหมื่นบาทในมือ ไม่นึกเลยว่าแค่รอบแรกก็ได้มากถึงเพียงนี้ แล้วรอบต่อไปนั้นเป็นกาแฟซึ่งร่ำลือกันว่ารายได้ดีกว่าดอกไม้แห้ง คงได้จับเงินแสนกันก็คราวนี้“แม่ยุพินที่หลักแหลมจริง ๆ” มานพเอ่ยชมภรรยาไม่หยุด“เอาเชียว ที่แรกทำท่าเหมือนไม่เต็มใจ”“ฉันขอโทษ ต่อไปไม่ค้านแล้ว ไม่คิดเลยว่ารายได้จะมากขนาดนี้ แล้วรวมทั้งปีที่เจ้าดินได้มันไม่เหยียบล้านไปแล้วเหรอ”“ก็คงประมาณนั้นแหละพี่ คราวหน้าฉันว่าจะไม่ขายอย่างเดียวแล้ว ฉันจะเอาเมล็ดพันธุ์มาปลูกเองด้วย นี่ก็ไปมอง ๆ ที่เปล่าในหมู่บ้านของพ่อฉันเอาไว้แล้ว ฉันตั้งใจจะเอาไปปลูกตรงโน้น จะได้ไกลหูไกลตาไอ้ดินมันหน่อย”“ดี อีกหน่อยบ้านเราก็จะมีเงินมากมายเหมือนกับมันแล้ว”“ว่าแต่เราเอาเงินก้อนนี้ไปใช้หนี้ที่ยืมมาก่อนเถอะ ที่เหลือก็พอส่งให้นารีได้อีกสามสี่เดือน รอขายงวดหน้าเราก็สบายกันแล้ว”“เจ้านะตั้งแต่ย้ายไปทำงานในเมืองนี่หายเงียบไม่ยอมกลับมาบ้านเลย” มานพเอ่ยด้วยสุ้มเสียงไม่พอใจ“ลูกสอนพิเศษหลายที่ กำลังช่วยกันเก็บเงินซื้อที่ดินเพื่
“นี่บ้านเก่า ๆ โทรม ๆ ที่เธอเคยเล่าจริง ๆ เหรอ” นิสารัตน์หันมาถาม“เมื่อก่อนเคยเก่าและโทรมมาก” ปิ่นแก้วยืนยัน “เพิ่งได้ปรับปรุงใหม่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง”“ไม่พ้นพี่ดินอีกแล้วแน่เลย” อรรณพหรี่ตามองอย่างรู้ทัน ขณะที่แดนดินยืนยิ้มกว้างอยู่ข้าง ๆ“เฮ้อ..พี่ดินไม่ควรมีคนเดียวในโลก” อรรณพยังคงรำพึงรำพันต่อไปคราวนี้พาเอาทุกคนหัวเราะครืนด้วยความชอบใจเพื่อไม่ให้เสียเวลา หลังจากจัดเก็บข้าวของกันแล้วปิ่นแก้วจึงพาทุกคนไปที่สวนผลไม้ของแดนดินที่ตอนนี้ทุเรียนและมังคุดออกลูกแก่จัดรอเก็บเกี่ยวในอีกสองสามวันข้างหน้านี้แล้ว“พวกเรากินได้จริง ๆ หรือคะพี่ดิน” มาลินีหันมาถามชายหนุ่มอีกทีเพื่อความแน่ใจ“กินได้เลย ไม่ใช่แค่ทุเรียนและมังคุดนะ สตรอว์เบอร์รีและเชอร์รีที่ปลูกในสวนข้าง ๆ ก็เข้าไปเด็ดกินได้เหมือนกัน ห้ามเกรงใจพี่เด็ดขาด คิดเสียว่าเป็นสวนบ้านตัวเอง” แดนดินอนุญาตอย่างใจดี“หน้าร้อนแบบนี้สตรอว์เบอร์รีและเชอร์รียังออกผลได้อีกเหรอคะ” นิสารัตน์อดทึ่งไม่ได้“เมล็ดพันธุ์ของเราค่อนข้างพิเศษน่ะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหันมา
แดนดินขมวดคิ้วเมื่อเห็นปริมาณดอกไม้แห้งที่เก็บเกี่ยวได้จากไร่ของผาด หนึ่งในคนที่เซ็นสัญญาปลูกดอกไม้และกาแฟเมื่อคราวก่อน“ที่ดินตั้งสิบไร่ ทำไมได้ดอกไม้แห้งพอ ๆ กับไร่น้าทาที่มีเพียงห้าไร่”“ม..แหม ความชำนาญมันต่างกันนะดิน น้าทานั่นชาวไร่ดีเด่นประจำหมู่บ้าน แกมีฝีมือในการดูแลต้นไม้อยู่แล้ว ปลูกดอกไม้ได้เยอะก็ไม่แปลก ไอ้ฉันมันมือใหม่ ถึงพื้นที่จะเยอะกว่าแต่ดันไม่มีฝีมืออย่างใครเขา เลยได้มาเท่านี้” ผาดละล่ำละลักอธิบายแดนดินกวาดตามองไปทั่วไร่อย่างสงสัย ในใจไม่คิดเชื่อคำพูดของผาดแม้แต่น้อย เขารู้ดีถึงคุณภาพของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ขนาดคนที่ปลูกอะไรไม่เป็นเลยอย่างปิ่นแก้วยังสามารถปลูกจนออกดอกออกผลได้งดงาม แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ทำไร่ทำนาอยู่ทุกวันแบบนี้ล่ะถึงจะไม่เชื่อแต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมาเรื่องนี้ผิดปกติเกินกว่าจะละเลยได้ เมื่อกลับถึงบ้านเขาเล่าความผิดปกตินี้ให้กับทั้งคำปันและวงเดือนได้รับทราบ ผู้สูงอายุทั้งสองคนต่างมีสีหน้าเครียดลงถนัดตา“ดินคิดว่ามีเรื่องคดโกงเกิดขึ้นแน่ใช่ไหม” คำปันถามเสียงเครียด
“จินตนานั่งรถประจำทางไปหาน้าที่ต่างอำเภอ แล้วรถเกิดคว่ำทับจินตนาจนแขนขาด”ปิ่นแก้วใจหายวาบเมื่อได้ยิน นึกถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มและบุคลิกที่ไม่คิดอะไรมากของจินตนา ปิ่นแก้วก็ยิ่งใจหาย ถึงแม้จะไม่ค่อยสนิทสนมกันนักแต่ก็มีโอกาสได้ทำงานด้วยกันหลายครั้ง จินตนานับว่าเป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายคนหนึ่งแล้วคนที่เคยมีครบทั้งสามสิบสอง จู่ ๆ กลายเป็นคนพิการแบบนี้ ที่สำคัญยังอายุน้อยแค่นี้ จินตนาจะทำใจได้อย่างไรปิ่นแก้วเหลียวมองไปรอบห้อง “แล้วนิสารัตน์?”“เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืน คอยอยู่เป็นเพื่อนรอพ่อกับแม่จินตนาที่กำลังนั่งรถมาหา”“แก้วใจไม่ดีเลย สงสารจินตนา แล้วนี่เราจะไปเยี่ยมกันดีไหม”คราวนี้มาลินีเป็นฝ่ายเล่า “ฉันกับอันนาไปเมื่อเย็นวานแต่ไม่ได้เจอ นิสารัตน์ให้กลับมาก่อนเพราะสภาพจิตใจของจินตนายังไม่สู้ดีนัก ให้รอพ่อกับแม่เค้ามาก่อนสักสองสามวัน ให้สงบลงอีกนิดแล้วค่อยไปเยี่ยมกันตอนนั้น”-----“อย่าตัดอนาคตตัวเองแบบนี้สิจิน”“นั่นสิลูก แค่เสียแขนซ้ายไปเอง แขนขวาก็ยัง
ถ้าพวกเขาได้มีโอกาสมาเห็นปิ่นแก้วในตอนนี้รับรองเลยว่าคงพูดไม่ออกเลยสักคนเดียว ปิ่นแก้วที่นวดแป้ง ปั่นส่วนผสมของขนมอย่างคล่องแคล่ว ปิ่นแก้วที่สามารถสั่งการได้อย่างเฉียบขาดและทุกคนที่อยู่รายรอบพร้อมจะทำตามคำสั่งนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะปิ่นแก้วคนนี้คือเจ้าของร้านขนมรสชาติอร่อยที่สร้างความประทับใจให้กับประธานหอการค้าของจังหวัด m จนได้มาทำขนมจัดเลี้ยงผู้เข้าร่วมสัมมนากว่าสามร้อยคนในครั้งนี้“พวกเธอรู้ไหม รายได้ต่อวันของร้านแก้วสามารถจ่ายค่าเทอมทั้งปีได้อย่างสบาย” อรรณพเล่าด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มคล้ายกับว่าทั้งสองร้านนี้เป็นของเขาก็ไม่ปาน“ทำไมปิ่นแก้วถึงไม่คิดพูดแก้ต่างเรื่องนี้กับเพื่อน ๆ ในคณะล่ะ ปล่อยให้พวกเรามองเขาเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ได้ตั้งนาน” จินตนาบ่นงึมงำ“เค้ามองว่าเสียเวลาไง ถ้าเค้าพูดแก้ต่างพวกเธอคิดว่าจะมีใครยอมเชื่อไหม คนเราลองมีอคติต่อกันแล้ว ถึงจะแก้ตัวหรือทำดีให้ตายยังไงก็ไม่มีใครเปลี่ยนมุมมองหรอก พวกเขาเลือกที่จะเชื่อมุมที่พวกเขาคิดเสมอ สู้เอาเวลาที่เสียไปตรงนี้มาหาความสุขให้ตัวเองและมาใส่ใจคนที่รักและเข้าใจตัวเองดีกว่
“ก็ไปพูดไม่ไว้หน้าเขาแบบนั้น ใครเขาจะไปทนไหว มานี่ฉันช่วยเอง” นิสารัตน์นั่งลงยอง ๆ อยู่ด้านข้างและคว้ากรรไกรมาช่วยตัด ขณะที่จินตนาลูกคู่ของเธอก็มานั่งช่วยพับกระดาษเป็นรูปดอกไม้ให้ด้วย“ขอบใจนะ” ปิ่นแก้วหันไปยิ้มให้“ไม่เป็นไร งานจะได้เสร็จไว ๆ”นิสารัตน์เงยหน้ามองปิ่นแก้วก่อนพูดออกมา “อันที่จริงการุณเขาก็พูดถูกนะ คนที่มีแววอนาคตจะสดใสแบบเธอน่าจะหันกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแบบเพื่อน ๆ ได้แล้ว”หลังจากเหตุการณ์เย็นวันนั้น บรรดานักศึกษาและผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกันอย่างสนุกปาก การุณรู้สึกอับอายอย่างที่สุด และมักจะทำหน้าบูดบึ้ง ส่งตาขวางให้ทุกครั้งที่เห็นปิ่นแก้ว ซึ่งปิ่นแก้วทำเพียงแค่ยักไหล่และใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองไปวัน ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและใบหน้าการุณยิ่งบูดบึ้งมากขึ้นเมื่อได้ยินข่าวว่าปิ่นแก้วย้ายออกจากหอในไปอยู่กับผู้ชาย และยิ่งใบหน้าการุณบูดบึ้งเท่าไหร่ ใบหน้าของสกุณาก็ยิ่งสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น-----“แก้ว ร้าน Best Bake ปิดกิจการไปแล้วนะ”







