แม้ว่าจะดีใจที่ได้รับรางวัล แต่การขึ้นมายืนบนเวทีที่มีคีตกานต์ยืนอยู่ด้วยนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่าดีสักเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงยามเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ๆ อรรถกรหยิบของรางวัลออกมาแล้วเดินกลับตรงมาหาเธอด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ซึ่งต่างจากอีกคนลิบลับ
"เดี๋ยวพี่ขออนุญาตใส่ให้ซันเลยนะครับ"
"อรรถนายไม่ต้อง ส่งมานี่เดี๋ยวนี้"
อรรถกรที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบสร้อยก็อดชะงักมือไว้อย่างเสียไม่ได้ พอคีตกานต์หยิบสร้อยไปไว้ในมือเอง เหล่าบรรดาแฟนคลับด้านล่างต่างก็พากันส่งเสียงฮือ บ้างก็วี้ดว้ายส่งเสียงกรี๊ดออกมาเบาๆว่าอยากจะเป็นผู้โชคดีที่ถูกคีตกานต์ใส่สร้อยให้บ้าง ฉัตรตะวันมองตามข้อมือแกร่งที่หยิบสร้อยคอทองคำเส้นนั้นขึ้นและตรงอ้อมมาที่ด้านหลัง ก่อนที่เส้นผมยาวสลวยนั้นจะถูกรวบเอามาไว้ที่ด้านหน้า ในขณะที่เขากำลังใส่ พลางก็มีเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหู
"ที่ฉันเลือกที่จะใส่ให้เธอเอง ก็เพราะว่าฉันไม่ต้องการให้นายอรรถมายุ่งกับเธอ เข้าใจไว้ด้วยนะ อย่าคิดที่จะหลอกล่อน้องชายฉัน เพราะฉันนี่แหละที่จะคอยทั้งกีดขวางและเปิดโปงผู้หญิงแบบเธอเอง" น้ำเสียงเรียบเข้มแต่แข็งกระด้างถูกสื่ออกมาอย่างแผ่วเบา เพราะความต้องการของเขานั้นเพราะต้องการให้มีเพียงแต่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน
"ค่ะ ขอบคุณนะคะ" ฉัตรตะวันหันกลับไปมองหน้าคนพูดก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้ากวนๆและยิ้มให้ราวกับว่าไม่ได้สะทกสะท้านหรือว่าเกรงกลัวเขาเลยแต่อย่างใด คีตกานต์อยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่เธอจะทำตามหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือปฏิเสธ เขาก็ยังคงตัดสินเธอให้ออกมาในผลที่ไม่ได้ต่างกัน
พอลงจากเวทีมา คราวนี้ฉัตรตะวันก็ทำตัวติดกับอรรถกรมากขึ้น ทั้งหัวเราะต่อกระซิก ชวนคุย ยิ้มกันสนุกสนาน แน่นอนว่าสายตาพิฆาตถูกส่งมาเป็นระยะมิได้ขาด ยิ่งเธอดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ระดับความกวนก็จะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น
"พี่อรรถคะ เขาเริ่มออกไปเต้นกันแล้ว เราออกไปเต้นบ้างเถอะค่ะ ซันไม่ได้โชว์สเต็ปแดนซ์มานานมากแล้ว"
เสียงเพลงที่เปิดกลางลานดังขึ้น พร้อมด้วยเหล่าบรรดาคนงานต่างก็พากันออกไปเต้นด้วยความสนุกสนาน จนตอนนี้ซุ้มเครื่องดื่มที่ฉัตรตะวันยืนอยู่นั้นแทบจะไม่มีใครเดินมาหยิบเครื่องดื่มเลยสักคน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเริ่มจะเมากันแล้วก็เป็นได้
"ฮะ?นี่ซันเมาแล้วหรือเปล่า"
"โอ๊ย ก็คงจะไม่เท่าพี่อรรถหรอกค่ะ"
"เฮ้ย!พี่ยังไม่เมานะ"
"ก็ยังไม่ได้ว่าเมานี่คะ"
ว่าแล้วฉัตรตะวันก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา จังหวะที่จะชวนอรรถกรออกไปเต้นนั้น เผอิญสายตาก็ได้หันไปมองยังจุดที่เมื่อสักครู่ที่มีคีตกานต์ยังนั่งรวมดื่มด้วยอยู่กับเหล่าบรรดาคนงานที่เขาสนิทอยู่สี่ห้าคน หากแต่ตอนนี้กลับไม่พบแล้วว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้น
ชิ! ไปแล้วก็ดีสิ แบบนี้เธอจะได้เต้นให้สนุกได้เต็มที่ไปเลย
"เอ้าซันออกมาเร็วๆเข้าสิ มัวแต่ยืนหัวเราะอะไร เดี๋ยวเพลงที่เจ๊ขอไปก็จบก่อนหรอก คุณอรรถด้วยเร็วค่ะ"เสียงเรียกของเหล่าบรรดาเจ๊ๆของเธอดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนหัวเราะอยู่กับอรรถกรตรงนั้นและยังไม่ยอมเข้าไปร่วมแจมสักที
ยิ่งดึกเข้าทุกคนก็ยิ่งสนุก แม้ว่าอากาศชักจะเริ่มหนาว แต่แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปก็ช่วยให้เลือดลมวิ่งไล่ไปได้ทั้งตัวอยู่ งั้นเอาเป็นว่าคืนนี้เธอจะถือว่าเป็นคืนปล่อยผีคืนหนึ่งก็แล้วกัน คีตกานต์เองก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วด้วย ไม่ต้องมีใครมานั่งจ้องคอยจับผิด
"ส่งมือมาเร็วสิซัน รำวงกัน"
เสียงดนตรีย้อนยุคในจังหวะสามช่าดังขึ้น ฝีมือของเจ๊สมรเองที่อยากจะขอออกสเต็ปรำวง เมื่อเห็นว่าอรรถกรโค้งขอให้เธอเป็นคู่รำวง บรรดาเจ๊ๆที่กำลังได้ที่กรึ่มๆจากแอลกอฮอล์ต่างก็พากันแซวเธอยกใหญ่
"ถ้าซันไม่รำ เดี๋ยวพี่ขอไปรำกับคุณอรรถแทนนะ คิกๆ" พี่แก้วและพี่ใจสองสาวคู่ซี้ที่แสดงอาการขวยเขินตีแขนกันไปมาในขณะที่แซวเธอ
มือน้อยตัดสินใจยื่นออกไปให้เขาจับ อรรถกรค่อยๆขยับพาเธอรำไปเรื่อยๆจนรอบ กระทั่งดึกดื่นเที่ยงคืนตีหนึ่ง ทุกอย่างก็เป็นอันจบลง เครื่องเสียงถูกปิดไปแล้ว บรรดาคนงานผู้หญิงต่างก็พากันทยอยกลับ เหลือทิ้งไว้เพียงคนงานผู้ชายที่ยังมีตั้งวงดื่มกันต่อล้อมรอบกองไฟ
"จักรยานซันจอดไว้ที่ตรงไหนให้พี่ปั่นไปส่งนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่อรรถแค่นี้เองซันปั่นไหว ยิ่งพี่อรรถเมาๆอยู่ด้วย ซันไม่กล้าซ้อนท้ายหรอกค่ะ ซันกลัวพี่อรรถพาล้ม"
"ซันนี่ ถึงพี่จะดื่ม แต่สติสัมปชัญญะพี่ก็ยังครบถ้วน ให้พี่ไปส่งนะครับ"
"นั่นไงคะ ขนาดจากแค่ 'ซัน' เฉยๆ ก็ยังกลายเป็น'ซันนี่'ไปได้"
"ฮ่าๆ พี่ล้อเล่นนะ ไปเถอะ"
จนในที่สุดฉัตรตะวันเองก็ไม่สามารถที่จะทนต่อคำรบเร้าของอรรถกรได้ ร่างบางเดินตามอรรถกรขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายบนจักรยาน อาการมึนเมาเริ่มหายไปแล้วยามเมื่อเขาดึงมือเธอทั้งสองข้างให้ไปโอบกอดรอบเอวเขาไว้
"กอดเอวพี่ไว้ดีกว่า คืนนี้พี่ว่าซันเมาจะได้ไม่ตก"
"ฮือ เมาที่ไหนกันล่ะคะพี่อรรถก็"
แม้ว่าจะรู้สึกประหม่า แต่ก็ต้องยอมกอดเอวอรรถกรเอาไว้จนกลับมาถึงบ้านพักเพราะเขาไม่ยอมให้ปล่อย ระหว่างทางมีเซๆบ้างนิดหน่อยเพราะอรรถกรเองก็ดื่มหมดไปหลายแก้วเหมือนกัน แต่กระนั้นก็ยังพาเธอกลับมาจนถึงบ้านจนได้
ทันทีที่จักรยานจอด พอลงจากจักรยานได้ ก็กะว่าจะรีบเดินชิ่งหนีเขามาให้ไว แต่..ไม่ทัน ข้อมือน้อยถูกอรรถกรเกี่ยวดึงเอาไว้ทันควัน จนร่างเล็กเซถลาเข้าไปหาและปะทะเข้ากับลำตัวสูงใหญ่เข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
ส่วนอรรถกร พอได้โอกาสก็รีบดึงเธอเข้ามาสวมสอดเอาไว้ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง และแสงของมันเองก็มากพอที่จะสามารถมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้อย่างชัดเจน
"อุ๊ย พี่อรรถ"
"ซัน พี่ชอบซันนะ ที่ผ่านมาซันอาจจะยังไม่รู้ตัวเพราะพี่อาจจะแสดงออกน้อยเกินไป แต่นับจากนี้ ขอให้ซันรู้ไว้ว่านายอรรถกรคนนี้จะตามจีบซันนี่ให้มาเป็นแฟนให้ได้ ซันให้โอกาสพี่ได้ไหมครับ"
"พี่อรรถคะ คือว่าซัน.."
"หรือว่าซันมีแฟนแล้ว นายคนนั้นหรือเปล่าที่ชอบขับรถมาตามตื้อซันถึงที่นี่"
"เปล่าหรอกค่ะ พี่ธนาไม่ใช่แฟน"
"หรือซันรังเกียจพี่ครับ"
"ไม่ใช่ค่ะพี่อรรถ แต่คือว่าซัน.."
อรรถกรฉวยโอกาสเชยคางมนขึ้นมาให้สบตาตัวเอง ก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าให้ค่อยๆใกล้เขามา แต่ก็ช้ากว่า นิ้วมือเล็กๆนั่นที่ยกขึ้นห้ามเอาไว้
"พี่อรรถคะ คือว่าซันขอโทษนะคะ แต่ว่าตอนนี้ซันแค่อยากโฟกัสกับงานให้ได้มากที่สุดก่อน พี่อรรถก็คงจะรู้ว่าที่ซันต้องมาอยู่ที่นี่นั้นเพราะอะไร บอกตามตรงซันยังไม่อยากจะคิดอะไรทั้งนั้น พี่อรรถอย่าพึ่งบังคับเร่งรัดซันเลยนะคะ " ฉัตรตะวันค่อยๆผลักหน้าอกเขาให้ถอยออก ในขณะที่อรรถกรเองก็ยอมถอยออกให้อย่างง่ายดาย
"งั้น พี่ขอโทษนะครับ แต่พี่ก็อยากจะบอกให้ซันรู้ไว้ ว่าถึงยังไงพี่ก็ยังจะรอวันที่ซันพร้อม"
"ซันขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ เจอกันวันมะรืนค่ะ"
ฉัตรตะวันรีบเร่งฝีเท้าตัวเองให้เดินเข้าบ้านทันทีหลักจากเอ่ยลา อรรถกรเป็นคนดี ความรู้สึกดีๆที่เขามอบให้ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาเธอเห็นมาโดยตลอด แต่เพียงแค่เธอไม่อยากที่จะไปเน้นนับเรื่องอะไรพวกนั้น วันๆในหัวก็มีแต่คิดหาวิธีทำให้ธุรกิจของครอบครัวกลับมารุ่งเรืองให้ได้แบบเมื่อก่อนกับวิธีตอกกลับคีตกานต์เท่านั้น
ชุดเสื้อผ้าถูกถอดกองออก แม้ว่าจะดึกดื่นแล้วและอากาศจะหวานเย็นสักแค่ไหน แต่การไปออกสเต็ปเต้นมาก็เรียกเหงื่อไคลได้ มือเล็กหยิบผ้าขนหนูมาพันกายแล้วเตรียมที่จะเดินไปอาบน้ำ แต่เสียงเคาะประตูรัวๆก็ดังขึ้นเสียงสติ
"ใครกันนะ มาเวลานี้"คิ้วสวยขมวดยุ่งเข้าหากัน ด้วยความตกใจเสียงเคาะประตู จึงได้รีบวิ่งไปแอบดูตรงช่องกระจกหน้าบ้าน
"มาทำบ้าอะไรเนี่ย"ทันทีที่เห็นแน่ชัดว่าเป็นใคร คำพูดหัวเสียก็ถูกสบถออกไป เพราะหน้าบ้านของเธอเวลานี้มีคีตกานต์ยืนทำหน้าขมึงตึงอยู่ ด้วยความสองจิตสองใจ จึงยังไม่ได้เปิดประตูและยืนลังเลอยู่แบบนั้น จนกระเสียงเคาะนั้นเริ่มดังขึ้น
"ฉันรู้ว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น ถ้ายังไม่รีบเปิดอีก ฉันพัง"
"ช่วยอธิบายให้ซันฟังหน่อยได้ไหมคะว่าระหว่างที่ซันหลับไป คุณกับป๊าซันไปแอบทำสัญญาพักรบกันตอนไหน จำได้ว่าที่ซันเป็นล้มไปก็เพราะว่าคุณกับป๊านั้นเถียงกันไม่หยุด" ฉัตรตะวันถามซักไซ้ไล่เรียงทันทีที่คีตกานต์เดินกลับเข้ามา"สงสัยว่าป๊าซันคงกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนถึงหลานละมั้ง ก็เลยยอมอ่อนข้อลงให้""หลาน? ที่ไหนคะ""ก็หลานในท้องซันไง""คุณคีย์ซันไม่ตลกด้วยนะคะ นี่คุณกำลังหมายความว่าอะไร คุณบอกอะไรกับป๊าซันไปคะ ป๊าถึงได้ยอมถอยกลับไปได้ง่ายๆแบบนั้น" ฉัตรตะวันรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แถมสีหน้าท่าทางยังดูระแวงระวังอย่างไม่ไว้วางใจ"ผมบอกกับป๊าว่าซันกำลังท้องลูกของเราอยู่ แล้วก็จะยกหนี้สินทั้งหมดที่ป๊าคุณกู้ไปให้ ป๊าคุณคงเห็นแก่หลานและความจริงใจของผมละมั้ง ก็เลยยอม""ท้อง? ใครกันที่ท้อง ซันยังไม่ได้ท้องนะคะ นี่คุณโกหกป๊าซันทำไม""ผมไม่ได้โกหกป๊าคุณนะซัน ที่คุณเป็นลมล้มตึงไปนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณกำลังท้องอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่ ยังไงเร็วๆนี้คุณก็ต้องท้องแน่ๆ เชื่อมือผมสิ"ฉัตรตะวันยังคงงงๆกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่ภายในสัปดาห์ คีตกานต์ก็ได้พาทั้งคุณยายประไพศรีและคุณพรประภาเข้าไปต
"ถุย! ไอ้คีตกานต์ น้องซันเกลียดมึงจะตายไป ยังจะมากล้าพูดได้ไม่อายปากว่าน้องซันเป็นเมียมึง ไม่กระดากปากบ้างหรือไงวะ" ธนากรทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกฉัตรดนัยห้ามเอาไว้"ที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าพี่ซัน" ฉัตรดนัยเองก็อดสงสัยไม่ได้ที่อยู่ดีๆตนก็มีพี่เขยโผล่มา "ซี คือว่า.." เพราะฉัตรตะวันมัวแต่อึกๆอักๆไม่ยอมพูดไป จึงทำให้คนข้างๆเริ่มที่จะหมั่นไส้ตัดสินใจชูใบแผ่นกระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป"ผมกับฉัตรตะวันเราพึ่งไปจดทะเบียนสมรสกันมา และผมต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่พาฉัตรตะวันไปจดโดยพละการโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่หลังจากนี้ผมจะพาคุณยายกับคุณแม่เข้าไปพูดคุยกับเสี่ยให้เร็วที่สุด ไม่ทราบว่าเสี่ยสะดวกวันไหนครับ""พูดบ้าอะไรของมึงวะไอ้คีตกานต์ จดทะบงทะเบียนอะไร น้องซันเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู กูไม่ยอมให้มึงมาชุบมือเปิบไปหรอก ไอ้บ้านี่มันโกหก เรื่องที่มันพูดไม่เป็นความจริงใช่ไหมน้องซัน" พอเห็นคีตกานต์ชูแผ่นกระดาษที่มีกรอบเป็นรูปดอกกุหลาบล้อมรอบธนากรก็เริ่มร้อนใจ พยายามถามให้ฉัตรตะวันตอบหรือปฏิเสธอะไรก็ได้ ช่วยพูดออกมาทีว่าสิ่งที่คีตกานต์กำลังพูดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง"จริงค่ะพี่ธนา ซันกับคุณคีย์พึ่งไ
หลังจากนั้นคีตกานต์ก็พาเธอมายังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งดูสงบและร่มเย็น เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอกก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน ใบไม้ต้นไม้พัดโบกปลิวไสว ฉัตรตะวันมองตามที่คีตกานต์ชี้นิ้วตรงไปใต้ร่มโคลนต้นไม้ใหญ่ ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาวปิดเปลือกตาทำสมาธิอย่างสงบฝ่ามือเล็กยกขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อปิดปากไว้ หลังจากที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ที่โคลนใต้ไม้ต้นนั้นคือใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกลแค่ไหน ใบหน้านั้นก็ยังดูเด่นชัดคีตภัทรอยู่ในนุ่งห่มสีขาวและกำลังนั่งสวดภาวนาอย่างตั้งใจ คีตกานต์เล่าต่อให้เธอฟังว่า หลังจากที่ถูกธนากรทำร้ายจิตใจในวันนั้น คีตภัทรก็เริ่มเปลี่ยนไป จิตใจคิดฝักใฝ่ไปในทางธรรม เห็นทุกข์เห็นแจ้งว่าคงจะไม่มีใครรักเธออย่างจริงใจได้เท่าคนครอบครัว จากนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะละจากทางโลกมุ่งเข้าสู่ทางธรรม"เห็นแล้วนะว่าต่อไปนี้ครีมคงจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้""อันที่จริงขนาดน้องสาวคุณยังตัดสินใจละจากทางโลกเลย คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคุณก็น่าจะทำบ้างนะคะ""ไม่ล่ะ คนอย่างฉันมันกิเลสหนา ฉันยังตัดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ นี่ขนาดว่าเธอยืนอยู่ตั้งไกลแบบ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่คีตกานต์ยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถและปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างนั้น ธนากรบอกว่าเสี่ยมนัสรู้สึกตัวและรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานก็คงจะนำเงินทั้งหมดมาคืนให้ เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเงินจากธนากรที่เสนอให้ อาจแลกด้วยการหมั้นหมายหรืออะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นฝ่ายนั้นคงจะไม่แสดงท่าทีที่สุดแสนจะมั่นอกมั่นใจและกล้าเรียกฉัตรตะวันได้เต็มปากว่า 'ว่าที่คู่หมั้น'เขายังไม่ได้อยากได้เงินคืน หรือไม่ก็ไม่ได้อยากที่จะได้เงินคืนเลย..ขอเพียงแค่ฉัตรตะวันยังอยู่ใกล้ๆ คีตกานต์พาตัวเองกลับมายังบ้านพักก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วจัดการโหลดไฟล์วีดีโอใส่เข้าไปในมือถือ จากนั้นจึงกดส่งไปยังรายชื่อที่ถูกตั้งค่าไว้ในโหมดรายชื่อโปรดที่พักหลังๆมานี้มักจะแสดงอยู่ในหน้าจอประวัติการโทรเข้าออกของเขาบ่อยที่สุด พร้อมมีข้อความกำกับเขียนเอาไว้ด้วยความร้อนอกร้อนใจ เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเรื่องระหว่างเขาและเนตรดาววันนั้นมันไม่ได้มีอะไร เขาไม่เคยแม้แต่คิดนอกใจเธอ'ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำผิดต่อเธอเลย แล้วเธอกล้าที่จะทิ้งฉัน หนีฉันไปหมั้นกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง'หมดวันหยุดฉัตรตะวันยังคง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นคีตกานต์ก็ได้รับข่าวว่าฉัตรตะวันยกเลิกที่จะเช่าบ้านพักหลังนั้นแล้วย้ายออกไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ในเมืองแทน พอคีตกานต์รู้ข่าวก็เกิดกระวนกระวายใจ พยายามแอบขับรถตามไปดูว่าฉัตรตะวันย้ายไปพักอยู่ที่ไหน และพอได้รู้ ใจก็อยากจะขอแอบตามขึ้นไปดูอีกว่าห้องหับความเป็นอยู่ของเธอนั้นเป็นอย่างไร สะดวกสบายปลอดภัยดีหรือเปล่า หากแต่แล้วก็ทำไม่ได้ มีคนไม่ยอมให้เขาขึ้นไปด้วยความที่ว่าหอพักแห่งนี้มีระบบความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ทันทีที่บุคคลภายนอกอย่างเขาย่างกรายเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งเข้ามาเชิญตัวเขาให้ออกไปโดยทันที "เมียผมพักอยู่ที่นี่จริงๆ เธอพึ่งย้ายมาเพราะว่าเราทะเลาะกัน ผมแค่อยากจะขอขึ้นไปดูความเป็นอยู่ของเธอหน่อยว่าห้องที่เธออยู่เรียบร้อยปลอดภัยดีไหม พี่ให้ผมขึ้นไปแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้วผมจะรีบลงมา"หลังจากยืนอ้อนวอนพี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เสียนาน สุดท้ายแล้วคีตกานต์ก็ต้องหน้าจ๋อยกลับขึ้นรถมาอย่างเก่า สองวันมานี้ยอมรับว่าจิตใจของเขานั้นไม่เป็นสุขเลย มันค่อยๆดิ่งลงเพราะมัวแต่พะวงคิดมากเรื่องที่ฉัตรตะวันเข้ามาเห็นเขาและเนตรดาวอยู่ด้วยกันเขาไม่สบ
คีตกานต์ค่อยๆขยับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงแดดที่สาดเข้ามาจากด้านนอกนั้นโผล่ทะลุผ้าม่านห้องนอนเข้ามาได้ เมื่อวานเขาคงจะดื่มไปจนหนักมาก เช้านี้พอตื่นขึ้นมาถึงได้มีอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดแบบนี้ได้เรือนร่างสูงใหญ่พยามยามกระถดกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับอย่างช้าๆ สายตาเหลือบมองไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งกำลังบอกว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมง แต่ทันทีที่ได้ขยับ บริเวณหน้าอกของเขากลับมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง พอมันค่อยๆโผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา จึงได้เห็นว่าเป็นแขนของใครคนหนึ่งที่ยกพาดทับมากอดก่ายหน้าอกเขาเอาไว้คีตกานต์ถึงกับต้องทำการนึกคิดทบทวนอย่างละเอียด จำได้ว่าเมื่อคืนเขานั่งเครียดและดื่มอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน แล้วเช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาในบ้านของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหนหรือว่าพาใครที่ไหนเข้ามา แล้วแขนของคนที่นอนขยุกขยิกอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาใต้ผ้าห่มนี้คือใคร "ตื่นแล้วหรอคะคีย์"และทันทีที่ได้ยินเสียง คีตกานต์ก็จำได้ทันทีว่าเสียงที่พูดออกมานี้คือเสียงใคร ใช่เสียงของคนที่เขาคิดเอาไว้แน่ๆ แต่เพราะความที่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ผ้าห่มผืนใหญ่จึงได้ถูกดึงเปิดออกจนปรากฏเผยให้เห็นร่างที่เกือบจะนอนเปลือยเ