พจีพัฒน์นั่งนิ่งทันที เพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น และอีกอย่างก็ขัดคำสั่งของพ่อไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเขายังอยู่ในวัยเรียน เงินและทรัพย์สินทั้งหมดก็ยังมีไม่มากพอ จะมีเพียงแค่เงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ จากเงินเดือนที่พ่อให้ใช้จ่ายในทุกเดือนเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ซึ่งก็แอบเก็บสะสมเอาไว้บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
“ไม่ต้องพูดอะไรกันทั้งนั้นแหล่ะตาพีทกับหนูหริ่งต้องจดทะเบียนสมรสกันให้เร็วที่สุด แล้วเรื่องเรียนก็หยุดพักกันเอาไว้ก่อนทั้งสองคนเลย หนูหริ่งคลอดปีหน้าค่อยเรียนพร้อมกันทีเดียว หลังจากนี้ให้ตาพีทเข้าไปเรียนรู้งานกับตาเพชรที่บริษัทไปก่อน จนกว่าหนูหริ่งจะคลอด แล้วถ้าฉันรู้ว่าใครคิดอกุศลทำชั่วอะไร หรือว่าคิดไม่ดีให้หนูหริ่งแท้งขึ้นมา ได้เห็นดีกันแน่” พัฒน์พงษ์พูดออกมาโดยยื่นคำขาดแก่คนในบ้านทั้งหมดทันที
“ยัยเปียท้อง แต่ผมก็ไม่ได้ท้องนี้ครับพ่อ ทำไมต้องให้ผมพักเรื่องเรียนเอาไว้ด้วย อีกอย่างเราก็ไม่ได้รักกัน ทำไมต้องจดทะเบียนสมรสกันด้วยครับ” พจีพัฒน์พยายามหาเหตุผลมาอ้างขึ้น
“เรียนจบกันเมื่อไหร่ ถ้าไม่ได้รักกันพ่อถึงจะอนุญาตให้หย่ากันได้ แต่ตอนนี้ก็ลองใช้ชีวิต ดูกันไปก่อน ว่ากว่าหนึ่งชีวิตที่เกิดขึ้นมา แล้วกว่าจะโตขึ้นมาต้องลำบากเลี้ยงกันขนาดไหน พวกลูกจะได้เรียนรู้ชีวิตคู่ไปพร้อมๆกันเลย” พัฒน์พงษ์พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ตั้ง 4-5 ปีเลยน่ะครับพ่อ กว่าจะจบมหาลัย” พจีพัฒน์ ยังคงพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งกับพ่อ
“เอาตามนี้ พรุ่งนี้พ่อจะให้ทนายกับเจ้าหน้าที่อำเภอเข้ามาทำเรื่องจดทะเบียนสมรสให้” พัฒน์พงษ์รีบตัดบทขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กเริ่มจะต่อกลอนมากจนเกินไป
“แล้วทนายจะมาทำไมกันค่ะคุณพี่ ก็แค่จดทะเบียนสมรสกันเอง” นิษฐาถามสามีขึ้นมา
“สินสมรส และข้อตกลงในระหว่างนี้ ของตาพีทกับหนูหริ่ง และหลานที่กำลังจะเกิดมายังไงล่ะ” พัฒน์พงษ์พูดเพียงแค่นั้น ก็เดินขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที
รุ่งเช้า
เช้าวันนี้ที่พัฒน์พงษ์ได้ให้ทนายประจำตระกูลเข้ามาที่บ้านเพื่อทำข้อตกลงและอะไรในหลายๆอย่าง เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสของลูกชายคนเล็กของบ้าน และผลที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เมื่อทั้งคู่ต้องหย่าขาดจากกัน
“มากันครบแล้วก็เข้าเรื่องกันเลยครับ” พัฒน์พงษ์พูดขึ้นทันที เมื่อทุกคนมาพร้อมกันครบแล้ว
เจ้าหน้าที่ได้นำเอกสารต่างๆ ให้แก่พจีพัฒน์และพีรดาได้เซ็นจนครบทุกอย่างแล้ว จึงนำใบทะเบียนสมรสมอบให้แก่ทั้งคู่ถือคนละใบ
“ยินดีกลับทั้งสองด้วยนะครับ เป็นสามี-ภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ครองรักกันจนแก่เฒ่าเลยนะครับ” เจ้าหน้าที่เอ่ยแสดงความยินดีกับทั้งคู่ และจึงขอตัวกลับออกไปทันที
“คุณทนายช่วยร่างเงื่อนไขและข้อตกลงให้ทั้งคู่เซ็นตามนี้ด้วยนะครับ” พัฒน์พงษ์ยื่นกระดาษแผ่นเท่าA4 ยื่นให้แก่ทนาย ที่ยังคงอยู่ที่นี่ต่อ
ทนายทำการรับกระดาษแผ่นนั้นจากพัฒน์พงษ์มา แล้วร่างขึ้นมาใหม่ทันที พร้อมยื่นให้แก่ทั้งคู่คนละแผ่น เพื่อได้อ่านและเซ็นรับทราบ
“เชิญทั้งคู่อ่าน แล้วก็เซ็นยอมรับเงื่อนไขตรงนี้ได้เลยครับ” ทนายอุเทน พูดขึ้นมาทันที ที่ยื่นกระดาษให้แก่ทั้งคู่
กฎและข้อตกลงสำคัญในระหว่างการสมรส และการหย่าในภายหลัง
ข้อที่ 1. เมื่อนายพจีพัฒน์และนางสาวพีรดาได้ทำการจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ถือว่าทั้งนายพจีพัฒน์และนางสาวพีรดาคือสามี-ภรรยาตามข้อกฎหมาย ทรัพย์สินทั้งหมดของนายพจีพัฒน์ที่มี นับตั้งแต่ตอนที่ได้ทำการทำการจดทะเบียนสมรส ได้ตกเป็นของนางสาวพีรดาครึ่งหนึ่งทันที
ข้อที่ 2. นายพจีพัฒน์ เมื่อได้ทำการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพีรดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะไม่มีสิทธิ์คบหา หรือมีความสัมพันธ์ทางกาย ทางใจ กับบุคคลอื่นใด หรือแม้แต่ใครใดๆทั้งสิ้น จนกว่าจะมีการจดทะเบียนหย่า หากมีการละเมิดกฎ สามารถให้นางสาวพีรดาทำการฟ้องร้องได้อย่างเต็มที่ และเรียกค่าเสียหายทดแทนได้ตามจำนวนที่ต้องการ จากนายพจีพัฒน์โดยตรง และทรัพย์สินทั้งหมดจะตกมาเป็นนางสาวพีรดาแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
ข้อที่ 3. การหย่า สามารถทำการจดทะเบียนหย่าได้ ก็ต่อเมื่อครบกำหนดตามสัญญาในระยะเวลา 5 ปีเท่านั้นหลังจากนี้ หากนายพจีพัฒน์หรือนางสาวพีรดา ได้แอบไปจดทะเบียนหย่ากันก่อน ทั้งคู่จะไม่มีสิทธิ์ในการครอบครองบุตร และทรัพย์สินอื่นใดๆทั้งสิ้นจากทางบิดา
ข้อที่ 4. บุตรที่เกิดจากทั้งคู่ จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากทางครอบครัวของฝ่ายชาย และใช้นามสกุลจากทางบิดาเท่านั้น
ข้อที่ 5. การอยู่รวมกันฉันสามี-ภรรยา ข้อนี้แล้วแต่ทั้งคู่จะพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะถือว่าทั้งนายพจีพัฒน์และนางสาวพีรดาคือสามี-ภรรยากันโดยชอบธรรม เพราะถือว่ามีบุตรร่วมกันแล้ว
ข้อที่ 6. นางสาวพีรดาจะไม่ได้รับสิทธิในการครอบครองหรือดูแลบุตร เพราะบุตรจะอยู่ในการดูแลของนายพจีพัฒน์แต่เพียงผู้เดียว นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนหย่า แต่จะได้รับค่าทดแทนและทรัพย์สินจากนายพัฒน์พงษ์ ในจำนวนเงิน 100 ล้านบาท โฉนดที่ดินพร้อมกับบ้าน 1 หลัง เพื่อไปสร้างอนาคตและสามารถมีครอบครัวใหม่ได้ หลังจากที่จดทะเบียนหย่าไปแล้ว 1 ปี
ข้อที่ 7. หากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทั้งนายพจีพัฒน์และนางสาวพีรดา สามารถศึกษาจบก่อนในระยะเวลา 5 ปี หรือทั้งคู่สามารถชอบพอกันจริงๆ เงื่อนไขและข้อตกลงดังกล่าว ตามกระดาษแผ่นนี้ถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด สามารถจดทะเบียนหย่ากันหรือไม่หย่าก็ได้ (แต่นางสาวพีรดา จะไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวบุตร) และจะคืนสิทธิ์ให้แก่ทั้งสองตามความเหมาะสม
ทันทีที่พจีพัฒน์อ่านจบ ก็รีบเซ็นชื่อโดยไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้งใดๆเลยแม้แต่ข้อเดียว ถึงจะเสียผลประโยชน์ไปมากก็ตามแต่ เพราะความที่ยังอายุน้อยอยู่แล้วไม่ได้คิดตะหนักถึงวันข้างหน้า ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร
“เซ็นได้แล้ว จะอ่านอะไรนักหนา เธอมีแต่ได้กับได้ จะกังวลอะไรอีก ฉันนี้สิต้องคิดหนักเสียทั้งอิสรภาพ เสียทั้งทรัพย์สิน” พจีพัฒน์พูดขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าพีรดาไม่ยอมเซ็นเอกสารที่ทนายวางให้ตรงหน้า นานมากพอสมควร
“หนูหริ่งมีข้อข้องใจตรงไหนไหม” พัฒน์พงษ์ถามขึ้น
“หนูไม่มีสิทธิ์ในตัวลูกเลยใช่ไหมค่ะ หากว่าหนูหย่า ถ้าอย่างนั้นหนูขอไม่รับอะไรเลย แต่หนูขอเพียงแค่...” พีรดาพูดขอกับพัฒน์พงษ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่ทันที่จะได้พูดจบ
“หรือว่ามันน้อยไปหรือ” พจีพัฒน์สวนขึ้นมาทันที
“เก็บเอาไว้พิจารณาเถอะน่ะ ผู้ชายเมื่อหย่าแล้วไม่มีอะไรเสียหาย แต่ผู้หญิงเรามันไม่เหมือนกันนะหนูหริ่ง แล้วอีกอย่าง ต่อไปก็เรียกพ่อด้วย ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันกับตาพีทแล้ว” พัฒน์พงษ์พูดออกมาอีกครั้งให้พีรดาได้ฟัง
หญิงสาวจึงได้แต่จำใจ ต้องจรดปากกาเซ็นเอกสารตรงหน้านี้อย่างลำบากใจ และก็ไม่อาจจะปฏิเสธผู้มีพระคุณตรงหน้านี้ได้ด้วย
กำหนดคลอดหกเดือนต่อมาหลังจากที่จดทะเบียนสมรสกันในวันนั้น พจีพัฒน์ได้แอบมาคุยและทำสัญญาข้อตกลงกัน โดยที่พจีพัฒน์สั่งห้ามไม่ให้พีรดาแสดงตนต่อหน้าคนอื่นเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ หรือด้านนอกว่าเป็นสามี-ภรรยากัน ตลอดในระยะเวลาของ 5 ปี ที่ยังจดทะเบียนสมรสกันซึ่งพีรดาเองก็ยอมรับข้อเสนอนี้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพราะตั้งแต่ที่เธอท้อง แล้วหยุดพักการเรียน ก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย แถมยังขาดการติดต่อจากไลลา เพื่อนสนิทของเธออีกเพราะไม่อยากให้เพื่อนรับรู้ เรื่องราวของเธอด้วยและตั้งแต่ที่พีรดาท้อง นิษฐาก็ไม่ได้ติดต่อหรือพานัชชามาที่นี่อีกเลย เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะเจอกับพีรดาเข้าแล้วความแตกเสียก่อน จึงได้แต่รอให้พีรดาคลอดก่อน หลังจากนั้นจะโกหกว่ารับเด็กมาเลี้ยงก็ไม่มีใครทราบส่วนทางด้านของพงศกร ที่เห็นพีรดาเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ อีกคน นับตั้งแต่ที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ใหม่ๆ โดยทุกๆเย็นหลังเลิกงาน ชายหนุ่มจะหิ้วของกินมาให้เธอตลอด เพราะน้องชายไม่ยอมดูแลพีรดาในเรื่องนี้เลยส่วนทางพีรดาเองที่ตอนนี้ท้องโตมากแล้ว ใกล้จะถึงกำหนดคลอดในไม่กี่วันนี้เอง ร่างอุ้ยอ้ายเดินเหินไม่ค่อยสะดวก พักหลังๆมานี้เธอเอาแต่เก็บตัวอ
จดทะเบียนสมรสพจีพัฒน์นั่งนิ่งทันที เพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น และอีกอย่างก็ขัดคำสั่งของพ่อไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเขายังอยู่ในวัยเรียน เงินและทรัพย์สินทั้งหมดก็ยังมีไม่มากพอ จะมีเพียงแค่เงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ จากเงินเดือนที่พ่อให้ใช้จ่ายในทุกเดือนเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ซึ่งก็แอบเก็บสะสมเอาไว้บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก“ไม่ต้องพูดอะไรกันทั้งนั้นแหล่ะตาพีทกับหนูหริ่งต้องจดทะเบียนสมรสกันให้เร็วที่สุด แล้วเรื่องเรียนก็หยุดพักกันเอาไว้ก่อนทั้งสองคนเลย หนูหริ่งคลอดปีหน้าค่อยเรียนพร้อมกันทีเดียว หลังจากนี้ให้ตาพีทเข้าไปเรียนรู้งานกับตาเพชรที่บริษัทไปก่อน จนกว่าหนูหริ่งจะคลอด แล้วถ้าฉันรู้ว่าใครคิดอกุศลทำชั่วอะไร หรือว่าคิดไม่ดีให้หนูหริ่งแท้งขึ้นมา ได้เห็นดีกันแน่” พัฒน์พงษ์พูดออกมาโดยยื่นคำขาดแก่คนในบ้านทั้งหมดทันที“ยัยเปียท้อง แต่ผมก็ไม่ได้ท้องนี้ครับพ่อ ทำไมต้องให้ผมพักเรื่องเรียนเอาไว้ด้วย อีกอย่างเราก็ไม่ได้รักกัน ทำไมต้องจดทะเบียนสมรสกันด้วยครับ” พจีพัฒน์พยายามหาเหตุผลมาอ้างขึ้น“เรียนจบกันเมื่อไหร่ ถ้าไม่ได้รักกันพ่อถึงจะอนุญาตให้หย่ากันได้ แต่ตอนนี้ก็ลองใช้ชีวิต ดูกันไปก่
คำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้“พิมพ์ว่าอะไรน่ะ ใครท้อง” นิษฐาที่เดินเข้ามาได้ยินที่ป้าหลานพูดกันพอดี จึงได้ถามขึ้นเสียงดังเพราะความอยากรู้อยากได้ยินคำตอบอย่างแน่ชัด“ก็...” พิมพาได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่กล้าที่พูดออกมา ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างสลด“ตามฉันมาที่ห้องรับแขกกันทุกคนเลย ลัดดา โทรตามหมอณัฐให้เข้ามาที่บ้านเดี๋ยวนี้ด้วย” นิษฐาจึงตัดบทขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยสั่งสาวใช้คนสนิทออกไปนายแพทย์ณัฐพงษ์ เรืองพาณิชยากุล สูตินารีแพทย์แห่งโรงพยาบาลเอกชนดัง และยังเป็นแพทย์ประจำกูล แถมยังเป็นน้องชายแท้ๆของ พัฒน์พงษ์ อีกด้วยชายหุ่นสูงโปร่งสวมเสื้อกราวนด์ขาว อายุราว 40 ปี เดินถืออุปกรณ์และกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ กำลังจะออกจากบ้าน เพราะได้เข้ามาตรวจหญิงสาวตามคำสั่งของพี่สะใภ้อย่างนิษฐา“เจ้าณัฐ ใครเป็นอะไรหรือ ถึงมาที่นี่ได้” พัฒน์พงษ์ถามน้องชายขึ้นทันที ที่เจอกันหน้าประตูทางเข้าบ้าน เพราะพึ่งจะกลับมาจากทำงานที่บริษัทพอดี“คือว่า...” ณัฐพงษ์อ้ำอึ้งไม่กล้าตอบพี่ชายทันที เพราะพี่สะใภ้ห้ามไม่ให้บอก“อะไร” พัฒน์พงษ์จ้องมองไปที่น้องชายทันที“คุณนิษให้มาตรวจหนูหริ่งที่นี่ครับ ว่าท้องหรือเปล่า” ณัฐพงษ์เมื่อไม่อาจปิดบังพี่ชายไ
เรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นมอปลายสองเดือนต่อมาณ โรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อดังวันนี้เป็นวันที่ทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศขึ้น สำหรับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาประจำปีของทางโรงเรียน“หริ่ง ดีใจด้วยน่ะ ในที่สุดพวกเราก็ได้เรียนมหาลัยเดียวกัน ได้เจอหน้ากันอีกจนได้” ไลลา เพื่อนร่วมห้องและเพื่อนสนิทของหญิงสาวพูดขึ้นอย่างดีใจ เมื่ออทราบข่าวว่าพีรดาได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ“คุณลงเป็นคนจัดการให้น่ะ” พีรดาตอบกลับไปเพียงแค่นั้น เพราะไม่อยากพูดอะไรมากถึงเรื่องนี้ แค่ได้ศึกษาต่อก็ถือเป็นบุญมากพอแล้ว“แล้วสรุปแกจะเรียนสาขาไหนล่ะ เลือกได้ยัง” ไลลาถามกลับมาอีกคำถาม เพราะหญิงสาวยังไม่ลงเลือกสาขาที่ต้องการ“ฉันมีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ ขนาดฉันขอลงมหาลัยเปิด ท่านยังไม่ให้เรียนเลย” พีรดาพูดออกมาด้วยใบหน้าที่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ในโชคชะตาของตัวเอง แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากทำตามความต้องการของผู้มีพระคุณ“แกยังโชคดีน่ะหริ่ง ที่มีผู้อุปการะเลี้ยงดูแกมาดีขนาดนี้ แถมได้เรียนโรงเรียนเอกชน มหาลัยดังๆอีกด้วย” ไลลาเอ่ยชมออกมา อย่างน้อยๆ หญิงสาวก็ยังได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้“แกก็ได้เรียนที่ดีๆเหมือนก
ผิดแผนทุกคนที่ยังคงนั่งรอกันที่ห้องรับแขกกันอย่างใจเย็น เพื่อรอให้คนทั้งสองลงมาจากชั้นบนของบ้าน เพื่อรอฟังคำอธิบาย และความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่จะมีก็แต่พงศกร ที่ของตัวออกเดินไปตามหานัชชา แถวรอบๆบริเวณบ้าน เพื่อที่จะได้พาหญิงสาวกลับไปส่งบ้านก่อน ก่อนที่หญิงสาวจะมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ กลัวจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นตามมาอีก เพราะเขาก็พอจะทราบมาบ้างว่า นัชชาก็ปลื้มน้องชายเขาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่พจีพัฒน์ไม่เล่นด้วย บอกเพียงแค่ว่าไม่อยากยุ่งกับคนใกล้ตัว กลัวจะมีเรื่องวุ่นวายตามทีหลัง“หึ นี้ถึงขั้นแบกกันลงมาเลย คงจะจัดหนักกันล่ะสิท่า” พัฒน์พงษ์ เค้นหัวเราะออกมา พร้อมกับพูดขึ้นทันที เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กแบกหญิงสาวขึ้นหลังลงมาจากบันได“ยัยหริ่ง...ใครสั่งใครสอนแกห๊ะ ทำไมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้ ยัยเด็กคนนี้นี้ ป้าจะตีให้หลังหักเลย” พิมพา หรือ ป้าพิมพ์ ดุหลานสาวทันที ที่พจีพัฒน์วางเธอลงจากหลัง แล้วหยิกแขนของหลานสาวเข้าไปหนึ่งที“โอ้ยยย ป้าพิมพ์จ๋า หริ่งเจ็บเด้” เสียงร้องโอดโอยภาษาบ้านเกิดดังขึ้นมาจากปากของพีรดา เพราะขณะยืนแทบจะทรงตัวไม่อยู่อยู่แล้ว ยังจะถูกผู้เป็นป้าหยิกเข้าอีกพิมพา
สถานการณ์พลิกผันกลางดึกณ บ้านเรืองพาณิชยากุลสองร่างกายอันเปลือยเปล่าที่โยกขย่มกันอย่างเมามัน ภายใต้แสงสลัวจากดวงจันทร์ ที่สาดส่องลงมามาทางช่องหน้าต่าง ที่มีม่านผืนบางปกป้องอยู่ ในเงามืดอันสลัวนั้นที่พอจะสามารถมองเห็นร่างอันเปลือยเปล่าของกันและกันอยู่พอรางๆ แต่ทั้งสองร่างไม่ทราบเลยว่าคนที่ร่วมรักด้วยนั้นเป็นใครกัน เพราะด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ผสมกับยาปลุกเซ็กส์ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถที่จะควบคุมสติได้ และไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะต่างคนต่างต้องการการปลดปล่อยเป็นสิ่งแรกรุ่งเช้า“ตาพีทไปไหน ทำไมยังไม่ลงมาสักที วันนี้มีรายงานที่มหาวิทยาลัยไม่ใช่เหรอ หรือเปลี่ยนใจไม่อยากเรียนแล้ว” พัฒน์พงษ์ ผู้อาวุโส แห่งบ้านเอ่ยขึ้นถาม ภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ เตรียมจะรับประทานอาหารเช้ากัน“ไม่รู้สิค่ะ” นิษฐา ภรรยาของพัฒน์พงษ์เอ่ยตอบกลับอย่างเฉไฉ และพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด“แล้วหนูนัชชาล่ะ เมื่อคืนกลับยังไง ใครเป็นคนไปส่ง” พัฒน์พงษ์เปลี่ยนเรื่องถามภรรยาทันที“หนูนัชน่าจะค้างที่นี่แหล่ะ” นิษฐา ตอบสามีออกมา พร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข“ห๊า...ค้างที่นี่ แล้วนอนที่ไหนกัน ที่ห้อ