ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้วเนื่องจากว่าเป็นเวลาหน้าหนาว เหล่าบรรดาคนงานต่างพากันทยอยเข้างานมาจนครบหมดแล้ว เสียงดนตรีเครื่องเสียงบรรเลงเพลงขึ้นในจังหวะสนุกสนาน ต่างคนต่างก็พากันลุกออกไปตักอาหารและเครื่องดื่มที่จัดไว้ให้ตามซุ้มได้ตามแต่ใจ
ส่วนเธอฉัตรตะวัน หน้าที่หลักในคืนนี้ยังคงต้องคอยเรียงจัดเติมพวกอาหารและเครื่องดื่มที่วางตามแต่ละซุ้มให้เพียงพอต่อจำนวนของเหล่านงานที่ทยอยพากันมาหยิบอยู่อย่างไม่ได้ขาดจนมือแทบหงิก ยังดีที่ว่าด้านข้างของเธอนั้นมีอรรถกรคอยช่วยอยู่ ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องวิ่งหัวหมุนไปมากกว่านี้จากน้ำมือของคีตกานต์
ตลอดช่วงเวลาหัวค่ำ อรรถกรเอาแต่ทำตัวติดแหมะอยู่กับเธแไม่ห่าง แม้ว่าเธอจะบอกให้เขาไปสนุกกับคนอื่นๆบ้างแล้วก็ตาม แต่ฉัตรตะวันก็ได้รับกลับมาเพียงแค่คำปฏิเสธ จนเหล่าบรรดาเจ๊ๆทั้งหลายต่างก็พากันแวะเวียนมาทักทายและแอบแซวเธอบ้าง แต่ก็ไม่มีกล้าแหยมเข้ามาช่วยเธอได้สักคนเนื่องจากว่ากลัวรังษีอำมหิตของคีตกานต์ที่คอยสอดส่องดูอยู่
"พี่อรรถไปดื่มกับพวกพี่ๆเขาสิคะ ไม่ต้องมาคอยอยู่ช่วยซันหรอกค่ะ ซันทำเองได้" ฉัตรตะวันหันไปบอกอรรถกรอีกครั้งที่ตอนนี้ยังคอยช่วยเธอยืนเติมน้ำหวานลงแก้ววางเตรียมเอาไว้ในถาดไม่หยุด
"พี่ไม่ได้ชอบดื่มขนาดนั้นหรอกน่า อยู่ช่วยซันแบบนี้สนุกกว่าตั้งเยอะ" อรรถกรหันมาบอกคนตัวเล็กข้างๆ ดวงตาเต็มยิ้มที่พยายามส่งไปให้นั้นก็หวังว่าฉัตรตะวันจะยอมรับมันไปจากเขาบ้าง
"เดี๋ยวเราก็ได้งานงอกด้วยกันทั้งคู่หรอกค่ะ ยิ่งโดนคำสั่งห้ามว่าไม่ให้ซันอยู่ใกล้พี่ด้วย ว่าแล้วก็เดินหน้าหยิกมาโน่นละ"
ด้านบนเวทีมีคุณอำนาจผู้จัดการของเดอะเรดการ์เด้นกำลังประกาศเกี่ยวกับรายละเอียดของงานในวันนี้ พร้อมแจ้งเหล่าบรรดาพนักงานถึงของรางวัลที่มีและคีตกานต์จะขึ้นมาจับรางวัลบนเวทีให้หลังจากที่ทุกคนทานอาหารกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยิ่งพอได้ทราบถึงของรางวัลที่ทางเดอะเรดการ์เด้นจะนำมามอบให้ในคืนนี้ ทำเอาเหล่าพนักงานต่างก็พากันส่งเสียงปรบมือแสดงความถูกอกถูกใจกันใหญ่ เพราะของรางวัลชิ้นใหญ่ในคืนนี้ นอกจากจะเป็นพวกของใช้ภายในบ้านแล้ว ยังมีทั้งเงินรางวัลและที่สำคัญ คือ สร้อยคอทองคำฝังเพชรราคาแพงอีกด้วย
"อรรถ มาขลุกอยู่ตรงนี้นี่เอง แกไปช่วยพี่จับรางวัลให้พวกคนงานบนเวทีหน่อยสิ"
แม้ว่าจะพูดกับอรรถกรอยู่ หากแต่สายตาอันเฉียบคมกลับพุ่งตรงมาที่ฉัตรตะวันอย่างไม่สามารถที่จะหลบเลี่ยงได้ ซึ่งอันที่จริงฉัตรตะวันเองก็พอที่จะรู้ๆอยู่บ้างแล้วล่ะว่าเป้าหมายของการเดินมาตรงนี้ของคีตกานต์ก็คือต้องการจับอรรถกรให้แยกออกจากเธอมากกว่า ส่วนสิ่งที่เขากำลังพูดออกมานั่นน่ะคือข้ออ้าง
"แล้วพ่อล่ะครับ"
"คุณอำนาจจับมาทุกปีแล้ว ปีนี้ฉันอยากให้แกลองมาช่วยจับบ้าง เผื่ออีกหน่อยพ่อแกเกษียณไป แกจะได้มาทำหน้าที่นี้แทน รีบไปเข้าเถอะ อยู่แถวนี้นานๆฉันหายใจไม่ค่อยสะดวกเลยว่ะ"
ว่าแล้วคีตกานต์ก็ตรงเข้าไปดึงเเขนอรรถกรออกมาก่อนจะผลักหลังให้อีกฝ่ายให้เดินนำออกไปก่อน มิหนำซ้ำก่อนจะไปยังมิวายหันมาทิ้งคำจิกกัดหาเรื่องเธออีกจนได้
"ฉันเคยบอกเธอไปตั้งกี่ทีแล้วว่าให้อยู่ห่างๆจากไอ้อรรถเอาไว้ ยังไงฉันก็รักมันเหมือนน้องชาย ฉันไม่อยากให้คนดีๆแบบมันต้องมาแปดเปื้อนกับผู้หญิงแบบเธอ"
"แล้วผู้หญิงแบบซันมันเป็นยังไงหรอคะ เห็นคุณพูดหลายทีแล้วว่าซันเลวบ้างล่ะ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่เห็นว่าคุณจะเฉลยออกมาสักทีว่าคนอย่างซันน่ะมันไม่ดียังไง แล้วอีกอย่างที่อยากจะบอกนะคะ ซันกับพี่อรรถเราบริสุทธิ์ใจต่อกัน ถ้ามันจะมีใครคิดอกุศลก็คงจะไม่ใช่เราสองคนแน่ๆ"
"หึ บริสุทธิ์ใจอย่างงั้นหรอ กับไอ้อรรถน่ะฉันเชื่อนะ แต่กับเธอ ต่อให้อมพระอมกำแพงมาพูด ฉันก็ไม่เชื่อ อย่ายุ่งกับอรรถกรอีกนะฉัตรตะวัน ไม่อย่างงั้นจะหาว่าฉันใจร้ายอีกไม่ได้"
ฉัตรตะวันยืนมองคีตกานต์ที่เดินจากไปแล้วด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นับวันเขาก็มีแต่จะร้ายยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนเธอเองชักเริ่มจะเหน็ดเหนื่อยใจในการรับมือ อยากหาทางรีบจบปัญหาคาราคาซังของธุรกิจครอบครัวที่ยังเป็นภาระผูกพันธ์อยู่ตอนนี้ให้จบได้ไวๆ แล้วจากนั้นเธอก็จะได้ลาขาด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาทางออกให้กับตัวเองได้จากที่ไหน
ฉัตรตะวันยืนมองเรือนร่างสูงใหญ่นั้นก้าวย่างขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีอย่างเต็มภาคภูมิ ผมสั้นรองทรง คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน คืนนี้คีตกานต์สวมใส่เสื้อโปโลแขนสั้นคอปกสีขาวยี่ห้อดังบวกกับกางเกงยีนต์สีน้ำเงินสมส่วนจนพวกพนักงานสาวๆที่ยืนรออยู่ที่ด้านล่างต่างก็พากันกรี๊ดกร๊าดในความดูดีของเขา หรือหากมีใครผ่านไปผ่านมาโดยที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน ก็อาจจะบอกได้ว่าคีตกานต์ก็ดารานายแบบดีๆนั่นเอง
เสียงกรี๊ดกร๊าดเริ่มดังมากขึ้นในยามที่เขาจับไมค์กล่าวขอบคุณพนักงานทุกคน เพราะว่าบางคนที่ทำงานในส่วนของรีสอร์ตก็มักจะนานๆทีถึงจะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลานั้น เนื่องจากว่าคีตกานต์เป็นคนชอบลุย งานที่เขาทำจึงต้องเป็นงานลุยๆ วันๆเขาก็จะคอยขลุกอยู่ตามท้องไร่ ตากแดดตากฝน ส่วนงานไหนที่ดูจะสบายๆ ใช้แรงน้อยหน่อยก็จะถูกส่งคุณอำนาจให้ไปดูแลแทน
"ผมขอขอบคุณพนักงานของเราทุกคนที่ช่วยกันตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อ เดอะเรดการ์เด้น ของเรามาตลอดทั้งปี คืนก็อีกเช่นเคย ที่จะมีการจับรางวัลก็เพื่อเป็นสินน้ำใจตอบแทนเหมือนเช่นเคย ขอให้คืนนี้ทุกคนได้สนุกกันอย่างเต็มที่แล้วเรามาเริ่มลุ้นของรางวันไปพร้อมๆกันเลยนะครับ"
หลังจากกล่าวจบ เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือก็ยิ่งดังเพิ่มขึ้นอีกตามมา คีตกานต์เดินตรงไปหยิบขวดโหลที่ภายในบรรจุม้วนกระดาษสีขาวเอาไว้มาเขย่า ก่อนจะเริ่มหยิบจับมันขี้นมาส่งให้อรรถกรเปิดออกทีละใบ
ทั้งตู้เย็น หม้อหุงข้าว พัดลม เครื่องเสียง กระติกน้ำร้อน และแม้กระทั่งรถจักรยานและรถจักรยานยนต์ อีกทั้งเงินรางวัลจำนวนต่างๆ ต่างก็ถูกทยอยจับขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงรายการสุดท้าย สร้อยคอทองคำพร้อมจี้ฝังเพชร ซึ่งถือว่าเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดของค่ำคืนนี้ มันก็เลยเป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอของเหล่าคนงานทั้งผู้ชายและผู้หญิง
คีตกานต์ก็ล้วงมือไปหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะส่งมันไปวางไว้ในมือของอรรถกร เนื่องจากว่าเป็นของรางวัลชิ้นสุดท้าย ทุกคนจึงต่างก็พากันเงียบและรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
"ชิ้นนี้เป็นรางวัลชิ้นสุดท้ายแล้วนะครับ ถ้าเป็นผู้ชายได้ไป ก็จะสามารถนำไปมอบให้กับแฟนหรือภรรยาได้ ส่วนถ้าเป็นผู้หญิงได้ เดี๋ยวผมจะขออนุญาตเป็นคนใส่ให้เองกับมือเลยก็แล้วกันนะครับ" และเสียงประกาศจากอรรถกรเองก็เรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาแฟนคลับสาวๆที่อยู่ด้านล่างได้เช่นกัน แม้ว่าจะหล่อถึงขนาดสู้คีตกานต์ไม่ได้ แต่ความน่ารักใสๆก็สามารถกินใจสาวๆได้แบบไม่มียอมกัน
หลังจากที่ตั้งตารอว่าใครกันจะคือผู้โชคดีคนนั้น จนในที่สุด อรรถกรก็ส่งแผ่นกระดาษที่คลี่ออกมาเเล้วไปให้คีตกานต์อ่าน เขารับมันมาถือเอาไว้ในมือ อ่านมันแต่ก็กลับเงียบไป สายตาคมจ้องมองไปยังหญิงสาวผู้หนึ่งที่ด้านล่างของเวทีซึ่งปรากฏชื่อว่าเธอคือผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลใหญ่ในค่ำคืนนี้ไป
"ฉัตรตะวัน เวชธีรดลย์"
"ช่วยอธิบายให้ซันฟังหน่อยได้ไหมคะว่าระหว่างที่ซันหลับไป คุณกับป๊าซันไปแอบทำสัญญาพักรบกันตอนไหน จำได้ว่าที่ซันเป็นล้มไปก็เพราะว่าคุณกับป๊านั้นเถียงกันไม่หยุด" ฉัตรตะวันถามซักไซ้ไล่เรียงทันทีที่คีตกานต์เดินกลับเข้ามา"สงสัยว่าป๊าซันคงกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนถึงหลานละมั้ง ก็เลยยอมอ่อนข้อลงให้""หลาน? ที่ไหนคะ""ก็หลานในท้องซันไง""คุณคีย์ซันไม่ตลกด้วยนะคะ นี่คุณกำลังหมายความว่าอะไร คุณบอกอะไรกับป๊าซันไปคะ ป๊าถึงได้ยอมถอยกลับไปได้ง่ายๆแบบนั้น" ฉัตรตะวันรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แถมสีหน้าท่าทางยังดูระแวงระวังอย่างไม่ไว้วางใจ"ผมบอกกับป๊าว่าซันกำลังท้องลูกของเราอยู่ แล้วก็จะยกหนี้สินทั้งหมดที่ป๊าคุณกู้ไปให้ ป๊าคุณคงเห็นแก่หลานและความจริงใจของผมละมั้ง ก็เลยยอม""ท้อง? ใครกันที่ท้อง ซันยังไม่ได้ท้องนะคะ นี่คุณโกหกป๊าซันทำไม""ผมไม่ได้โกหกป๊าคุณนะซัน ที่คุณเป็นลมล้มตึงไปนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณกำลังท้องอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่ ยังไงเร็วๆนี้คุณก็ต้องท้องแน่ๆ เชื่อมือผมสิ"ฉัตรตะวันยังคงงงๆกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่ภายในสัปดาห์ คีตกานต์ก็ได้พาทั้งคุณยายประไพศรีและคุณพรประภาเข้าไปต
"ถุย! ไอ้คีตกานต์ น้องซันเกลียดมึงจะตายไป ยังจะมากล้าพูดได้ไม่อายปากว่าน้องซันเป็นเมียมึง ไม่กระดากปากบ้างหรือไงวะ" ธนากรทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกฉัตรดนัยห้ามเอาไว้"ที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าพี่ซัน" ฉัตรดนัยเองก็อดสงสัยไม่ได้ที่อยู่ดีๆตนก็มีพี่เขยโผล่มา "ซี คือว่า.." เพราะฉัตรตะวันมัวแต่อึกๆอักๆไม่ยอมพูดไป จึงทำให้คนข้างๆเริ่มที่จะหมั่นไส้ตัดสินใจชูใบแผ่นกระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป"ผมกับฉัตรตะวันเราพึ่งไปจดทะเบียนสมรสกันมา และผมต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่พาฉัตรตะวันไปจดโดยพละการโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่หลังจากนี้ผมจะพาคุณยายกับคุณแม่เข้าไปพูดคุยกับเสี่ยให้เร็วที่สุด ไม่ทราบว่าเสี่ยสะดวกวันไหนครับ""พูดบ้าอะไรของมึงวะไอ้คีตกานต์ จดทะบงทะเบียนอะไร น้องซันเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู กูไม่ยอมให้มึงมาชุบมือเปิบไปหรอก ไอ้บ้านี่มันโกหก เรื่องที่มันพูดไม่เป็นความจริงใช่ไหมน้องซัน" พอเห็นคีตกานต์ชูแผ่นกระดาษที่มีกรอบเป็นรูปดอกกุหลาบล้อมรอบธนากรก็เริ่มร้อนใจ พยายามถามให้ฉัตรตะวันตอบหรือปฏิเสธอะไรก็ได้ ช่วยพูดออกมาทีว่าสิ่งที่คีตกานต์กำลังพูดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง"จริงค่ะพี่ธนา ซันกับคุณคีย์พึ่งไ
หลังจากนั้นคีตกานต์ก็พาเธอมายังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งดูสงบและร่มเย็น เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอกก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน ใบไม้ต้นไม้พัดโบกปลิวไสว ฉัตรตะวันมองตามที่คีตกานต์ชี้นิ้วตรงไปใต้ร่มโคลนต้นไม้ใหญ่ ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาวปิดเปลือกตาทำสมาธิอย่างสงบฝ่ามือเล็กยกขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อปิดปากไว้ หลังจากที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ที่โคลนใต้ไม้ต้นนั้นคือใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกลแค่ไหน ใบหน้านั้นก็ยังดูเด่นชัดคีตภัทรอยู่ในนุ่งห่มสีขาวและกำลังนั่งสวดภาวนาอย่างตั้งใจ คีตกานต์เล่าต่อให้เธอฟังว่า หลังจากที่ถูกธนากรทำร้ายจิตใจในวันนั้น คีตภัทรก็เริ่มเปลี่ยนไป จิตใจคิดฝักใฝ่ไปในทางธรรม เห็นทุกข์เห็นแจ้งว่าคงจะไม่มีใครรักเธออย่างจริงใจได้เท่าคนครอบครัว จากนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะละจากทางโลกมุ่งเข้าสู่ทางธรรม"เห็นแล้วนะว่าต่อไปนี้ครีมคงจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้""อันที่จริงขนาดน้องสาวคุณยังตัดสินใจละจากทางโลกเลย คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคุณก็น่าจะทำบ้างนะคะ""ไม่ล่ะ คนอย่างฉันมันกิเลสหนา ฉันยังตัดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ นี่ขนาดว่าเธอยืนอยู่ตั้งไกลแบบ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่คีตกานต์ยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถและปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างนั้น ธนากรบอกว่าเสี่ยมนัสรู้สึกตัวและรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานก็คงจะนำเงินทั้งหมดมาคืนให้ เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเงินจากธนากรที่เสนอให้ อาจแลกด้วยการหมั้นหมายหรืออะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นฝ่ายนั้นคงจะไม่แสดงท่าทีที่สุดแสนจะมั่นอกมั่นใจและกล้าเรียกฉัตรตะวันได้เต็มปากว่า 'ว่าที่คู่หมั้น'เขายังไม่ได้อยากได้เงินคืน หรือไม่ก็ไม่ได้อยากที่จะได้เงินคืนเลย..ขอเพียงแค่ฉัตรตะวันยังอยู่ใกล้ๆ คีตกานต์พาตัวเองกลับมายังบ้านพักก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วจัดการโหลดไฟล์วีดีโอใส่เข้าไปในมือถือ จากนั้นจึงกดส่งไปยังรายชื่อที่ถูกตั้งค่าไว้ในโหมดรายชื่อโปรดที่พักหลังๆมานี้มักจะแสดงอยู่ในหน้าจอประวัติการโทรเข้าออกของเขาบ่อยที่สุด พร้อมมีข้อความกำกับเขียนเอาไว้ด้วยความร้อนอกร้อนใจ เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเรื่องระหว่างเขาและเนตรดาววันนั้นมันไม่ได้มีอะไร เขาไม่เคยแม้แต่คิดนอกใจเธอ'ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำผิดต่อเธอเลย แล้วเธอกล้าที่จะทิ้งฉัน หนีฉันไปหมั้นกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง'หมดวันหยุดฉัตรตะวันยังคง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นคีตกานต์ก็ได้รับข่าวว่าฉัตรตะวันยกเลิกที่จะเช่าบ้านพักหลังนั้นแล้วย้ายออกไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ในเมืองแทน พอคีตกานต์รู้ข่าวก็เกิดกระวนกระวายใจ พยายามแอบขับรถตามไปดูว่าฉัตรตะวันย้ายไปพักอยู่ที่ไหน และพอได้รู้ ใจก็อยากจะขอแอบตามขึ้นไปดูอีกว่าห้องหับความเป็นอยู่ของเธอนั้นเป็นอย่างไร สะดวกสบายปลอดภัยดีหรือเปล่า หากแต่แล้วก็ทำไม่ได้ มีคนไม่ยอมให้เขาขึ้นไปด้วยความที่ว่าหอพักแห่งนี้มีระบบความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ทันทีที่บุคคลภายนอกอย่างเขาย่างกรายเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งเข้ามาเชิญตัวเขาให้ออกไปโดยทันที "เมียผมพักอยู่ที่นี่จริงๆ เธอพึ่งย้ายมาเพราะว่าเราทะเลาะกัน ผมแค่อยากจะขอขึ้นไปดูความเป็นอยู่ของเธอหน่อยว่าห้องที่เธออยู่เรียบร้อยปลอดภัยดีไหม พี่ให้ผมขึ้นไปแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้วผมจะรีบลงมา"หลังจากยืนอ้อนวอนพี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เสียนาน สุดท้ายแล้วคีตกานต์ก็ต้องหน้าจ๋อยกลับขึ้นรถมาอย่างเก่า สองวันมานี้ยอมรับว่าจิตใจของเขานั้นไม่เป็นสุขเลย มันค่อยๆดิ่งลงเพราะมัวแต่พะวงคิดมากเรื่องที่ฉัตรตะวันเข้ามาเห็นเขาและเนตรดาวอยู่ด้วยกันเขาไม่สบ
คีตกานต์ค่อยๆขยับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงแดดที่สาดเข้ามาจากด้านนอกนั้นโผล่ทะลุผ้าม่านห้องนอนเข้ามาได้ เมื่อวานเขาคงจะดื่มไปจนหนักมาก เช้านี้พอตื่นขึ้นมาถึงได้มีอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดแบบนี้ได้เรือนร่างสูงใหญ่พยามยามกระถดกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับอย่างช้าๆ สายตาเหลือบมองไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งกำลังบอกว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมง แต่ทันทีที่ได้ขยับ บริเวณหน้าอกของเขากลับมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง พอมันค่อยๆโผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา จึงได้เห็นว่าเป็นแขนของใครคนหนึ่งที่ยกพาดทับมากอดก่ายหน้าอกเขาเอาไว้คีตกานต์ถึงกับต้องทำการนึกคิดทบทวนอย่างละเอียด จำได้ว่าเมื่อคืนเขานั่งเครียดและดื่มอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน แล้วเช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาในบ้านของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหนหรือว่าพาใครที่ไหนเข้ามา แล้วแขนของคนที่นอนขยุกขยิกอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาใต้ผ้าห่มนี้คือใคร "ตื่นแล้วหรอคะคีย์"และทันทีที่ได้ยินเสียง คีตกานต์ก็จำได้ทันทีว่าเสียงที่พูดออกมานี้คือเสียงใคร ใช่เสียงของคนที่เขาคิดเอาไว้แน่ๆ แต่เพราะความที่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ผ้าห่มผืนใหญ่จึงได้ถูกดึงเปิดออกจนปรากฏเผยให้เห็นร่างที่เกือบจะนอนเปลือยเ