นางฮั่วซื่อ เมื่อด่าจนเหนื่อยแล้วนางก็เดินออกจากห้องของหลานชายไป
“รู้สึกตัวแล้วก็ลุกขึ้นเสีย” จางเลี่ยงรุ่ยมองนางอย่างไม่พอใจ
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางรู้สึกตัว เปลือกตาของนางขยับ ทั้งยังกรามที่ถูกกัดจนขึ้นสันนูนออกมา คงมีเพียงท่านย่าของเขาที่ด่าไม่ลืมหูลืมตา จึงไม่รู้ว่านางยังไม่ตาย
หลินเยว่จำต้องลืมตาขึ้นมามองอย่างเสียไม่ได้ สิ่งแรกที่นางต้องตกตะลึง ไม่ใช่ใบหน้าของเจ้าบ่าว แต่เป็นสภาพห้องที่เล็กเสียอยู่กันสองคนแทบจะขยับตัวไม่ได้
ผนังห้องที่เก่าจนขึ้นสีดำ หรือจะเป็นราดำ นางก็ไม่แน่ใจ ถึงแม้ห้องจะมีสภาพไม่น่ามอง อย่างน้อยผ้าห่มที่นางห่มอยู่ก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นหืนอย่างที่คิดไว้
จางเลี่ยงรุ่ย สังเกตอาการของนางอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนนางจะรังเกียจสภาพความเป็นอยู่ของเขาไม่น้อย เพียงแต่นางไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้น
“ไป ลุก ไปกราบไหว้ฟ้าดิน” เขาต้องบังคับให้นางไปเข้าพิธีให้ได้ อย่างน้อยชาวบ้านจะไม่ต้องมองว่าเขาเป็นตัวซวยอีก
“ฉัน เอ่อ ข้าลุกไม่ไหว” หลินเยว่นางลุกไม่ขึ้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะยาที่ถูกนางเจินซื่อวางไว้ยังยังมีอาการเช่นนี้
“มา ข้าจะช่วยประคอง” ถึงต้องแบกนางออกไปเขาก็ต้องทำ
จางเลี่ยงรุ่ยประคองหลินเยว่ออกจากห้อง ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านรวมทั้งคนตระกูลจางที่มองมาทางนาง ราวกับว่าพวกเขาเห็นผี
“นะ นาง ตายแล้วไม่ใช่รึ” ชาวบ้านชี้มือมาที่หลินเยว่ พร้อมกับเดินถอยออกไปไกล
“ตายบ้าอะไร แหกตาดูเงาที่พื้น เห็นหรือไม่” หลินเยว่ถลึงตามองพวกเขาอย่างไม่พอใจ
นางเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาแท้ๆ จะให้นางตายอีกแล้วหรือ
จางเลี่ยงรุ่ยมองนางอย่างอึ้งๆ เขาไม่คิดว่าคุณหนูเช่นนางจะปากร้ายเช่นนี้ ยิ่งเห็นใบหน้างามมีโทสะเขาก็รู้สึกขบขันอยู่ไม่น้อย
“ท่านหัวเราะอะไร” หลินเยว่หันไปพาลใส่จางเลี่ยงรุ่ย จนเขาต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยกลัวจะหลุดหัวเราะออกมา
นางฮั่วซื่อก็ดูจะอึ้งไม่น้อยที่เห็นหลินเยว่ลุกขึ้นมาจากเตียงได้ นางคิดว่าหลินเยว่จะตายไปแล้วเสียอีก
หลินเยว่ถูกจางเลี่ยงรุ่ยประคองไปนั่งคุกเข่าที่กลางลานเรือน เพื่อทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน เพราะไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้พวกเขา แม้แต่แม่สื่อที่ต้องจัดการเรื่องทำพิธีให้
สุดท้ายจึงเป็นหัวหน้าหมู่บ้านจิ่ว ที่เห็นใจจางเลี่ยงรุ่ยจึงได้เดินเข้ามาทำพิธีให้ทั้งสอง
ตอนที่ต้องกราบไว้บิดามารดาของจางเลี่ยงรุ่ย หลิวเยว่เห็นป้ายวิญญาณที่ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า นางถึงได้รู้ว่าบิดามารดาของเลี่ยงรุ่ยเสียชีวิตไปแล้ว
เมื่อทำพิธีเสร็จสิ้นลง เลี่ยงรุ่ยประคองหลินเยว่นางกลับเข้าไปอยู่ในห้องหอ มาถึงตอนนี้แม่สื่อก็ได้สติแล้วนางจึงเดินเข้ามาทำพิธีต่อให้
เลี่ยงรุ่ยรับกรรไกรจากแม่สื่อเพื่อมาตัดผมของเขาและของหลินเยว่ผูกเข้าด้วยกัน
“ต้องตัดด้วยรึ” นางยื่นหน้าไปกระซิบถามเขา
“หากเจ้าไม่ตัด พิธีจะเสร็จสิ้นได้อย่างไร” เขามองนางอย่างแปลกใจ เหมือนนางไม่เคยเห็นพิธีแต่งงานมาก่อนเลย
หลินเยว่เม้มปากแน่น นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในยุคโบราณเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องตัดผมเพื่อทำพิธีผูกผม แต่นางไม่ได้คิดอยากจะใช้ชีวิตกับจางเลี่ยงรุ่ยเช่นสามีภรรยา
แต่นางก็ขัดขืนไม่ได้ เมื่อจางเลี่ยงรุ่ยดึงปอยผมของนางออกแล้วตัดทันที โดยไม่ได้เอ่ยถามนางเมื่อเสร็จพิธีด้านใน แม่สื่อก็ออกไปจากห้อง
“ประเดี๋ยวก่อน” นางรั้งตัวเขาไว้ เมื่อเขาจะเดินออกไปด้านนอก
“มีอันใด”
“ขะ ข้าหิว” นางลูบท้องของนางอย่างอายๆ ไม่รู้เจ้าของร่างเดิมได้กินอะไรก่อนหน้านี้หรือไม่ ทำไมนางถึงได้หิวมากเช่นนี้
“ข้าจะไปยกอาหารมาให้”
“ขอบคุณท่านมาก” นางยิ้มออกมาอย่างยินดี
พออยู่คนเดียวนางก็เริ่มตรวจดูข้าวของที่ติดตัวมาด้วยของเกาหลินเยว่ เมื่อเห็นว่ามีเพียงหีบใส่เสื้อผ้าเพียงใบเดียวและเงินอีกยี่สิบตำลึงเงินก็กลอกตามองบนทันที
“หึ เป็นถึงคหบดีใหญ่ แต่งบุตรสาวให้เงินมาแค่เนี่ย” หลินเยว่โยนเงินกลับไปที่เดิม
นางจะไม่รู้ค่าเงินในยุคโบราณได้อย่างไร นางอ่านนิยายที่เกี่ยวกับทะลุมิติมาไม่น้อย เงินยี่สิบตำลึงจะไปตั้งตัวได้อย่างไร
จางเลี่ยงรุ่ยยกอาหารเข้ามาด้านในห้องให้หลินเยว่นางได้กิน แต่เมื่อนางได้เห็นสำรับอาหาร ความยากทั้งหมดก็หายไปจนสิ้น
“เจ้ากินรองท้องไปก่อนเถิด” เขาเห็นสีหน้าของนางที่หม่นหมองลง จึงได้เอ่ยออกมาอย่างเห็นใจ นางคงไม่เคยกินอาหารเช่นนี้มาก่อนอย่างแน่นอน
หลินเยว่นางจะเคยกินได้อย่างไร ข้าวต้มที่แทบจะไม่เห็นเมล็ดข้าวอยู่ในชาว ไหนจะผัดผักที่ไม่มีน้ำมัน หน้าตาก็ดูแทบไม่ชวนให้กินเลยสักนิด
สุดท้ายหลินเยว่ก็ต้องฝืนใจกินข้าวต้ม เรียกมันว่าน้ำข้าวดีกว่า ลงท้องไปจนหมด
“นี่เป็นอาหารในงานแต่งแน่รึ” นางเงยหน้าขึ้นมาถามเขา
จางเลี่ยงรุ่ยเม้มปากแน่น เขาจะบอกนางเช่นไรดี เขาอยู่ในเรือนนี่ก็ไม่ต่างจากแรงงานชั้นดี นางคงยังไม่รู้ตัวว่าต่อไปคงได้ทำงานหนักอย่างแน่นอน
“เอาเถิด ไว้ข้าจะหาของกินที่ดีกว่านี้มาให้เจ้า” จางเลี่ยงรุ่ยยกชามข้าวที่ว่างเปล่าออกไปจากห้อง
เขาต้องออกไปดูแลแขก ทั้งยังต้องอยู่ช่วยเก็บข้าวของในงาน อย่าคิดว่าเป็นงานแต่งของตนเอง แล้วจะไม่ต้องทำอะไร ถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำทุกอย่างอยู่ดี
หลินเยว่ นางค้นหาเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดที่หนาหลายชั้นออก นางขึ้นมานอนพักอยู่บนที่นอน พร้อมทั้งคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
นางจะทำเช่นไรดี นางไม่อยากอยู่ในเรือนที่มีนางฮั่วซื่อที่ปากร้าย ตามนิยายที่อ่านมา จางเลี่ยงรุ่ยจำต้องแยกบ้านหรือตัดขาดกับตระกูล เรื่องนี้เขาจะยอมทำเพื่อนางได้หรือไม่
หลินเยว่นอนคิดไปเรื่อยจนนางผล็อยหลับไปอีกครั้ง
“นังหนู นังหนู ตื่นขึ้นมาคุยกับข้าสักประเดี๋ยวก่อนเถิด”
“อื้ออ” หลินเยว่พลิกตัวหนีอย่างรำคาญ ที่ต้องถูกรบกวนระหว่างนอนหลับ
“เอ่อ ถ้าเจ้าไม่ตื่นขอไปแล้วนะ”
หลินเยว่ลืมตาขึ้นมาทันที นางลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วมองไปที่เสียงที่นางได้ยิน
ชายชราหนวดเครายาว สวมชุดขาวราวกับนักพรต ยืนมองนางอยู่ที่ข้างเตียง ใกล้เสียจนใบหน้าของนางที่ลุกขึ้นมาโดยเร็วเมื่อครู่เกือบจะชนกับใบหน้าของเขา (ก็ห้องมันเล็กเสียขนาดนั้น)
“ท่านเป็นคนหรือเป็นผี” นางเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้