LOGINศาสตราวุธยืนฉีดน้ำจากกระบอกเบาๆ ใส่ต้นกล้วยไม้ที่ระเบียงหน้าบ้านแล้วยิ้มไปด้วยอย่างมีความสุข
“ดอกกำลังจะบานพรุ่งนี้สินะ งั้นเดี๋ยวจะฉีดละอองน้ำเบาๆ ให้ไม่ช้ำก็แล้วกัน” ศาสตราวุธพูดกับกล้วยไม้ของเขาอย่างอ่อนโยน แล้วขยับไปฉีดน้ำที่กล้วยไม้ที่ห้อยไว้บนกิ่งไม้ใหญ่หน้าบ้านอีกฝั่ง
“นี่เริ่มมีเพลี้ยไฟมาเกาะใบแล้ว เดี๋ยวต้องเด็ดใบที่มีเพลี้ยทิ้งแล้วผสมยามาฉีดกำจัดให้ รอก่อนนะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปล่ะ” ศาสตราวุธบอกแล้วดูแลดอกกล้วยไม้และดอกไม้บริเวณรอบบ้านอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินเข้าบ้านเพื่อทานอาหารเช้าและเตรียมตัวไปทำงาน โดยไม่ทันสังเกตว่ารติชานั้นแอบมองเขาอยู่
‘ฉันต้องจีบคนบ้าที่พูดกับต้นไม้จริงๆ นะเหรอ’ รติชาบ่นในใจแล้วทิ้งช่วงห่างสักพัก แล้วค่อยถือตะกร้าของฝากเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีเด็กรับใช้ออกมาต้อนรับและช่วยถือของเข้าไปให้
“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า คุณแม่ฝากขนมมาให้ค่ะ” รติชาไหว้ทักทายยุทธนากับศศิประภาบนโต๊ะอาหาร แล้วยิ้มให้เจ้าบ้านด้วยความสุภาพแล้วนอบน้อม และถูกเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วย
“นั่งตรงนี้สิลูก ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อน” ศศิประภาบอกแล้วยิ้มอย่างพอใจที่รติชามาหาถึงที่นี่ รติชานั่งลงตามคำเชิญแล้วมองหาศาสตราวุธที่เพิ่งเดินเข้ามาก่อนหน้าเธอ
“พี่เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวก็ลงมาแล้ว” ศศิประภาบอกอย่างรู้ใจ จนรติชาเขินเมื่อถูกจับได้
สักพักศาสตราวุธก็เดินลงมา เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อรติชาอยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย แล้วส่งยิ้มหวานมาให้เขาเหมือนอย่างเมื่อวาน
“สวัสดีค่ะพี่วุธ น้ำชาเอาขนมมาฝากคุณลุงคุณป้ากับพี่วุธค่ะ” รติชาบอกเขา แล้วพยายามพูดจาให้น่ารักเพื่อให้เขาประทับใจ
“ครับ” ศาสตราวุธพูดสั้นๆ แล้วนั่งลงข้างๆ เธอตรงที่แม่บ้านจัดโต๊ะไว้ให้
“วันนี้น้ำชาขออยู่ดูไร่สตรอเบอรี่กับพี่วุธได้หรือเปล่าคะ” รติชาถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารัก
“ครับ” ศาสตราวุธตอบรับสั้นๆ รติชาเลยยิ้มบางๆ ให้เขา
“พอดีเลย พาน้องออกไปดูไร่สตรอเบอรี่ และไปชิมไอศกรีมของไร่เราที่วุธเป็นคนคิดสูตรด้วยสิน้องน่าจะชอบ” ศศิประภาบอกลูกชายด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“ครับ” ศาสตราวุธตอบสั้นๆ เหมือนอย่างเคย จนรติชารู้สึกหมั่นไส้
‘ทีคุยกับต้นไม้ พูดซะเยอะเชียว ทีคุยกับเราแค่ ครับ คำเดียวเนี่ยนะ’ รติชาคิดในใจ แต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้มเอาใจเขาอยู่
*********************
ศาสตราวุธพารติชาออกไปดูงานที่ไร่สตรอเบอรี่ด้วย ก่อนออกมานั้นศศิประภาให้คนเอาร่มใส่หลังรถมาด้วย พอลงจากรถศาสตราวุธก็เดินไปหยิบร่มมาถือไว้
รติชาอมยิ้ม อย่างน้อยเขาก็มีความเป็นสุภาพบุรุษที่เดินถือร่มมาด้วย เพราะอีกสักพักแดดจะเริ่มแรง เขาคงเตรียมตัวจะกางร่มให้เธออย่างที่ควรทำ
ศาสตราวุธเดินนำรติชาไปดูสตรอเบอรี่และสอนวิธีเก็บผลสตรอเบอรี่ที่ถูกวิธีให้แก่เธอ เขาพาเธอเดินไปดูต้นกล้าที่เพาะเอาไว้ และบอกวิธีเอาลงดินและการดูแลรักษาคร่าวๆ แก่เธอ
“แดดเริ่มร้อนแล้วนะคะ” รติชาพูดพลางเอามือป้องแดด
“ครับ” ศาสตราวุธคล้อยตามเธอ
รติชาสังเกตว่าหากเป็นเรื่องต้นไม้ ศาสตราวุธจะพูดได้เยอะเป็นพิเศษ แต่หากเธอถามเขาถึงเรื่องทั่วไปเขาจะไม่ค่อยตอบอะไร
“น้ำชาแย่จัง ลืมเอาหมวกมาด้วย” รติชาพูดเป็นนัยว่าอยากให้เขากางร่มให้เธอ
“งั้นเราเดินไปพักตรงนั้นก่อนก็ได้ครับ” ศาสตราวุธพูดแล้วเดินนำเธอไปตรงซุ้มขายไอศกรีม เขาให้พนักงานตักไอศกรีมให้รติชาหนึ่งถ้วยแล้วนำมาให้เธอลองชิม
รติชารับไปแล้วชิมไอศกรีมตรงหน้า แล้วยิ้มออกมาเมื่อได้รับรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวเย็นชื่นใจนั้น
“อร่อยจังเลยค่ะ เนื้อเนียนนุ่มมาก” รติชาชมแล้วยิ้มให้เขา ศาสตราวุธยิ้มอย่างพอใจที่รติชาชมไอศกรีมของเขา แล้วชวนเธอเดินกลับไปที่รถ เพราะเขามีงานที่ต้องทำต่อ
“แดดแรงจังเลยค่ะ กว่าจะเดินไปถึงรถก็คงหน้าไหม้พอดี” รติชาพูดเป็นเชิงให้เขารู้ตัวว่าควรกางร่มให้เธอได้แล้ว
ศาสตราวุธมองเธอแล้วนึกในใจว่าเป็นลูกสาวชาวไร่ที่ไม่มีความอดทนต่อสภาพอากาศเอาเสียเลย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เกี่ยวกับเรื่องนั้น
เขามองไปยังกระถางต้นคล้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่วางประดับอยู่หน้าซุ้ม ใบเริ่มสีจางลงเพราะถูกแดดจ้า ต้นไม้ประดับชนิดนี้ถ้าอยู่ในร่มใบจะสีเข้มสวยกว่านี้
“ยังไม่บอกคนงานมาช่วยยกเข้าร่มเหรอครับ” ศาสตราวุธหันไปถามพนักงานขายของในซุ้มไอศกรีม
“บอกแล้วค่ะ พี่คมบอกว่าจะพาคนมาช่วยกันยกตอนเลิกงานวันนี้ค่ะ” พนักงานสาววัยยี่สิบต้นๆ บอกเขาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
ศาสตราวุธมองร่มในมือแล้วกางออก นั่งคุกเข่าข้างเดียว วางร่มบังแดดให้กับต้นไม้ของเขาในทันที แล้วยิ้มให้กับพวกมันอย่างอ่อนโยน
“พวกเธออยู่ในร่มจะสวยกว่านี้ รออีกหน่อยนะ ตอนเย็นก็จะได้เข้าร่มแล้ว” ศาสตราวุธบอก แล้วลุกขึ้นหันมายิ้มให้กับรติชาที่มองร่มตรงพื้นอย่างตะลึง
“เรากลับกันเถอะ” ศาสตราวุธบอกแล้วเดินนำหน้าเธอไป
“นี่กางร่มให้ต้นไม้ ฉันตาไม่ฝาดใช่ไหม” รติชาพึมพำออกมาแล้วทำหน้าเหวอไปสักพัก ก่อนจะรีบปรับสีหน้าแล้วเดินตามเขาไปขึ้นรถ
เธอหันไปมองหน้าศาสตราวุธเป็นระยะ ไม่เข้าใจว่าเขานั้นรักต้นไม้จริงๆ หรือจงใจไม่กางร่มให้เธอเพื่อไล่เธอทางอ้อมกันแน่ แต่เมื่อคิดถึงตอนที่เขาคุยกับกล้วยไม้เมื่อเช้าแล้ว ก็เลยสรุปเองว่า เขาคงพอใจที่จะดูแลต้นไม้มากกว่าดูแลเธอ
‘เราต้องแต่งงานกับคนแบบนี้จริงๆ นะเหรอ’ รติชาคิดในใจ แต่พอนึกถึงหน้าพ่อเลี้ยงคำปองก็ฮึดสู้ขึ้นมาทันที
“วันนี้น้ำชาได้ความรู้จากพี่วุธมากเลย ขอบคุณมากนะคะ” รติชาบอกเขาแล้วยิ้มหวานให้
“ครับ” เขาตอบเธอสั้นๆ แล้วตั้งใจขับรถต่อไปไม่ว่อกแว่ก
“พรุ่งนี้น้ำชาอยากไปดูสวนลำไยของพี่วุธ รบกวนพี่วุธช่วยพาชมสวนได้หรือเปล่าคะ” รติชาถามเขาเสียงอ้อน
“งั้นไปดูตอนนี้เลยไหม พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาให้เสียเวลา” ศาสตราวุธพูดออกไปตามซื่อ รติชาอึ้งที่เขานั้นพูดเหมือนว่าไม่อยากให้เธอมาหาเขาบ่อยๆ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าถูกเขารำคาญ
‘อดทนไว้น้ำชา อดทนไว้’ รติชาเตือนสติตัวเอง
“วันนี้น้ำชาเหนื่อยแล้วค่ะ แดดก็ร้อน เอาไว้พรุ่งนี้น้ำชามาใหม่ เราจะได้เจอกันบ่อยๆ ไงคะ” รติชาบอกเขา รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงไร้ยางอาย ตามตื๊อผู้ชายเหมือนอย่างนางร้ายในละคร
ศาสตราวุธนั้นถึงกับอึ้ง เมื่อโดนผู้หญิงรุกมาขนาดนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร กับเรื่องผู้หญิงเขานั้นยอมรับว่าอ่อนหัดอยู่มาก
“น้ำชาเป็นลูกสาวเจ้าของไร่ชานี่ครับ พี่นึกว่าจะไม่กลัวแดดเสียอีก” ศาสตราวุธพยายามชวนเธอคุย แต่ประโยคที่ชวนคุยนั้นแทงใจดำรติชาเข้าอย่างจัง เธอกำมือแน่นเหมือนโดนสาดน้ำใส่หน้าเมื่อโดนเขาถามมาอย่างนี้
“ก็ส่วนมากน้ำชาดูเอกสารอยู่แต่ในออฟฟิศนี่คะ ไม่เคยเข้าไร่เสียที นี่ก็เพราะอยากเรียนรู้งานกับพี่วุธ น้ำชาถึงได้พยายามอย่างนี้ และมันก็คุ้มค่าจริงๆ นะคะ เพราะว่าน้ำชามีความสุขมากเลยวันนี้ ที่ได้อยู่กับพี่วุธ” รติชาพูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ทำเอาศาสตราวุธคิดหาคำพูดมาสนทนากับเธอแทบไม่ออกเมื่อเจอเธอพูดอย่างนี้
“เอ่อ น้ำชาคงหมายถึง มีความสุขที่ได้เรียนรู้งานจากพี่ ใช่หรือเปล่าครับ” ศาสตราวุธถามเธอ พยายามพูดให้ปกติไม่ให้เสียงสั่น น้ำเสียงจึงออกมาเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบและไร้ความรู้สึกสำหรับรติชา
“น้ำชาหมายถึง มีความสุขที่ได้อยู่กับพี่วุธ สองต่อสองอย่างนี้ ต่างหากล่ะคะ” รติชาพูดตรงๆ จนต้องเขินตัวเองที่กล้าพูดประโยคชวนให้เลี่ยนอย่างนั้นออกไป
ศาสตราวุธไม่พูดอะไร ยิ่งเขาพูดเธอก็ยิ่งตอบกลับมาในสิ่งที่ทำให้เขาอึดอัด เลยตัดสินใจที่จะเงียบ
รติชารู้ว่าเขาคงไม่ชอบให้เธอรุกเขาหนักขนาดนี้ แต่เธอจำเป็นต้องรีบมัดใจเขา ก่อนที่บิดาจะจับเธอแต่งงานกับคนที่เขาเลือกเอาไว้ ซึ่งตอนนี้แม่เลี้ยงกานดากำลังถ่วงเวลาช่วยเธออยู่
‘ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ คุณศาสตราวุธ ...ฟังชื่อครั้งแรก ไอ้เราก็นึกว่าจะแมนๆ เข้มๆ แต่นี่ดันเป็นคนบ้าชอบคุยกับต้นไม้ซะงั้น โอ๊ย จะบ้าตาย’ รติชาคิดในใจอย่างไม่สบอารมณ์
*********************
คู่บ่าวสาวถูกส่งตัวเข้าหอตามฤกษ์ พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายผลัดกันอวยพรตามธรรมเนียมปฏิบัติของการส่งตัว แล้วออกจากห้องไป ปล่อยให้คู่บ่าวสาวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง รติชาขอตัวไปอาบน้ำก่อนเขา เธอใช้เวลาอาบน้ำนานพอสมควร พอออกมาก็พบว่าเจ้าบ่าวกำลังคุยกับไม้ประดับของเขาที่วางอยู่ตรงระเบียงห้องอยู่ เขาหันมายิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำต่อจากเธอ รติชานั่งเป่าผมจนแห้งแล้วได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ อย่างสบายใจออกมาจากห้องน้ำ มันยิ่งทำให้เธอนั้นตื่นเต้นว่าเขานั้นกำลังจะทำเรื่องการเข้าหอในคืนนี้ให้สมบูรณ์ แล้วเธอจะบ่ายเบี่ยงด้วยวิธีไหนดีเพื่อไม่ให้เขาทำมันสำเร็จ เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเข้าหอกับเขา ถึงเขาจะมีสิทธิ์เต็มที่ก็ตาม เธอตัดสินใจไปนอนที่เตียงแล้วทำเป็นแกล้งหลับไปก่อนเขา ศาสตราวุธเดินมาที่เตียงแล้วนอนลงจนเตียงยวบลงจนรติชารู้สึกได้ เธอใจเต้นตึกตักแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมาพูดกับเขา ศาสตราวุธเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มจะห่มให้เธอ รติชาสัมผัสได้ถึงมือเขาที่ยื่นเข้ามาใกล้ เลยลืมตาขึ้นมา “พี่วุธจะทำอะไรคะ” เธอถามเขาหน้าตาตื่น “อากาศมันเย็น จะห่มผ้าให้” เขาบอกแล้วโน้มหน้าลงจะทำหน้าท
สุริวิภาไม่ชอบหน้ารติชาอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งคำพูดของเธอที่แทงใจดำเรื่องวิธีที่ทำให้เธอได้รับตำแหน่งนางงามจังหวัดมา ยิ่งทำให้สุริวิภานั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก “แกก็แย่งคุณวุธมาสิ ง่ายจะตาย” เพื่อนอีกคนพูดขึ้น “แต่ฉันไม่ชอบหรอกนะ บอกแล้วไง แค่เก็บไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกท้ายๆ” สุริวิภาบอก “ก็แค่แกล้งให้ยัยนั่นไม่พอใจ ไม่ได้ให้ไปแย่งมาจริงๆ เสียหน่อย” เพื่อนอีกคนบอก “งั้นพวกแกกินข้าวกันไปก่อน ฉันจะกลับไปที่โต๊ะนั้น” สุริวิภาบอกแล้วปรับสีหน้า ยิ้มเดินเฉิดฉายไปยังโต๊ะของศาสตราวุธ “ขอวินั่งด้วยนะคะ” เธอบอกแล้วนั่งลงข้างๆ ศาสตราวุธทั้งที่ยังไม่มีใครอนุญาต “วิรู้สึกผิดกับเรื่องวันนั้นจังเลยค่ะ อยากขอโทษพี่วุธอีกครั้ง ขอโทษนะคะ” สุริวิภาพูดแล้วกราบที่หน้าอกของศาสตราวุธ เขาตกใจรับมือเธอเอาไว้แทบไม่ทัน “ไม่เป็นไรครับ” เขาบอกเธอ แล้วยิ้มฝืนๆ ไปให้ “มื้อนี้วิขออนุญาตเลี้ยงนะคะ ถือเป็นการขอโทษ” เธอบอกเขาเสียงอ่อน ปรายตามองรติชาที่มองมาด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจนัก“ไม่เป็นไรครับ ผมจ่ายเองได้” ศาสตราวุธบอก แล้วมองรติชาที่มองสุริวิภาอย่างไม่พอใจ เข้าใจว่าเธอคงไม่ชอบหน้ากัน แต่เขาก็ไม่รู้จะจัดการปัญหา
รติชาเตรียมงานแต่งงานของตัวเองด้วยจิตใจที่ฟุ้งซ่าน ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องหงุดหงิดเพราะศาสตราวุธไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินกว่าเป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงการดูตัวกับผู้หญิงคนอื่น แต่พอนึกดูดีๆ แล้ว เธอเองก็ใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเลี่ยงการแต่งงานกับพ่อเลี้ยงคำปองเหมือนกัน ดังนั้นจะไปโกรธเขาก็คงไม่ถูก “งั้นก็ถือว่าหายกันก็แล้วกัน” รติชาพึมพำออกมาเบาๆทางด้านศาสตราวุธเองจริงๆ แล้วก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่พูดตรงกับเธอเกินไป ที่บอกว่าเขาตัดความรำคาญเลยตั้งใจจะลองคบกับเธอดูอะไรทำนองนั้น แต่เขาคิดว่าควรพูดความจริง เพราะไม่อยากโกหกเธอ และพยายามบอกตัวเองว่า เขาทำถูกแล้วที่ไม่ได้โกหกเธอออกไป แต่อีกใจก็คิดว่า ถึงไม่โกหกแต่ก็ไม่ควรพูดออกไปให้เธอรู้สึกแย่อย่างนั้น เขาคิดไปพลางดูฤกษ์ในมือที่แม่ของเขายื่นให้ แล้วถอนหายใจออกมา “ฤกษ์จดทะเบียนสมรสอีกห้าวัน ฤกษ์แต่งงานอีกสามสัปดาห์ ทำไมเร็วอย่างนี้ล่ะครับแม่” ศาสตราวุธถามมารดา เพราะเขาคิดว่ามันเร็วเกินไป “ทางนั้นเขาอยากให้รีบแต่งเพราะกลัวลูกสาวเขาเสียหาย” “แต่ผมไม่ได้ล่วงเกินน้ำชาเลยนะครับ โทรถามพี่ยุทธก็ได้” ศาสตราวุธยืนยัน “แล้วกล้าไปพูดกับพ่
หลังจากที่รติชากลับไร่ของเธอไปแล้ว ศาสตราวุธก็นั่งลงคุยกับมารดาอย่างเป็นงานเป็นงาน“แม่ครับ ผมไม่แต่งงานนะครับ” เขาบอกมารดาศศิประภาไม่คิดว่าศาสตราวุธอยู่ๆ จะพูดออกมาอย่างนี้ ปกติเขาไม่เคยพูดอะไรขัดใจเธอมาก่อน ทำเอาศศิประภานั้นอึ้งไปสักครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา และทำหน้าเศร้า“แม่แค่หวังอยากให้ลูกแม่สักคนแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคน ที่มีพร้อมทั้งฐานะ และหน้าตาทางสังคม ให้แม่ได้อวดใครๆ บ้างว่าลูกสะใภ้ก็มีดีไม่น้อยหน้าใคร เมียของพี่แกเป็นคนดีก็จริง แต่แม่อวดใครเขาไม่ได้ เหลือแต่แกคนเดียว จะทำให้ความฝันแม่เป็นจริงมันไม่ได้เลยหรือไง ไม่รู้ว่าแม่ไปทำเวรทำกรรมอะไรมา ลูกชายทั้งสองคน ไม่มีใครเห็นใจแม่เลยสักคน” ศศิประภาบีบน้ำตาแต่ทำท่าแอบเช็ดไม่ให้ศาสตราวุธเห็น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาก็เห็นตั้งแต่แรกและนั่งนิ่งอยู่ด้วยความรู้สึกผิดอยู่“แม่ครับ” เขาเรียกมารดาเสียงอ่อน“ช่างเถอะพรุ่งนี้แค่ไปทานข้าวเพื่อผูกมิตรแล้วก็กลับก็แล้วกัน เรื่องข่าวลือที่ว่าลูกไม่ชอบผู้หญิงที่เขาลือกันให้แม่อับอายก็ช่างมัน” ศศิประภาพูดเสียงสั่น“ผมก็แค่ชอบต้นไม้มากกว่าผู้หญิง ต้นไม้ไม่เรื่องมาก อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ทำไมผมต้องไขว่
ศาสตราวุธนั่งเล่าเรื่องที่มารดาพยายามจับคู่เขากับรติชาและสุริวิภาให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ฟัง ศรายุทธหัวเราะลั่นที่เจ้าชายต้นไม้อย่างเขาต้องมาเจอกับการรุกของฝ่ายหญิง“ฉันว่าคนชื่อวินี่ไม่ผ่านนะ” ศรายุทธบอกน้องชายแล้วอมยิ้มขำเรื่องที่เขาเล่า“บัวว่าคุณน้ำชานี่น่าลุ้นนะคะ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ คนนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย แถมมีไร่ชาด้วย เหมาะสมกับคุณวุธมากกว่า” บัวบงกชออกความเห็น“แต่ผมยังไม่อยากแต่งงานนี่ครับ รู้จักกันไม่ทันไร อยู่ๆ จะไปเจอผู้ใหญ่แล้วพูดเรื่องแต่งงานเลย สงสารฝ่ายหญิงที่ต้องมีผมเป็นสามี ให้ตายเถอะ ผมยิ่งเอาใจใครไม่เป็นอยู่ด้วย ถ้าแต่งงานไปก็คงต้องหย่ากันอยู่ดี” ศาสตราวุธบอกพี่ชายกับพี่สะใภ้เสียงเครียดเขาเอนตัวนั่งพิงกับเก้าอี้บุนวมอย่างเหนื่อยใจ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเจอความวุ่นวายที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้วรติชาตัดสินใจตามศาสตราวุธมา ไม่ใช่แค่เพราะจะมาตามตื๊อเขากลับไปพร้อมเธอเท่านั้น กลับไปไม่ทันอย่างน้อยก็มีข้ออ้างกับบิดาว่าเพราะเธอเป็นฝ่ายผิดนัดที่ไปสัมมนาแทนมารดา แต่เหตุผลหลักที่เธอตัดสินใจตามเขามาเพราะกลัวว่าเขานั้นจะโดนสุริวิภาฉกไปก่อนรติชาติดสินบนให
ศศิประภาพอรู้เรื่องของที่ศาสตราวุธปรับเงินสุริวิภากับเพื่อนๆ ของเธอก็ดุลูกชายเป็นการใหญ่ ที่ทำเกินกว่าเหตุ“ผมไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุเลยนะครับแม่ ก็ผู้หญิงคนนั้นเขาเสนอขึ้นมาเองว่าจะขอจ่ายค่าปรับ” ศาสตราวุธบอกมารดา เขาก็พอรู้ว่าเธอนั้นแค่พูดไปอย่างนั้น แต่ก็อยากให้บทเรียนบ้าง“ให้ตายสิลูกชายฉัน ถ้าผู้หญิงบอกอะไร มันไม่ได้หมายความว่าต้องการสิ่งนั้นเสมอไป” ศศิประภาบอกลูกชายเสียงเครียดแล้วกุมขมับเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเขาให้เข้าใจ“แล้วทำไมไม่พูดตรงๆ ล่ะครับ ต้องให้ตีความหมาย ใครจะไปรู้ ต้นไม้ยังแสดงอาการบอกเลยว่าต้องการให้ดูแลอย่างไร แต่กับคนนี่เข้าใจยากเหลือเกิน” ศาสตราวุธบ่นออกมา เขารู้ดีว่าคำพูดของผู้หญิงนั้นต้องตีความ และมันเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากมีใครเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเขา เพราะเขาขี้เกียจตีความหมายเหล่านั้น“ไม่รู้ล่ะ วุธต้องหาสะใภ้ให้แม่ภายในปีนี้ เลือกเอาหนูวิกับหนูน้ำชาคนใดคนหนึ่ง” ศศิประภาบอก“ผมยังไม่พร้อมครับ เพราะยังรู้จักกันได้ไม่นาน จะให้แต่งงานเร็วๆ นี้คงไม่ได้” ศาสตราวุธบอก เขาไม่พร้อมจะให้ใครเข้ามาในชีวิตในตอนนี้แต่ถ้าให้ต้องเลือกจริงๆ ระหว่างรติชากับสุริวิภา อย่างไร







