พิริยาตื่นมาด้วยความสดชื่น คืนนี้เป็นอีกคืนที่นอนหลับได้สนิท เธอลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างกระฉับกระเฉง และก่อนจะออกจากพื้นที่ว่าง เธอก็ไม่ลืมแวะมาดูของที่เคาน์เตอร์มหัศจรรย์ด้วย
หญิงสาวเริ่มจับสังเกตได้หลังจากผ่านไปสามวันและตัวเลขดิจิทัลบนเคาน์เตอร์ได้นับถอยหลังไปที่ ‘27’ คล้ายกับนับถอยหลังไปหาจุดที่สิ้นสุด
และที่สำคัญ ในทุกเที่ยงคืนของวันใหม่จะมีของโผล่มาบนเคาน์เตอร์หนึ่งอย่างเสมอ มีอยู่หนึ่งวันที่เธอไม่ได้หยิบของบนเคาน์เตอร์ออก ของจะยังคงค้างอยู่แบบนั้น แล้วในวันรุ่งขึ้นก็จะไม่มีของใหม่โผล่มาเพิ่ม หลังจากนั้นเธอก็ใส่ใจจำเสมอว่าห้ามลืมหยิบของบนเคาน์เตอร์ออกทุกวัน
“วันนี้เป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้แฮะ” พิริยามองอย่างไม่เข้าใจ หลังจากแท็บเล็ตที่เป็นของชิ้นแรกแล้ว ชิ้นหลัง ๆ กลับเป็นแค่เมล็ดพันธุ์ผลไม้ วันละ 2-3 ชนิด ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจและไม่รู้ด้วยว่าจะสามารถนำไปใช้ทำประโยชน์อะไร แล้ววันนี้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ เธอมีสีหน้างุนงง ก่อนที่จะวางพวกมันไปกองกับบรรดาเพื่อน ๆ ที่โผล่มาก่อนหน้านี้
“ถ้าเป็นทองแท่งแทนน่าจะดีไม่น้อยนะ” หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนก้าวออกจากที่ว่างไป
“แม่เรามาแล้ว แม่คะทางนี้ค่ะ” วิภาวีโบกมือให้คนเป็นแม่อย่างตื่นเต้น
ตอนนี้เกือบสิบนาฬิกาของวันใหม่ รถไฟเพิ่งมาถึงชานชาลา ด้วยความเป็นห่วงยายหนูนุ่มนิ่มคนนี้ พิริยาเลยตกลงใจยืนเป็นเพื่อนรอให้ผู้ปกครองเจ้าหล่อนมารับก่อน เธอไม่รีบไปไหนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้พูดตามตรงคือเธอยังไม่รู้จะไปที่ไหนดีต่างหาก
ญาดาแม่ของวิภาวีโบกมือตอบกลับลูกสาว พร้อมกับเหลือบมองหญิงสาววัยรุ่นคนที่ยืนอยู่ข้างลูกสาวด้วยความฉงนใจ “นั่งรถเหนื่อยไหมลูก” และเอ่ยทักลูกสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่เหนื่อยค่ะแม่ หลับสบายทั้งคืน แม่คะ รู้จักกับเพื่อนวิสิ นี่ ปิ่นแก้วค่ะ”
ญาดาพินิจมองอย่างแปลกใจ “สวัสดีจ้ะ ปิ่นแก้ว ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”
พิริยายิ้มและยกมือไหว้ทักทาย ก่อนจะหันมาพูดกับวิภาวี “ในเมื่อแม่ของวิมาแล้ว เราขอตัวก่อนนะ พอดีมีธุระจะต้องไปต่อน่ะ”
“ให้ไปส่งเอาไหม” วิภาวีเสนอต่อ
“ไม่เป็นไร ใกล้ ๆ สถานีนี้เอง ไม่ต้องนั่งรถ” พิริยาเอ่ยปากปฏิเสธพร้อมกับหันมาเอ่ยลาญาดา
“อย่าลืมโทรหาวินะ” วิภาวีไม่วายตะโกนย้ำ พิริยาโบกมือรับยิ้ม ๆ ก่อนเดินจากไป
หลังเดินออกจากสถานีแล้ว พิริยายังคงเดินเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย เธอยังไม่อยากกลับไปบ้านในตอนนี้เพราะกลับไปก็คงได้แต่เพียงนั่งจ่อมอยู่กับที่ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกด้วยความอึดอัดใจและเหนื่อยหน่ายตัวเอง
ระหว่างนั้น เธอก็เดินผ่านโรงภาพยนตร์ประจำจังหวัด วันนี้เป็นวันอาทิตย์ จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ออกมาชมภาพยนตร์กัน และโดยรอบโรงภาพยนตร์ก็มีบรรดาพ่อค้า แม่ค้า มาตั้งแผงขายของหลากหลายชนิด เรียกได้ว่าเป็นตลาดนัดขนาดย่อมแห่งหนึ่งก็ว่าได้
พิริยาตาเป็นประกาย
เธอยังติดใจการขายเสื้อผ้าเมื่อวันก่อน และตอนนี้เสื้อผ้าในพื้นที่ของเธอยังมีเหลืออีกมหาศาล ถ้านำมาหารายได้เพิ่มก็น่าจะดีไม่น้อย หญิงสาวเผยอยิ้มอย่างมีความหวัง พร้อมกับเร่งฝีเท้าและสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาที่สำหรับวางขาย
หลังจากเดินวนอยู่ไม่นานก็เจอที่ว่างด้านข้างโรงภาพยนตร์ เธอเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความไม่แน่ใจ
“พี่คะ ไม่รู้ที่ตรงนี้มีเจ้าของรึยัง” พิริยาเดินไปถามแม่ค้าขายขนมขบเคี้ยวแผงข้าง ๆ
“ปกติมี แต่วันนี้คงไม่มาแล้วนะ สายแล้วนี่”
“งั้นหนูตั้งขายแทนได้ไหมคะ”
“ได้อยู่แหละมั้ง” แม่ค้าตอบแบบส่ง ๆ
พิริยายืนชั่งใจอยู่ครู่ เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน
เมื่อตัดสินใจได้แล้วเธอจึงรีบเดินไปหาสถานที่ไร้ผู้คนเพื่อเข้าไปเอาของในพื้นที่ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เธอก็ได้เข็นรถเข็นที่จุเสื้อผ้าเดินมาเข้ามาตั้งแผงขายในทันทีทันใด
แผงนี้ค่อนข้างเล็กและไม่แน่ใจในกำลังซื้อของคนในตัวจังหวัด หญิงสาวจึงเตรียมเสื้อและกางเกงรวม ๆ แล้วประมาณหนึ่งร้อยตัวเท่านั้น
ระหว่างตั้งแผงขายได้มีคนเริ่มเข้ามาเมียงมองด้วยความสนใจ และเมื่อเห็นความสวยของเสื้อผ้าที่เธอกำลังจัดวาง จึงได้มีการสอบถามราคา พิริยากำหนดราคาขายต่ำกว่าที่เมืองหลวงสิบบาทเพราะเข้าใจถึงสภาพรายได้ของผู้คนในต่างจังหวัดซึ่งต่ำกว่าในเมืองหลวงโดยธรรมชาติ
เมื่อราคาน่าสนใจ ลูกค้าจึงเริ่มมายืนรอที่หน้าร้าน กระทั่งเธอจัดร้านเรียบร้อยก็เกิดเหตุการณ์การรุมเลือก รุมซื้อ คล้ายกับตลาดนัดในเมืองหลวง เมื่อเห็นแบบนี้หญิงสาวจึงยิ้มกว้างออกมาอย่างชื่นใจ
ยอดขายแรกของวันอยู่ที่สองร้อยบาทและน่าจะถึงหนึ่งพันบาทเมื่อสิ้นสุดวัน แต่แล้วความหวังของเธอก็ไปไม่ถึงฝั่ง
“หล่อนเป็นใคร! มาขายทับที่ของฉัน!” เสียงตวาดแหวของผู้หญิงวัยสามสิบกว่าดังขึ้นที่หน้าร้าน ทำเอาลูกค้าที่กำลังยืนเลือกเสื้อผ้าต่างตกใจและเดินหนีออกจากร้านไปกันหมด
หญิงสาวเดินเข้าร้านเพื่อเลือกซื้อขนมอบ ขนมเค้กไม่มีแบ่งขายเป็นชิ้น เธอจึงเลือกปอนด์เล็กสุด และหยิบคุกกี้กระปุกเล็ก เค้กโรล ขนมปังปอนด์มาอีกอย่างละหนึ่งเพื่อทดสอบรสชาติ“แอะ! แค็ก..” คาวไข่ขั้นสุดเมื่อกลับมาถึงหอพัก เธอได้รีบแกะขนมออกมาชิม ทันทีที่ตักขนมเค้กเข้าปาก ผลที่ได้คือเนื้อเค้กที่หวานจัดและคาวไข่เป็นอย่างมาก ไม่เท่านั้น เนื้อครีมที่ปาดหน้าเค้กค่อนข้างหนัก ทั้งหวานและเลี่ยน เมื่อกัดชิมคำแรกถึงกับคายทิ้งแทบไม่ทัน แล้วทำไมถึงยังขายดีได้ขนาดนี้เค้กโรลก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน สำหรับคุกกี้นั้นให้ความรู้สึกหวานเพียงอย่างเดียว ไม่มีความหอมหรือมันของเนยแม้แต่น้อย ส่วนขนมปังปอนด์นั้นสามารถพูดได้เลยว่าขนมปังให้ปลาในยุคที่เธอจากมายังนุ่มมากกว่า แล้วทำไมถึงยังขายดีขนาดนี้ได้อีกแต่ข้อด้อยพวกนี้แหละคือตัวช่วย หากทำขนมออกมาแบบไม่เหลือข้อด้อยพวกนี้ ธุรกิจจะต้องรุ่งโรจน์อย่างไม่ต้องสงสัย ปิ่นแก้วอยู่ในอารมณ์ที่คึกคักถึงขีดสุดเธอรีบหายเข้าไปในพื้นที่และเปิดคลิปวิดีโอเกี่ยวกับขนมยอดฮิตต่าง ๆ ดู ก่อนจะคัดเมนูที่ทำได้ไม
“แก้วรู้ค่ะว่าป้าเป็นห่วงแก้วและหวังดีกับแก้วที่สุด แก้วขอบคุณป้ามาก ๆ นะคะ”“ถ้าจะให้พูดตามจริง ตอนนี้แก้วมีเงินพอที่จะส่งทั้งตัวเองและชัยเรียนได้อย่างสบาย แต่ใจแก้วยังไม่อยากเรียนเอง เพราะถ้าเรียนต่อ ม.4 แล้วพอจบ ม.6 ก็ต้องอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยอีก ค่าใช้จ่ายเรียนมหาวิทยาลัยค่อนข้างสูงป้าเองก็รู้นี่คะ แล้วแก้วจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนต่อ”“สู้ตอนนี้ หยุดเรียนก่อนสักครึ่งปี สร้างฐานะให้มั่นคง เก็บเกี่ยวเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วค่อยไปเรียน กศน. แก้วว่าน่าจะสบายกว่า”วงเดือนถอนหายใจแรง “แต่เรียน กศน. แล้วเหมือนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากเต็มทีนะแก้ว ป้าเสียดายอนาคต”“ไม่หรอกค่ะป้า ลองเราตั้งใจจริง ไม่ว่าเรียนจบจากไหนก็สามารถสอบเข้าได้ แต่ที่เห็นกันจนชินตาว่าเรียน กศน.แล้วความรู้ไม่พอจะไปต่อมหาวิทยาลัย นั่นเพราะคนเรียน กศน.มีภาระผูกพันค่อนข้างมาก บางคนก็มีครอบครัวอยู่แล้ว ทำให้คิดไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยกันน้อย แต่แก้วไม่มีภาระตรงนี้นี่คะ ภาระอย่างเดียวของแก้วคือต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองให้ได้เยอะ ๆ ถ้า
วงเดือนใช้มือตบพื้นเรือนเสียงดังด้วยความไม่พอใจ “ยุพินนี่มันเกินไปจริง ๆ รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก”“ป้า อย่าโมโหไปเลย เรื่องมันสบช่องให้เขาได้เปรียบก็ต้องปล่อยไป” ปิ่นแก้วพูดปลอบ“ชัย พี่แก้วเค้าไปลงชื่อค้ำประกันเราไว้แบบนี้แล้ว ต่อไปเราต้องระมัดระวังตัว อย่าไปทำเรื่องทำนองนี้จนทำให้พี่เค้าเดือดร้อนอีกนะ ถ้าหิวหรือขาดอะไร ให้มาหาป้ากับลุงก่อน ป้ากับลุงจะช่วยเอง”“ผมขอบคุณพี่แก้วอีกครั้งนะครับที่ช่วย ต่อไปผมไม่กล้าแล้วจริง ๆ” ชิงชัยพูดพร้อมกับมีน้ำตารื้นอยู่เต็ม มันเป็นความรู้สึกทั้งเสียใจบวกกับความอับอายที่โดนประณามในเรื่องนี้“แม่กับพี่แก้วไม่ต้องห่วง ชัยเป็นคนดีจริง ๆ ไม่เคยมีนิสัยชอบขโมย” แดนไทยช่วยรับประกันให้เพื่อนรัก “ต่อไปหลังเลิกเรียนผมจะไปช่วยชัยหาผักป่าไปขายอีกแรง จะได้เอาเงินไปใช้หนี้ที่ติดอยู่ไว ๆ”“นี่แม่ชัยยังสร้างหนี้เพิ่มอีกเหรอ” วงเดือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “อาทิตย์หน้าจะเปิดเทอมแล้วด้วย จะมีเวลาไปหาของป่าขายได้ที่ไหน เลิกเรียนก็ใกล้ค่ำแล้ว คงไม่พอหาหรอก”“ชัยไม่เรียนต่อแล้วนะแม่ ไม่มีค่าเทอม”“แล้วแม่ชัยรู้ไหมว่าลูกตัวเองจะไม่เรียนต่อแล้ว” วงเดือนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พ
“ที่น้าพูดมันก็ถูก แต่ควรดูเจตนาเด็กก่อนที่จะกล่าวหา ชัยไม่ได้ตั้งใจขโมยแต่แรกนี่ เขาได้ยินว่าน้าไม่กินแล้ว และกำลังจะเทให้หมา ชัยเขาหิว เขาเลยตัดสินใจไปแบบนั้น”“หล่อนไม่ต้องมาทำหัวหมอ ฉันไม่สนใจ ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการกินแกงนี่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นของฉัน ฉันจะให้ใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน ในเมื่อฉันตั้งใจจะยกให้หมาแล้ว ไอ้เด็กหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แย่งไปได้ ฉันจะเอาเรื่องไอ้เด็กเหลือขอนี่ให้ถึงที่สุด”เมื่อยุพินพูดจบ ผู้คนที่ยืนรายล้อมต่างส่งเสียงออกมาหลายแนว บ้างก็เห็นด้วยกับยุพิน บ้างก็เห็นด้วยกับปิ่นแก้ว บ้างก็มองดูเหตุการณ์ด้วยความสะใจและสนุกกับคราวเคราะห์ของชัยในครั้งนี้ บ้างก็มีสีหน้าแสดงความเห็นใจเด็กชาย แต่ยุพินไม่สนใจ เธอยังคงตั้งมั่นในความคิดของตน“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน” คำแปง ผู้ใหญ่บ้านที่โดนเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วน สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังทั้งยุพินและปิ่นแก้วชี้แจงเรื่องราวในมุมมองของตน คำแปงก็ทำสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อย เรื่องเหมือนจะดูเล็กน้อย แต่ถ้าคิดเป็นเรื่องใหญ่ ก็ดูใหญ่พอตัว โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ไม่เคยเกิดเหตุทำนองนี้มาก่อน“ยุพิน ปล่อยเด็กไปสักครั้งเถอะ อย
หลังจากทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยแล้วและเห็นว่ายังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อเย็น เธอจึงตั้งใจจะเดินสำรวจหมู่บ้านนาแสนแห่งนี้ไปเพลิน ๆ ก่อนหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ อากาศจึงเย็นตลอดปี และมีผู้คนอยู่อาศัยประมาณสามร้อยกว่าชีวิต ส่วนมากมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพทำนาทำไร่เป็นหลัก บ้านที่ปลูกส่วนมากเป็นบ้านไม้สีหม่นหลังคามุงจาก มีบ้านฐานะดีที่หลังคามุงกระเบื้องและสังกะสีอยู่ไม่ถึงสิบหลัง ปิ่นแก้วเดินไปตามทางเดินซึ่งเป็นเส้นทางหลักภายในหมู่บ้านถึงจะขึ้นชื่อว่าเส้นทางหลัก แต่จริง ๆ ก็คือทางดินแดงเล็ก ๆ กว้างขนาดสองคนเดินสวนกัน พื้นผิวขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อเสียเยอะ บางจุดเละเป็นโคลนเนื่องจากฝนที่ตกมาตั้งแต่เช้า ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านไม่ได้รู้สึกแปลกหรือลำบากแต่อย่างใดเพราะคุ้นชินกับถนนแบบนี้มาหลายสิบปีแล้วจะมีก็เพียงปิ่นแก้วนี่แหละที่รู้สึกลำบาก เธอผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาทั้งชีวิต จึงไม่เคยรู้จักและไม่เคยสัมผัสฝุ่นสีแดงที่เกิดจากถนนดินแดงเลยสักครั้ง วันแรกที่ได้ย้อนเวลากลับมาเธอถึงกับสูดเอาฝุ่นแดงเข้าไปจนสำลักและแสบค
“ป้าคะ ลุง อยู่บ้านกันหรือเปล่า”วงเดือนโผล่หน้าออกมาจากชานเรือน เมื่อเห็นว่าใครกำลังยืนเรียกอยู่ที่หน้าบ้าน เธอก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างดีใจ “แก้ว กลับมาแล้วเหรอ ขึ้นมาบ้านก่อนเร็วแดดกำลังร้อน”หลังจากตื่นนอนวันนี้ พิริยาได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน อย่างน้อย บ้านน้อยหลังนี้ก็เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของเธอ ถึงแม้จะยังไม่รู้สึกคุ้นชินนักแต่เธอก็อยากจะลองปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตตอนนี้ให้ได้ เผื่อจะมีลู่ทางที่ดีเพิ่มขึ้นในอนาคตเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและจริงใจของวงเดือน เธอรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาที่อก บางทีชีวิตที่กำลังดำเนินต่อไปของเธออาจไม่ได้แย่เกินไปนักก็ได้ พิริยาส่งยิ้มพร้อมกับหิ้วของพะรุงพะรังเดินขึ้นบ้านไป“หิ้วอะไรมาเยอะแยะ”“ของฝากค่ะป้า ลุงกับไทยไม่อยู่บ้านเหรอคะ”“ลุงเขาไปทำงานในไร่ ส่วนเจ้าไทยไม่รู้ไปซนที่ไหน หายหัวไปตั้งแต่กินมื้อเช้าเสร็จ ดีว่าอาทิตย์หน้าเปิดเทอมแล้ว”“นี่ค่ะของฝาก ถุงเล็กนี่เป็นขนมของไทย ส่วนที่เหลือของลุงกับป้านะคะ&