หลังจากได้พ่นประโยคร้ายๆทั้งหมดนั้นไป มิวายคีตกานต์ยังกลับมาสั่งให้เธอไปจัดการทำความสะอาดรีสอร์ตทั้งหมดอีกจำนวนยี่สิบห้องต่อ ฉัตรตะวันยังคงก้มตาทำความสะอาดทุกๆห้องอย่างเร่งรีบ เพราะเมื่อสักครู่น้องชายของเธอพึ่งจะโทรมาบอกว่าบิดานั้นต้องแอดมิดและพึ่งถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากว่าหน้ามืดและลื่นล้มไปในห้องน้ำ ด้วยความเป็นห่วงบิดา จึงทำให้ฉัตรตะวันต้องทำใจกล้า โทรไปขออนุญาตคีตกานต์จนได้ ว่าถ้าหากเธอทำความสะอาดห้องพักทั้งหมดนี่เสร็จแล้ว เธอจะสามารถขออนุญาตออกไปเยี่ยมบิดาต่อได้หรือไม่
"ได้สิ ถ้าหากว่าทำความสะอาดเสร็จหมดนี่แล้วเธอจะไปเยี่ยมพ่อเธอก็ได้ แต่ยังไงๆเสีย พรุ่งนี้เช้าเธอก็ต้องกลับมาทำงานเหมือนเดิม ทำได้หรือเปล่าล่ะ"
และนั่นก็คือคำอนุญาตของเขา โดยที่เขาเอ่ยอนุญาตให้เธอกลับไปเยี่ยมบิดาได้ แต่พรุ่งนี้เช้าก็ยังคงต้องกลับมาทำงานตามเดิม
ฉัตรตะวันทั้งรีบและทั้งเร่ง จวบจนกระทั่งสี่โมงเย็นทุกอย่างก็เป็นอันแล้วเสร็จ จากนั้นตัวเธอจึงได้รีบปั่นจักรยานกลับไปยังบ้านพัก พออาบน้ำอาบท่าเสร็จจึงได้รีบบึ่งรถขับออกไปทันที
สองชั่วโมงกว่าๆก็ขับมาถึงโรงพยาบาล เธอไม่แวะเข้าไปที่บ้านเพราะนึกว่ายังไงเสียทุกคนก็ต้องอยู่ที่นี่ สอบถามกับพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าเคาร์เตอร์ไม่นานก็ได้หมายเลขห้องมา
"น้องซันมาแล้วครับน้าโฉม"
พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าธนากรนั้นนั่งอยู่ที่บริเวณข้างๆเตียง ส่วนมารดานั่งอยู่ที่โซฟาข้างๆ ยกเว้นน้องชายของเธอที่ไม่อยู่
"ป๊าเป็นยังไงบ้างคะแม่" ฉัตรตะวันเลือกที่จะถามมารดาแทนเพราะเห็นว่าบิดายังคงนอนหลับอยู่ ส่วนธนากร เธอหันไปยกมือไหว้เขาเพียงเท่านั้นแล้วจึงหันมาโฟกัสที่บิดาและมารดาต่อ
"ความดันโลหิตสูงจนหน้ามืดเป็นลม ดีที่หัวไม่ไปกระแทกกับอะไรเข้า หมอพึ่งให้ยาไปเมื่อตะกี้แล้วพึ่งหลับไป"
"แล้วซีล่ะคะ"
"แม่พึ่งให้น้องกลับบ้านไปพักเมื่อกี้นี้เอง ส่วนพี่ธนาเองพอรู้ว่าลูกจะมาก็เลยขออยู่ต่อแทนที่จะกลับไปพร้อมกับเตี่ยและแม่"
"พี่อยากเจอน้องซันครับ ก็เลยอยู่รอ"ธนากรพยายามยิ้มหวานและหันมาสบตา หากแต่เธอเองที่รีบหันหน้าหนีไปอีกทางเสียก่อน
"แล้วนี่คืนนี้แม่อยู่เฝ้าป๊าหรอคะ"
"จ๊ะลูก แต่เอ..ถามแบบนี้หรือว่าซันอยากจะอยู่เฝ้าป๊าเองล่ะ" แม้ว่าจะยังเครียดกับอาการสามีแต่คุณโฉมชบาก็อดแกล้งแหย่ลูกสาวเล่นไม่ได้
"โธ่แม่คะ แม่ก็รู้ว่าถ้าซันอยู่ ซันนี่แหละที่จะเป็นคนเฝ้าป๊าให้เอง ซันจะไม่ยอมให้แม่ลำบากหรอก แต่แม่ก็รู้นี่คะว่าอีตาเจ้านายของซันรายนั้นน่ะไม่เหมือนใคร แค่ขอแล้วเขาอนุญาตให้มานี่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว" ฉัตรตะวันตอบมารดาหน้ามุ่ย เสียงเศร้า
"จ๊ะลูก แม่รู้ ยังไงก็อดทนหน่อยนะลูกนะ" คุณโฉมชบาค่อยๆลูบมือลงบนศรีษะลูกสาวยามที่ฉัตรตะวันเดินเข้ามาอ้อนและโผกอดเอวราวกับเด็กๆ
"ถ้าเขาใช้งานน้องซันหนักมากนักล่ะก็ ออกๆมาเถอะครับน้องซัน อย่าทนเลย น้องซันไปทำงานที่บริษัทเตี่ยพี่ก็ได้ครับ หรือไม่ก็จะออกมาทำธุรกิจส่วนตัวอะไรก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ช่วยซัพพอร์ตเอง" ธนากรเองที่อยากจะมีส่วนร่วมขอแสดงความคิดเห็นบ้าง เแต่ดูท่าแล้วฉัตรตะวันเองจะไม่ได้คิดสนใจข้อเสนอกับความคิดเห็นของเขาเสียเท่าไหร่ เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็คงเลือกที่จะเเต่งงานกับธนากรแทนที่จะเลือกไปทำงานที่ไร่เดอะเรดการ์เด้นนานแล้ว
"ขอบคุณนะคะพี่ธนา แต่พอดีว่าซันยังพอทนได้อยู่ค่ะ แล้วก็อีกอย่าง ซันอยากทำทุกอย่างสร้างทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่าที่จะใช้ทางลัดค่ะ"
"น้องซันนี่ชอบทำให้พี่ประทับใจได้เสมอเลยนะครับ ทั้งสวย เก่ง ฉลาด จนพี่ไม่สามารถละสายตาไปมองผู้หญิงคนอื่นได้เลยจริงๆ"
"แต่ซันว่าพี่ธนาละเถอะค่ะ จะได้ไม่มีผู้หญิงมาวิ่งไล่ตามตบซันอีก"
"โธ่น้องซัน พี่สัญญาแล้วครับว่านับจากวันที่พี่รู้จักกับน้องซันมาจนถึงวันนี้และในอนาคตข้างหน้า จะไม่มีทางมีผู้หญิงคนไหนได้เข้ามาใกล้หรือทำร้ายน้องซันเพราะพี่ได้อีก" ธนากรทั้งลากเสียงยาวและพูดเสียงอ่อนยามเมื่อถูกฉัตรตะวันจี้จุดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต
หลังพูดจากพูดคุยกับมารดาต่อไปอีกนิดฉัตรตะวันก็จำเป็นต้องกลับ ส่วนบิดายังคงหลับยาวเนื่องจากได้รับยานอนหลับไปก่อนที่เธอจะมาถึงนี่เอง ก็เป็นอันว่าคืนนี้บิดาไม่ได้ตื่นมาเจอหน้าเธอ
ธนากรเองอาสาขับกลับมาส่งเพราะว่าเป็นห่วง หากแต่ฉัตรตะวันรีบปฏิเสธออกไปในตอนแรก ก่อนจะต้องมากลับคำขอให้ธนากรไปส่งอีกครั้งเมื่อลงมาถึงด้านล่างตึก
อยู่ๆยางรถที่ขับมาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นแบนบี้อยู่ติดพื้น มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันนะ ตอนมาก็ปกติดี แถมตัวเธอเองก็คอยควรเช็คสภาพ เอารถเข้าศูนย์อยู่ตลอดอีก
"เดี๋ยวพี่ให้คนมาเอาไปดูให้ ถ้าเสร็จเมื่อไหร่จะให้คนของพี่ขับไปคืนน้องซันที่โน่นนะครับ"
"ขอบคุณนะคะ"
ฉัตรตะวันยกมือขึ้นไหว้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้คิดจะมีใจให้ธนากร แต่ยังไงเสียเขาก็อายุมากกว่าเธอ และอีกอย่างถ้าจะให้พูดกันแบบตามจริง ธนากรเองก็ไม่ได้มีท่าทีในการคุกคามเธอเเต่อย่างใด ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาก็ถือได้ว่าเป็นคนที่นิสัยคบได้อยู่คนหนึ่ง เพียงแต่เธอไม่อยากไปให้ความหวังเขา ก็ในเมื่อไม่ได้มีใจ เหตุใดถึงต้องไปทำให้เขาเข้าใจผิด
แต่..ถ้าหากว่าตัวธนากรเองยังคงจะอยากตามตื้อเธอไปเรื่อยๆให้เสียเวลาชีวิต อันนี้เธอเองก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน ก็ในเมื่อเธอบอกไปเป็นล้านพันรอบเเล้วเขาก็ยังจะตามมาวอแวอยู่ได้นั่นมันก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะ
ระหว่างทางก็มีการพูดคุยกันไปเรื่อยๆ แต่ก็ยไม่วายวกกลับเข้ามาถึงเรื่องที่ทั้งครอบครัวฝ่ายเขาและเธอต้องการให้หมั้นหมายกันอีกจนได้ ทำไปทำมาเธอเองก็ชักจะอยากรำคาญขึ้นมาเสียดื้อๆที่ต้องทนตอบคำถามซ้ำำๆเดิมๆ
'ไม่รักก็คือไม่รัก ไม่แต่งก็คือไม่แต่งค่ะคุณพี่ธนาขา แค่นี้ไม่เข้าใจบ้างหรือไง เบื่อพูดอะไรซ้ำๆเดิมๆจัง'
และแล้วก็กลับมาถึงจนได้ ราวๆเที่ยงคืนกว่าๆ แต่ตรงปากทางเข้าไร่กลับยังมีกลุ่มคนงานน่าจะสักสามถึงสี่คนได้ที่ยังคงนั่งล้อมวงดื่มอยู่ที่ตรงโต๊ะนั่งใต้ต้นมะม่วง พอนึกขึ้นได้ว่าหลังๆมานี่ได้มีการจัดเวรยามเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของไร่ ฉัตรตะวันก็พลอยนึกโล่งใจ
เนื่องจากว่าบ้านพักของเธอนั้นอยู่ท้ายไร่ ทางเดียวที่จะผ่านเข้าไปได้จึงมีแค่ทางนี้ที่เป็นถนนตัดผ่านเข้าไป รถของธนากรถูกโบกให้จอดทันทีที่ผ่านเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับมีใครบางคนลุกขึ้นจากวงล้อมแล้วเดินตรงมา
เสียงเคาะกระจกดังขึ้นสองสามครั้ง ฉัตรตะวันพยายามเพ่งมองใบหน้านั้นแต่มันก็เห็นแค่เพียงเงามืดเนื่องจากว่ามีหลอดไฟจากบนเสาไฟฉายส่องลงมาที่ด้านหลังของชายผู้นั้น แต่พอทันทีที่ธนากรลดกระจกเปิดลงฉัตรตะวันก็ถึงกับถอนหายใจ เพราะน้ำเสียงเข้มๆแบบนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น
"ขอโทษนะ พอดีว่าทางเดอะเรดการ์เด้น ไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าขับรถผ่านเข้าออกภายในไร่ยามวิกาล"
"ช่วยอธิบายให้ซันฟังหน่อยได้ไหมคะว่าระหว่างที่ซันหลับไป คุณกับป๊าซันไปแอบทำสัญญาพักรบกันตอนไหน จำได้ว่าที่ซันเป็นล้มไปก็เพราะว่าคุณกับป๊านั้นเถียงกันไม่หยุด" ฉัตรตะวันถามซักไซ้ไล่เรียงทันทีที่คีตกานต์เดินกลับเข้ามา"สงสัยว่าป๊าซันคงกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนถึงหลานละมั้ง ก็เลยยอมอ่อนข้อลงให้""หลาน? ที่ไหนคะ""ก็หลานในท้องซันไง""คุณคีย์ซันไม่ตลกด้วยนะคะ นี่คุณกำลังหมายความว่าอะไร คุณบอกอะไรกับป๊าซันไปคะ ป๊าถึงได้ยอมถอยกลับไปได้ง่ายๆแบบนั้น" ฉัตรตะวันรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แถมสีหน้าท่าทางยังดูระแวงระวังอย่างไม่ไว้วางใจ"ผมบอกกับป๊าว่าซันกำลังท้องลูกของเราอยู่ แล้วก็จะยกหนี้สินทั้งหมดที่ป๊าคุณกู้ไปให้ ป๊าคุณคงเห็นแก่หลานและความจริงใจของผมละมั้ง ก็เลยยอม""ท้อง? ใครกันที่ท้อง ซันยังไม่ได้ท้องนะคะ นี่คุณโกหกป๊าซันทำไม""ผมไม่ได้โกหกป๊าคุณนะซัน ที่คุณเป็นลมล้มตึงไปนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณกำลังท้องอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่ ยังไงเร็วๆนี้คุณก็ต้องท้องแน่ๆ เชื่อมือผมสิ"ฉัตรตะวันยังคงงงๆกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่ภายในสัปดาห์ คีตกานต์ก็ได้พาทั้งคุณยายประไพศรีและคุณพรประภาเข้าไปต
"ถุย! ไอ้คีตกานต์ น้องซันเกลียดมึงจะตายไป ยังจะมากล้าพูดได้ไม่อายปากว่าน้องซันเป็นเมียมึง ไม่กระดากปากบ้างหรือไงวะ" ธนากรทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกฉัตรดนัยห้ามเอาไว้"ที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าพี่ซัน" ฉัตรดนัยเองก็อดสงสัยไม่ได้ที่อยู่ดีๆตนก็มีพี่เขยโผล่มา "ซี คือว่า.." เพราะฉัตรตะวันมัวแต่อึกๆอักๆไม่ยอมพูดไป จึงทำให้คนข้างๆเริ่มที่จะหมั่นไส้ตัดสินใจชูใบแผ่นกระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป"ผมกับฉัตรตะวันเราพึ่งไปจดทะเบียนสมรสกันมา และผมต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่พาฉัตรตะวันไปจดโดยพละการโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่หลังจากนี้ผมจะพาคุณยายกับคุณแม่เข้าไปพูดคุยกับเสี่ยให้เร็วที่สุด ไม่ทราบว่าเสี่ยสะดวกวันไหนครับ""พูดบ้าอะไรของมึงวะไอ้คีตกานต์ จดทะบงทะเบียนอะไร น้องซันเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู กูไม่ยอมให้มึงมาชุบมือเปิบไปหรอก ไอ้บ้านี่มันโกหก เรื่องที่มันพูดไม่เป็นความจริงใช่ไหมน้องซัน" พอเห็นคีตกานต์ชูแผ่นกระดาษที่มีกรอบเป็นรูปดอกกุหลาบล้อมรอบธนากรก็เริ่มร้อนใจ พยายามถามให้ฉัตรตะวันตอบหรือปฏิเสธอะไรก็ได้ ช่วยพูดออกมาทีว่าสิ่งที่คีตกานต์กำลังพูดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง"จริงค่ะพี่ธนา ซันกับคุณคีย์พึ่งไ
หลังจากนั้นคีตกานต์ก็พาเธอมายังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งดูสงบและร่มเย็น เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอกก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน ใบไม้ต้นไม้พัดโบกปลิวไสว ฉัตรตะวันมองตามที่คีตกานต์ชี้นิ้วตรงไปใต้ร่มโคลนต้นไม้ใหญ่ ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาวปิดเปลือกตาทำสมาธิอย่างสงบฝ่ามือเล็กยกขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อปิดปากไว้ หลังจากที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ที่โคลนใต้ไม้ต้นนั้นคือใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกลแค่ไหน ใบหน้านั้นก็ยังดูเด่นชัดคีตภัทรอยู่ในนุ่งห่มสีขาวและกำลังนั่งสวดภาวนาอย่างตั้งใจ คีตกานต์เล่าต่อให้เธอฟังว่า หลังจากที่ถูกธนากรทำร้ายจิตใจในวันนั้น คีตภัทรก็เริ่มเปลี่ยนไป จิตใจคิดฝักใฝ่ไปในทางธรรม เห็นทุกข์เห็นแจ้งว่าคงจะไม่มีใครรักเธออย่างจริงใจได้เท่าคนครอบครัว จากนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะละจากทางโลกมุ่งเข้าสู่ทางธรรม"เห็นแล้วนะว่าต่อไปนี้ครีมคงจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้""อันที่จริงขนาดน้องสาวคุณยังตัดสินใจละจากทางโลกเลย คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคุณก็น่าจะทำบ้างนะคะ""ไม่ล่ะ คนอย่างฉันมันกิเลสหนา ฉันยังตัดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ นี่ขนาดว่าเธอยืนอยู่ตั้งไกลแบบ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่คีตกานต์ยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถและปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างนั้น ธนากรบอกว่าเสี่ยมนัสรู้สึกตัวและรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานก็คงจะนำเงินทั้งหมดมาคืนให้ เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเงินจากธนากรที่เสนอให้ อาจแลกด้วยการหมั้นหมายหรืออะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นฝ่ายนั้นคงจะไม่แสดงท่าทีที่สุดแสนจะมั่นอกมั่นใจและกล้าเรียกฉัตรตะวันได้เต็มปากว่า 'ว่าที่คู่หมั้น'เขายังไม่ได้อยากได้เงินคืน หรือไม่ก็ไม่ได้อยากที่จะได้เงินคืนเลย..ขอเพียงแค่ฉัตรตะวันยังอยู่ใกล้ๆ คีตกานต์พาตัวเองกลับมายังบ้านพักก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วจัดการโหลดไฟล์วีดีโอใส่เข้าไปในมือถือ จากนั้นจึงกดส่งไปยังรายชื่อที่ถูกตั้งค่าไว้ในโหมดรายชื่อโปรดที่พักหลังๆมานี้มักจะแสดงอยู่ในหน้าจอประวัติการโทรเข้าออกของเขาบ่อยที่สุด พร้อมมีข้อความกำกับเขียนเอาไว้ด้วยความร้อนอกร้อนใจ เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเรื่องระหว่างเขาและเนตรดาววันนั้นมันไม่ได้มีอะไร เขาไม่เคยแม้แต่คิดนอกใจเธอ'ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำผิดต่อเธอเลย แล้วเธอกล้าที่จะทิ้งฉัน หนีฉันไปหมั้นกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง'หมดวันหยุดฉัตรตะวันยังคง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นคีตกานต์ก็ได้รับข่าวว่าฉัตรตะวันยกเลิกที่จะเช่าบ้านพักหลังนั้นแล้วย้ายออกไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ในเมืองแทน พอคีตกานต์รู้ข่าวก็เกิดกระวนกระวายใจ พยายามแอบขับรถตามไปดูว่าฉัตรตะวันย้ายไปพักอยู่ที่ไหน และพอได้รู้ ใจก็อยากจะขอแอบตามขึ้นไปดูอีกว่าห้องหับความเป็นอยู่ของเธอนั้นเป็นอย่างไร สะดวกสบายปลอดภัยดีหรือเปล่า หากแต่แล้วก็ทำไม่ได้ มีคนไม่ยอมให้เขาขึ้นไปด้วยความที่ว่าหอพักแห่งนี้มีระบบความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ทันทีที่บุคคลภายนอกอย่างเขาย่างกรายเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งเข้ามาเชิญตัวเขาให้ออกไปโดยทันที "เมียผมพักอยู่ที่นี่จริงๆ เธอพึ่งย้ายมาเพราะว่าเราทะเลาะกัน ผมแค่อยากจะขอขึ้นไปดูความเป็นอยู่ของเธอหน่อยว่าห้องที่เธออยู่เรียบร้อยปลอดภัยดีไหม พี่ให้ผมขึ้นไปแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้วผมจะรีบลงมา"หลังจากยืนอ้อนวอนพี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เสียนาน สุดท้ายแล้วคีตกานต์ก็ต้องหน้าจ๋อยกลับขึ้นรถมาอย่างเก่า สองวันมานี้ยอมรับว่าจิตใจของเขานั้นไม่เป็นสุขเลย มันค่อยๆดิ่งลงเพราะมัวแต่พะวงคิดมากเรื่องที่ฉัตรตะวันเข้ามาเห็นเขาและเนตรดาวอยู่ด้วยกันเขาไม่สบ
คีตกานต์ค่อยๆขยับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงแดดที่สาดเข้ามาจากด้านนอกนั้นโผล่ทะลุผ้าม่านห้องนอนเข้ามาได้ เมื่อวานเขาคงจะดื่มไปจนหนักมาก เช้านี้พอตื่นขึ้นมาถึงได้มีอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดแบบนี้ได้เรือนร่างสูงใหญ่พยามยามกระถดกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับอย่างช้าๆ สายตาเหลือบมองไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งกำลังบอกว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมง แต่ทันทีที่ได้ขยับ บริเวณหน้าอกของเขากลับมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง พอมันค่อยๆโผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา จึงได้เห็นว่าเป็นแขนของใครคนหนึ่งที่ยกพาดทับมากอดก่ายหน้าอกเขาเอาไว้คีตกานต์ถึงกับต้องทำการนึกคิดทบทวนอย่างละเอียด จำได้ว่าเมื่อคืนเขานั่งเครียดและดื่มอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน แล้วเช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาในบ้านของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหนหรือว่าพาใครที่ไหนเข้ามา แล้วแขนของคนที่นอนขยุกขยิกอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาใต้ผ้าห่มนี้คือใคร "ตื่นแล้วหรอคะคีย์"และทันทีที่ได้ยินเสียง คีตกานต์ก็จำได้ทันทีว่าเสียงที่พูดออกมานี้คือเสียงใคร ใช่เสียงของคนที่เขาคิดเอาไว้แน่ๆ แต่เพราะความที่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ผ้าห่มผืนใหญ่จึงได้ถูกดึงเปิดออกจนปรากฏเผยให้เห็นร่างที่เกือบจะนอนเปลือยเ