หากเป็นชาวบ้านที่มาร่วมงานคงไม่กล้าเข้ามาในห้องเจ้าสาวอย่างแน่นอน ถึงจะเข้ามาคนที่อยู่ด้านนอกก็ต้องรู้กันบ้างละ
“เพ้ย ข้าไม่ใช่ผี ไม่ใช่คน แต่เป็นเทพชะตา” เขายืดอกขึ้นอย่างภูมิใจ
ยิ่งทำให้หลินเยว่มึนงงมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก “แล้วท่านมาพบข้าด้วยเรื่องอะไร อย่าบอกนะว่า...” นางลากเสียงยาวจ้องจับผิดเขา ทั้ง ๆ ที่ตัวนางก็ไม่รู้หรอกว่าเขามาพบนางด้วยเรื่องอะไร
“เอ่อ คือว่า...” เขามีพิรุธจริงอย่างที่นางคิดไว้
เทพชะตาไม่กล้าที่จะบอกนางเรื่องที่เขาดึงตัววิญญาณมาผิดคน ความจริงแล้วหลินเยว่นางยังไม่ถึงฆาต คนที่ต้องตายเป็นสตรีอีกคนที่อยู่ในรถคันหลังต่อจากคันที่นางนั่งมา
เพราะความผิดพลาดที่นำวิญญาณมาผิดคน เทพชะตาได้ตรวจดูแล้วพบว่า เกาหลินเยว่นางกำลังจะสิ้นใจ ชะตาของทั้งสองคนช่างประหลาดนัก ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน เขาจึงได้พาวิญญาณของนางมาสวมร่างแทนเสียเลย
หากไม่ยอมมาเจรจากับนาง เขาต้องถูกลงโทษด้วยการยึดอายุบำเพ็ญเพียรถึงห้าร้อยปี จึงได้แต่ลงมาพบนางในครั้งนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านจะพาข้ากลับไปที่ภพเดิมใช่หรือไม่” ดวงตาของหลินเยว่เปล่งประกายขึ้นมาทันที
“เอ่อ เรื่องนี้ เห็นทีจะไม่ได้ ร่างของเจ้าถูกฝังลงดินเรียบร้อยแล้ว”
หลินเยว่เบิกตากว้างอย่างตกใจ ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนางถูกทำลายลงไปเพียงชั่ววูบ นางเงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยถามเสียงลอดไรฟันออกมา “แล้วท่านมาพบข้าด้วยเรื่องอันใด”
“ข้ามาสารภาพความผิดที่ทำลงไป” หลินเยว่ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ
“ข้าไม่อยากฟัง ในเมื่อท่านทำผิด ก็หาของมาชดเชยข้าเสีย เห็นหรือไม่ว่าสภาพความเป็นอยู่ของข้าเป็นเช่นไร” นางชี้ไปรอบๆ ห้องให้เขาได้มองดู
นางในภพก่อนและในตอนนี้ มีความเป็นอยู่ที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน แล้วจะให้นางยอมรับได้อย่างไรเล่า
“เอ่อ คือว่า...แล้วเจ้าอยากได้อันใด ให้ข้าอวยพรให้ดีหรือไม่” นางส่ายนิ้วไปที่หน้าของเทพชะตาช้าๆ
ๅ“ไม่ ข้าต้องการมิติ ที่มีห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็บ่อน้ำวิเศษที่ช่วยรักษาทุกโรคได้ หรือจะเป็นสวนสมุนไพรราคาแพงก็ยิ่งดี”
“เพ้ย สิ่งที่เจ้าพูดมาข้าไม่มีหรอก” เขาหลบสายตาของนาง
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เรื่องที่ท่านอยากให้ข้ายกโทษให้ ก็ไม่ได้เช่นกัน”
“เพ้ย เจ้า เจ้า ข้ายอมยกมิติให้เจ้าก็ได้ แต่จำไว้ ว่าเจ้าอย่าได้ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด” หลินเยว่พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะต่อรองกันเรื่องสิ่งของภายในมิติ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง เป็นจางเลี่ยงรุ่ย ที่เปิดเข้ามาด้านใน เขาต้องการเดินมาดูนางว่าเป็นเช่นไรบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะมาได้ยินเรื่องประหลาดเข้า
ในตอนแรกเขาคิดว่ามีบุรุษเข้ามาหานางในห้อง ด้วยกลัวว่านางจะเกิดอันตรายจึงคิดจะเข้ามาช่วย แต่ก็ต้องหยุดชะงักกับคำแนะนำตัวของชายชรา ที่บอกว่าตนคือเทพชะตาที่พาวิญญาณมาผิดคน
เทพชะตาและหลินเยว่หันไปมองจางเลี่ยงรุ่ยเป็นตาเดียว ตอนนี้มีผู้อื่นที่ล่วงรู้เรื่องของนางเพิ่มอีกคนแล้ว แล้วนางยังจะได้มิติของเทพชะตาอยู่หรือไม่
“เอ่อ เขาเป็นสามีของข้า คงไม่เป็นไรกระมังหากเขาจะรู้เรื่องนี้ด้วย” นางรีบเอ่ยออกมา
เทพชะตาอดที่จะมองค้อนนางไม่ได้ เพิ่งมาถึงยังไม่พ้นวันก็ยอมรับแล้วว่าเขาเป็นสามีของนาง
“เอาเถิด ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดกับเจ้าก็เป็นความผิดของข้า” เทพชะตาโบกมือขึ้น ก่อนจะมีลำแสงพุ่งเข้ามาที่จุดกึ่งกลางหน้าผากของหลินเยว่
ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของจางเลี่ยงรุ่ย เขาอดจะตกตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเห็นไม่ได้ เช่นนี้ก็เท่ากับว่า เกาหลินเยว่ที่ต้องแต่งกับเขานางได้ตายลงไปแล้ว แต่สตรีที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นดวงวิญญาณที่มาอย่างอีกภพหนึ่งเช่นนั้นรึ
ระหว่างที่เขากำลังสับสนกับความคิดของตนเองอยู่นั้น เทพชะตาก็ได้เลือนหายไปจากห้องหอเรียบร้อยแล้ว
“เลี่ยงรุ่ย เลี่ยงรุ่ย” หลินเยว่เขย่าตัวเรียกเขา เพราะนางเห็นเขายืนนิ่งอยู่กับที่นานแล้ว
“เอ่อ เจ้ามิใช่เกาหลินเยว่เช่นนั้นรึ” เขาเอ่ยถามออกมาอย่างสับสน
“อืม ข้าคิดว่าเจ้าได้ยินทั้งหมดแล้วเสียอีก อย่าได้คิดจับข้าไปเผาเด็ดขาด” นางจ้องเขาราวกับกำลังเตือนว่าอย่าได้คิดนำเรื่องของนางไปบอกผู้อื่น
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นสามีของเจ้า ข้าจะทำเช่นนั้นเพื่ออันใด”
“เอ่อ ข้าเพียงพูดไปอย่างนั้นเอง กลัวว่าเทพชะตาจะไม่ให้ของกับข้า” นางหัวเราะแห้งออกมา
“เอาเถิดเรื่องความลับของเจ้าข้าจะมิพูดออกไป ว่าแต่เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นผู้ใด มาจากที่แห่งใด” เขานั่งลงข้างนาง ก่อนจะหันมามองนางอย่างคาดคั้น
แต่ก่อนที่หลินเยว่จะเอ่ยเล่าถึงเรื่องราวในภพก่อนของนาง เสียงของนางฮั่วซื่อ และสะใภ้รองก็ดังเข้ามาในห้องเสียก่อน
“เจ้าตัวซวย เข้าไปทำอันใดเวลานี้ ออกมาเก็บของให้แล้วเสร็จเสียก่อน เพ้ย ขี้เกียจเสียจริง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคุณชายหรืออย่างไร ถึงได้ไม่คิดจะทำอันใดเลย”
“ใช่แล้วท่านแม่ ด้านนอกทุกคนต่างวุ่นวาย แต่ตัวเจ้าบ่าวดันมาหลบอยู่ในห้องกับเจ้าสาวเสียดาย ยังมิทันจะมืดค่ำเสียเลย” นางหงซื่อเอ่ยผสมโรงอย่างเมามัน
คนที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเห็นจะเป็นหลินเยว่ นางลุกจากที่นอน เพื่อจะไปเอาเรื่องทั้งสองคนที่ต่อว่าจางเลี่ยงรุ่ย เขาดึงรั้งแขนของนางไว้
“เจ้าทนได้อย่างไร” นางมองเขาอย่างตำหนิ ที่ปล่อยให้ย่าและอาสะใภ้ต่อว่าอยู่ได้
“ไม่ต้อง ข้าชินเสียแล้ว” ใบหน้าของจางเลี่ยงรุ่ยหมองลง
ตั้งแต่จำความได้ เขายังไม่เคยเห็นท่านย่าของเขาเรียกชื่อเขาเลย นอกจากนางเรียกเขาว่าตัวซวย
“เหอะ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร หรือต้องทนให้นางดุด่าไปจนตายเช่นนี้รึ”
“เอาเถิด ข้าต้องออกไปด้านนอกแล้ว เจ้าก็ปิดห้องให้ดีเล่า”
จางเลี่ยงรุ่ยเดินออกไปด้านนอก แต่เสียงด่าทอก็ยังคงได้ยินเข้ามาอยู่ในห้องไม่ขาดสาย
“ข้าจะบ้า” นางกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะนั่งลงที่เตียงเพื่อปรับอารมณ์ให้เย็นลงเสียก่อน
ตอนนี้นางหันมาสนใจมิติที่เพิ่งจะได้รับมาแทน นางอยากรู้ว่าด้านในมีสิ่งใดอยู่บ้าง นอกจากสิ่งที่นางร้องขอ
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้