เช้าวันต่อมา
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามากระทบเปลือกตาของนับดาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงให้รู้สึกตัวตื่นในช่วงสาย ๆ ของวันใหม่ด้วยอาการไม่สดชื่นเลยสักนิด "อ่า ปวดหัวชะมัด" เธอครวญครางออกมาเบา ๆ พลางยกมือขึ้นนวดขมับเพื่อคลายอาการปวดหัว ก่อนค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมา คิ้วสวยขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นเพดานตรงหน้ามันไม่ใช่ที่คอนโด หรือที่บ้านของเธอแต่เป็นคอนโดของเพื่อนสาวคนสนิท แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันเมื่อคืนเธอเมาจนแทบจำอะไรไม่ได้เลย บ้าจริง "ไง ตื่นแล้วเหรอแม่สาวขี้เมา" เสียงทักทายที่ฟังดูคุ้นหูทำให้เธอหลุดจากภวังค์ความคิด ก่อนหยัดกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงมองเพื่อนสาวที่ถือแก้วน้ำขิงเข้ามาเชิงตั้งคำถาม "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไงอ่ะส้ม" "นี่แกเมาจนจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ" ส้มกลอกตามองหน้าเพื่อนสาวอย่างนับดาวด้วยความอ่อนใจพลางยื่นแก้วน้ำขิงอุ่น ๆ ให้ เธอละเชื่อเลยจริง ๆ "ก็แกเป็นคนโทรเรียกฉันให้ไปรับเองจำไม่ได้เหรอ" "ฮึ..จำไม่ได้อ่ะ" นับดาวส่ายหน้าปฏิเสธหงิก ๆ ขณะที่ในสมองก็พยายามทบทวนเรื่องราวเมื่อคืน "ตอนฉันไปถึงแกก็นั่งคออ่อนคอพับอยู่บนพื้นข้างรถตัวเองแล้ว แค่นั้นไม่พอนะเมื่อคืนแกอาละวาทลั่นห้องเลยเพราะโดนยาปลุกเซ็กซ์เข้าไปจนฉันต้องโทรตามให้ไอ้แบงค์มาช่วย" ส้มอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าคิดหนักของเพื่อนสาว "โดนยาปลุกเซ็กซ์งั้นเหรอ" คำบอกเล่าของเพื่อนสาวทำนับดาวยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าไปอีก พยายามหลับตานึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนสุดฤทธิ์ ก่อนภาพเหตุการณ์จะฉายขึ้นในสมองเป็นฉาก ๆ เริ่มปะติดปะต่ออะไร ๆ ได้ "ไอ้เลวเอ้ย! อย่าให้เจออีกนะ" เธอสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อพอจะเดาออกว่าคนที่วางยาปลุกเซ็กซ์เป็นใคร และยิ่งไปกว่านั้นคือใครอีกคนที่เธอจำได้ลาง ๆ ว่าเสียจูบแรกให้ เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าเธอจูบกับเขาจริง ๆ เมื่อยกมือขึ้นสัมผัสบนกลีบปาก แล้วพบว่ามีรอยแผล เธอเลื่อนมือขึ้นตบหน้าผากดังแปะให้ตายเถอะนี่เธอทำอะไรลงไป "เป็นอะไรของแกนับดาว" ส้มมองหน้าถามเพื่อนสาวอย่างงุนงง ๆ ที่จู่ ๆ ก็ตีหน้าผากตัวเองพร้อมกับโอดครวญออกมาราวกับเด็กโดนขัดใจ "นึกออกแล้วเหรอว่าใครวางยา" "อือ..คงเป็นผู้ชายที่ตามตื้อฉันเมื่อคืน" "ผู้ชายแบบนี้มันน่านัก" ส้มนึกโกรธแทนเพื่อนสาวยิ่งนัก "ใช่" นับดาวเอ่ยเสริมเบา ๆ ก่อนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หวนนึกถึงมารดาเพราะพิษของความรัก เพราะบิดาที่มักมากไม่รู้จักพอทำให้ท่านต้องจากไป ทำให้เธอต้องกลายเป็นเด็กขาดแม่ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ เรื่องราวของมารดาทำให้เธอเจ็บปวด เกลียดความรัก ขยาดผู้ชายจนถึงทุกวันนี้เพราะผู้ชายมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ เลว เจ้าชู้ เห็นแก่ตัว "แกเป็นอะไรรึเปล่า" เสียงของส้มดังทบโสตประสาททำให้เธอหลุดจากห้วงความคิด ดึงสายตากลับมามองหน้าเพื่อนสาวด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม "เปล่าแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ" "มีอะไรก็ระบายกับฉันได้นะ" "หากวันไหนไม่ไหวฉันจะร้องไห้ใส่แกเป็นคนแรกเลย" นับดาวตอบติดตลก ทว่าแววตากลับมองเพื่อนสาวอย่างลึกซึ้ง ส้มเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของเธอเลย และยังควบด้วยตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวอีก เวลาเธอมีปัญหา หรือมีเรื่องทุกข์ใจก็มีแต่ส้มกับเพื่อนชายอย่างแบงค์อีกคนที่อยู่ข้าง ๆ เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเหลียวมองนาฬิกาบนหัวเตียง "เที่ยงแล้วเหรอเนี่ย เร็วจัง" "เวลาเดินปกติ แต่แกอ่ะตื่นสาย" ส้มแซวเพื่อนสาวยิ้ม ๆ ก่อนเอ่ยต่อ "ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวจะได้ออกไปหาอะไรกินกัน ฉันรอแกตื่นจนหิวแล้วเนี่ย" "เค ๆ ขอเวลาสิบนาที" คนโดนบ่นระบายยิ้มแหย่ ๆ ว่าจบก็กระโดดลงจากเตียงจัดการกับตัวเองอย่างไว@ร้านอาหาร ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงทั้งสองสาวก็มานั่งในร้านอาหารชื่อดังเป็นที่เรียบร้อย "เอ๊ะ! นั่นพี่นุชกับคู่หมั้นใช่ไหม" ส้มเอ่ยขึ้นเมื่อหันไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังเดินควงกันเข้ามาในร้านทำให้นับดาวที่ก้มหน้าทานข้าวต้องเงยหน้ามองตามคำบอกกล่าวเป็นนีรนุชกับคู่หมั้นจริง ๆ เธอลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่วินาทีที่สบสายตากับชายหนุ่มที่เพิ่งจูบด้วยเมื่อคืน ก่อนจะก้มหน้าทานข้าวต่อทำเหมือนไม่เห็นทั้งสอง ทว่าอีกฝ่ายกลับเดินมาหยุดที่โต๊ะเธอ "น้องดาว" นีรนุชเอ่ยทักน้องสาวต่างมารดาด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม นับดาวได้ยินแต่ทำเหมือนทั้งสองเป็นอากาศยังคงก้มหน้าทานข้าวต่อ นีรนุชถึงกับหน้าเจื่อนที่ถูกน้องสาวเมินใส่ แต่ยังคงไม่ละความพยายามชวนคุยต่อ เธออยากสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับนับดาวถึงยังไงก็เป็นพี่น้องกัน "ขอพี่กับพี่ภัทรนั่งด้วยได้ไหมคะ" "..." "ยัยนับดาว แกพูดอะไรหน่อยสิ" ส้มยื่นมือไปสะกิดไหล่เพื่อนสาวที่นั่งก้มหน้าทานข้าวไม่สนไม่แคร์อะไรหยิก ๆ พร้อมกระซิบกระซาบเบา ๆ เพราะแอบรู้สึกเห็นใจนีรนุชเหมือนกัน ที่ผ่านมาเธอไม่เห็นว่านีรนุชจะร้ายกับเพื่อนสาวตรงไหนเลยมีแต่จะพยายามสร้างสัมพันธ์ที่ดีด้วย "แกรีบ ๆ กินเถอะ จะได้รีบกลับแถวนี้อากาศไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไรเลย" นับดาวเลือกจะไม่สนใจคำพูดเพื่อนสาวเฉไฉไปเรื่องอื่นแแทน โดยไม่ลืมจะกระแหนะกระแหนสองคนที่ยืนอยู่ด้วยเพราะสำหรับเธอแล้วคนทั้งสองเหมือนอากาศมลพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต นีรนุชถึงกับสะอึก หน้าเจื่อน แววตาเศร้าหมองลงฉับพลันกับคำพูดจากระแหนะกระแหนของน้องสาว ถึงแม้จะไม่พูดตรง ๆ เธอก็พอตีความหมายได้ แต่เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นเธอก็รีบปรับสีหน้าแววตาให้เป็นปกติเพราะไม่ต้องการให้แฟนหนุ่มอย่างติณณภัทรพลอยไม่รู้สึกดีไปด้วยจึงรีบขอแยกตัว "งั้นพี่ไม่กวนน้องดาวกับน้องส้มแล้วจ้ะ ทานให้อร่อยนะ" ว่าจบก็ควงแขนแฟนหนุ่มเดินไปนั่งอีกโต๊ะ "น้องสาวนุชนี่เกินเยียวยาจริง ๆ นะ ทำไมนุชต้องยอมเธอตลอดด้วย" ติณณภัทรมองหน้าถามคู่หมั้นสาวอย่างไม่เข้าใจหลังจากหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้แล้ว เขาเป็นเพื่อนกับนุชมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งจนเลื่อนสถานะมาเป็นคู่หมั้น รู้จักกันมาสิบสองปีแล้ว ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่นุชจะแสดงกิริยาไม่ดี หรือร้ายกับน้องสาวต่างมารดาอย่างนับดาว มีแต่รัก และเอ็นดูอะไร ๆ ก็ยอมก็ออกหน้ารับแทนตลอด ขณะที่นับดาวไม่เคยเห็นเธอเป็นพี่สาวเลยมีแต่รังแกทั้งทางวาจา และการกระทำ ยิ่งเจอเหตุการณ์เมื่อคืนเขาก็ยิ่งมองนับดาวเลวร้ายลงไปทุกที "นุชเข้าใจน้องไงคะ และหวังว่าสักวันน้องจะมองเห็นความจริงใจ ความรักที่นุชมีให้ ครอบครัวเราจะได้มีความสุขจริง ๆ สักที นุชสงสารพ่อมากเลยค่ะ" นีรนุชอธิบายให้คู่หมั้นหนุ่มฟังอย่างใจเย็น ทว่าติณณภัทรกลับเค้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ นึกเอ็นดูในความแสนดีของคู่หมั้น แต่ก็นึกขันในเวลาเดียวกันรอให้ฟ้าถล่มลงมาเขาก็มั่นใจว่านับดาวไม่มีทางมองเห็นนับดาวให้กำเนิดบุตรสาวในวันเกิดของตัวเองพอดิบพอดีเพียงแต่คนละเวลากันเท่านั้น วันเกิดเธอปีนี้จึงกลายเป็นสุขสันต์วันคลอดแทนทุกคนต่างปลื้มปิติ โดยเฉพาะติณณภัทรวินาทีที่ได้เห็นหน้าบุตรสาวถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่"ได้เจอกันสักทีนะลูกสาวพ่อ" ก้มจูบบนฝ่าเท้าน้อย ๆ ของบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างพินิศ คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยเพราะทุกส่วนบนใบหน้าบุตรสาวเหมือนผู้เป็นแม่ไม่มีผิด แทบไม่มีส่วนไหนที่ได้เขามาเลยมันน่าน้อยใจชะมัด"นับคุณดูสิลูกลำเอียงชะมัดเลย คิ้วก็เอาของแม่มา ตาก็เอาของแม่มา จมูกก็เอาของแม่มา ปากก็เอาของแม่มาไม่มีส่วนไหนที่เหมือนผมเลย อุตส่าห์ทำแทบตาย" เขาแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับเมียสาวทีเล่นทีจริงทำเอาทุกคนอดยิ้มตามไม่ได้"แสดงว่าลูกรักแม่มากกว่าพ่อไงคะ" นับดาวตอบกลับยิ้ม ๆ อีกคนหาได้ยอมน้อยหน้าไม่เอ่ยประกาศเสียงกร้าว เชิดหน้าขึ้นอย่างมาดหมาย "แบบนี้ยอมไม่ได้นะ ลูกคนต่อไปต้องเหมือนผมแล้วแหละ"คำพูดของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้อีกระลอกหนึ่ง คงจะมีแต่แบงค์ที่ต้องกลำกลืนฝืนทนมองภาพทั้งสองหยอกล้อกันทั้งที่ในใจมันชอกช้ำอย่างหนัก ส้มซึ่งรู้ดีทำได
แสงแดดสีทองยามสี่โมงเย็นตกกระทบผิวน้ำทะเลสีเขียวมรกตทอประกายระยิบระยับ สายลมเอื่อย ๆ พัดโชยพากลิ่นอายทะเลลอยตลบอบอวลทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย"อากาศดีจังเลยค่ะ นานแล้วสิที่ไม่ได้พักผ่อนแบบนี้" นับดาวหันบอกกล่าวกับร่างสูงที่เดินเคียงข้าง จับมือพากันเดินเลียบไปตามแนวชายหาดด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มาเที่ยวทะเล และดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบนี้ต้องขอบคุณผู้ชายข้าง ๆ ที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนสิ้นเชิงทุกครั้งที่มาเที่ยวทะเลเธอจะมาเพราะต้องการแก้เบื่อแก้เซ็ง มาด้วยอารมณ์โดดเดี่ยว แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความสุขจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้"ใช่ครับ" ติณณภัทรระบายยิ้มตอบเขาเองก็ไม่ได้เที่ยวแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน ได้มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้กับคนที่รักจึงมีความสุขไม่น้อย "ได้มาพักผ่อนกับคนที่รักมันดีกว่าคนเดียวเป็นไหน ๆ เลยว่าไหม""ใช่ค่ะ นับไม่เคยรู้เลยว่าการมีความรัก มีครอบครัวมันดีขนาดนี้ต้องขอบคุณคุณนะคะที่เข้ามาในชีวิตของนับ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยมาจากก้นบึ้งของหัวใจ"ผมก็ขอบคุณคุณเช่นกันที่เข้ามา
วันต่อมาหลังจากเรื่องร้าย ๆ ผ่านไปวันนี้ติณณภัทรจึงตั้งใจพานับดาวไปทำบุญ และไหว้แม่ของเธอ"จะไปไหนกันฮึสองคนนี้" อรอินเอ่ยทักบุตรชายกับลูกสะใภ้ที่เดินเข้ามานั่งบนโต๊ะอาหารด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มเพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนจะออกไปไหนกัน"ผมกับนับจะไปทำบุญกันครับ" ติณณภัทรตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันมองหน้าเมียสาวพร้อมยื่นมือไปกอบกุมมือเรียวไว้หลวม ๆ นับดาวส่งยิ้มหวานให้คนเป็นสามีบาง ๆ "ก็ดีเหมือนกันนะจะได้เป็นมงคลให้กับชีวิต แม่ขอให้ชีวิตคู่หลังจากนี้ของลูกทั้งสองพบแต่ความสุขนะ" อรอินเห็นดีเห็นงามด้วย และก็อวยพรให้เด็กทั้งสองพบเจอแต่ความสุขในชีวิตคู่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มามากมาย"พ่อก็ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขมาก ๆ นะ จะเป็นพ่อแม่คนแล้วทำอะไรก็นึกถึงจิตใจกันและกันให้มาก ๆ อย่าเอาอารมณ์เข้าว่า อย่าละเลยความรู้สึกกัน รักและดูแลกันให้เหมือนวันแรกที่รักกัน ความสม่ำเสมอและเสมอต้นเสมอปลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคู่มาก พ่อหวังว่าลูกทั้งสองคนจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขไปจนแก่จนเฒ่า" พิภพอวยพรเด็กทั้งสองต่อหลังจากภรรยาเอ่ยจบ และไม่ลืมจะให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตคู่กับทั้งสองด้วย"ขอบคุณคุ
นับดาวกำแหวนในมือแน่น แล้วเดินกลับไปยังห้องชายหนุ่มอีกครั้ง คาดว่าตอนนี้เขาคงขึ้นมาจากชั้นล่างแล้ว ยืนรวบรวมความกล้าข่มความตื่นเต้นอยู่หน้าห้องนานนับนาที ก่อนค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปเสียงเปิดประตูทำให้ติณณภัทรที่ทำท่าจะตามหาหญิงสาวหลังจากเข้ามาในห้องแล้วไม่พบเธอรีบหันไปมอง ครั้นเห็นคนตัวเล็กก็รีบเดินเข้าไปถามไถ่ "ไปไหนมาฮึ""ฉันมีอะไรจะมอบให้คุณค่ะ" นับดาวไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่กลับจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา แล้วจัดการเอาแหวนที่กำไว้บรรจงสวมบนนิ้วนางของเขา "คุณมอบแหวนแต่งงานให้ฉันแล้ว ถึงคราวฉันมอบแหวนแต่งงานให้คุณบ้างแล้ว แหวนวงนี้แทนความรักจากฉันนะคะ""นะ..นี่มันอะไรกัน เธอความทรงจำกับมาแล้วเหรอ" ติณณภัทรถึงกับประมวลผลไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกในตอนนี้คือทั้งดีใจ สับสนงุนงง และไม่เข้าใจ ดวงตาคมกริบปริ่มไปด้วยน้ำสีใสจ้องมองใบหน้าสวยเชิงตั้งคำถาม "ฉันรักคุณนะคะ" นับดาวตอบคำถามของเขาแทนด้วยการบอกความรู้สึกออกไปพร้อมกับก้มจูบหลังมือของเขา ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปคล้องลำคอแกร่งเอาไว้หลวม ๆ แล้วเขย่งเท้าขึ้นประทับริมฝีปากจูบริมฝีปากหนาติณณภัทรไม่ได้ปฏิเสธถึงแม้ตอนนี้จะยั
หลังจากนับดาวฟื้นขึ้นมาหมอก็ให้นอนดูอาการอีกสองวันจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะร่างกาย และผลการสแกนสมองปกติดีทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่เธอจำอะไรไม่ได้หมอประเมินว่าอาจเป็นอาการความทรงจำหายไปชั่วคราว อีกไม่นานความทรงจำน่าจะกลับมาเหมือนหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา"บ้านของเราจำได้ไหม" ติณณภัทรเอ่ยถามคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อรถจอดลงหน้าบ้านอัครกุลสิ้นเสียงทุ้มนับดาวก็ทอดสายตามองเข้าบ้านหลังใหญ่โตตรงหน้า คิ้วสวยขมวดเป็นปมคล้ายกับว่าจำอะไรไม่ได้เลย"ฉันจำไม่ได้เลย" เปล่งเสียงตอบด้วยใบหน้าเศร้า แววตาหม่นหมองจนติณณภัทรต้องรีบรั้งเธอมากอดใช้มือลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลม "จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็จำได้เองไม่ต้องรีบร้อน""ค่ะ""เข้าบ้านกันดีกว่าป่านนี้พ่อกับแม่คงรออยู่ ท่านดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าเธอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว" "ค่ะ" คนที่อิงแอบหน้ากับไหล่กว้างพยักรับ แล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดคนตัวโต ซึ่งติณณภัทรก็รีบเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมาเปิดประตูให้เธอ"เชิญครับ" บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางยื่นมือไปให้เธอจับ อีกคนยื่นมือไปวางบนมือหนาแล้วพาตัวลุกจากรถโดยไม่ลืมจะเอ่ยขอบคุณคนตัวโต "ขอบคุณนะคะ
วันต่อมาวันนี้ติณณภัทรตั้งใจว่าจะสวมแหวนแต่งงานให้นับดาวถึงแม้เธอจะยังไม่รู้สึกตัวก็ตาม เขาโทรไปยังร้านดอกไม้สั่งให้ทางร้านจัดช่อดอกกุหลาบสีแดงซึ่งเป็นดอกไม้ที่เธอชอบจำนวนหนึ่งร้อยดอก แล้วให้นำมาส่งที่โรงพยาบาลหลังจากได้รับช่อดอกไม้เขาก็นำมันไปวางข้างเตียงหญิงสาว เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองใบหน้าสวยอย่างสื่อความหมาย "ฉันเอาดอกไม้ที่เธอชอบมาให้ตื่นมาดูสิสวยมากเลยนะ และวันนี้ฉันก็มีบางอย่างจะให้เธอด้วยนะ"เขาว่าแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนล้วงกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดออกแล้วหยิบแหวนมาถือไว้ "แหวนวงนี้เป็นแหวนที่ฉันตั้งใจสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเป็นแหวนแต่งงานสำหรับเธอเลยนะ หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นเธอจะชอบมันนะ"ว่าจบก็จับมือด้านซ้ายของเธอมาบรรจงสวมแหวนเพชรลงบนนิ้วนาง จากนั้นก็ประทับจูบลงบนหลังมือนิ่มแช่ค้างไว้แบบนั้นและในจังหวะนั้นเองนิ้วเรียวทั้งห้าก็ขยับขึ้นเบา ๆ ทำให้ติณณภัทรต้องรีบผละดูให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง และใช่นิ้วของเธอขยับจริง ๆ เขาค่อย ๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าสวยด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยลุ้น และตื่นเต้นกับอะไรเท่านี้มาก่อนเลย"