LOGINรติชาเก็บยางอายไว้ที่บ้าน เธอมาที่ไร่เลิศประจักษ์ของศาสตราวุธในตอนเช้าติดต่อกันอยู่สามวัน และอ้อนให้ศาสตราวุธพาเธอเที่ยวชมไร่จนเข้าไม่เป็นอันทำการทำงาน ไม่ใช่เพราะว่าเธอรบกวนการทำงานของเขา แต่เป็นเพราะรติชาชอบหยอดคำหวานใส่เขาเป็นเชิงทอดสะพานให้เขาชอบเธอจนเขานั้นอึดอัด
“น้ำชาชมไร่พี่ครบทุกส่วนแล้ว พรุ่งนี้คงไม่มีอะไรให้ดู” ศาสตราวุธบอกเธอ ในใจนั้นแสนโล่งอก เมื่อรู้ว่าเธอจะไม่มีข้ออ้างมาหาเขาอีก
“ยังมีอีกที่ ที่น้ำชายังไม่ได้ไปชม” รติชาบอกเขาแล้วมองด้วยสายตาที่ชวนอึดอัด
“ที่ไหนครับ” ศาสตราวุธถามเธอ
“ในหัวใจของพี่วุธไงคะ น้ำชาอยากเข้าไปดูในนั้น ว่านอกจากต้นไม้ใบหญ้า ที่วุธจะเหลือที่ให้น้ำชาได้เข้าไปอยู่ในนั้นหรือเปล่า” รติชาพูดแล้วก็นึกอยากอาเจียนออกมา ไม่รู้ว่าเธอไปเอาคำพูดหวานเลี่ยนชวนอ้วกแบบนี้มาจากที่ไหน
ศาสตราวุธอึ้งไป เขาอึดอัดและทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกรุกหนักจากเธอมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
“อย่าเงียบสิคะ พูดอะไรบ้าง” รติชาบอกแล้วเดินเข้าไปหาเขา หยุดตรงหน้าของศาสตราวุธที่ยืนอึ้งอยู่ แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นไปสบตากับเขา
“เขินน้ำชาเหรอคะ” เธอถามเขา
“พี่ว่าเรากลับกันเถอะ แดดเริ่มแรงแล้ว” ศาสตราวุธบอก พลางถอยห่างจากเธอ
‘เป็นผู้หญิงที่รุกหนักจนน่ากลัวจริงๆ’ ศาสตราวุธคิดพลางหลบสายตาของเธอที่เอาแต่จ้องมองเขาไม่หยุด
“พรุ่งนี้น้ำชาไม่ได้มาหรอกค่ะ ต้องดูงานที่ไร่ แต่ถ้าคิดถึงก็โทรมานะคะ น้ำชาเมมเบอร์ของน้ำชาไว้ในเครื่องพี่วุธแล้ว” รติชาบอก
“ครับ” ศาสตราวุธรับปากไปอย่างนั้น
“พูดแล้วนะคะ ว่าจะโทรมา อย่าลืมโทรหาน้ำชานะคะ น้ำชาจะรอรับโทรศัพท์จากพี่วุธ” รติชาบอกแล้วเดินนำเขากลับไปที่รถ
ศาสตราวุธถอนหายใจอย่างโล่งอกที่จะไม่ได้เจอเธอเป็นวันที่ห้าติดต่อกัน เขาจะได้หายใจได้ทั่วท้องเสียที
*********************
ในเช้าวันอาทิตย์ศาสตราวุธตื่นลงไปรดน้ำต้นไม้อย่างสดชื่น เขาไม่เคยตื่นสายเลยสักวัน เพราะมีบรรดาต้นไม้รอให้เขาไปดูแลพวกมันอยู่ โดยเฉพาะไม้ประดับและกล้วยไม้ที่เขาไม่ให้คนงานมารดน้ำให้ เพราะกลัวให้น้ำมากหรือน้อยเกินไป เขาจึงอยากดูแลเองเป็นการส่วนตัว
เมื่อวานรติชาไม่มาให้เขาเห็นหน้า มันเป็นอะไรที่โล่งใจและทำให้ศาสตราวุธมีความสุขมาก เธออาจถอดใจจากเขาไปแล้วเพราะว่าเขานั้นไม่ได้ให้ความหวังเธอเลย
แต่รอยยิ้มและความดีใจของศาสตราวุธก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อรถยนต์คันคุ้นตาแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน รติชาลงจากรถและส่งยิ้มให้เขามาแต่ไกลและโบกมือให้เขาอย่างสนิทสนมจนศาสตราวุธสะดุดสายยางเพราะท่าทางของเธอ
เขาเดินไปปิดน้ำแล้วเดินไปต้อนรับเธอตามหน้าที่ของเจ้าบ้านที่ดี แล้วก็ตาโตเมื่อเห็นว่าเธอถืออะไรมาด้วย
“นี่มัน ‘หวายบูเลนเนียนั่ม’ กล้วยไม้พันธุ์หายากนี่” ศาสตราวุธพูดอย่างตื่นเต้น และยิ้มออกมาด้วยอาการดีใจและชื่นชมกล้วยไม้ตรงหน้า
“สวยไหมคะ” รติชาถามเขา
“สวยครับ สวยมาก” ศาสตราวุธพูดพลางเอามือไปสัมผัสดอกกล้วยไม้หายากอย่างเบามือด้วยความชื่นชม
“กล้วยไม้กับน้ำชา อะไรสวยกว่ากันคะ” รติชาถามเขาแล้วยิ้มให้ คาดหวังคำตอบให้เขาเอาใจเธอหากเขาอยากได้ของฝากชิ้นนี้
“กล้วยไม้สิครับ” ศาสตราวุธบอก เขาไม่ยอมละสายตาจากกล้วยไม้สีส้มตรงหน้า
รติชาหน้าบึ้งที่เขาไม่คิดแม้แต่จะพูดโกหกเพื่อเอาใจเธอเลยสักนิด
“งั้นน้ำชากลับก่อนนะคะ” รติชาพูดแล้วทำท่าจะถือกระถางกล้วยไม้กลับ
“ขอบคุณสำหรับกล้วยไม้ ขับรถกลับดีๆ นะครับ” ศาสตราวุธยกกระถางมาถือไว้ก่อน และยังไม่ละสายตาจากดอกสวยๆ ตรงหน้า
“พี่วุธ” รติชาเรียกเข้าเสียงแหลม
ศาสตราวุธหันไปมองเธอแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร เพราะเมื่อสักครู่เธอบอกว่ากำลังจะกลับไป
“อะไรครับ” เขาถามเธอด้วยสีหน้าที่ดูนิ่งเรียบ จนรติชาต้องสงบใจลงแล้วพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด เพราะดูท่าศาสตราวุธคงไม่รู้ว่าเธอแค่พูดประชดเขา
“เปล่าคะ น้ำชาเปลี่ยนใจแล้ว วันนี้น้ำชาจะอยู่กับพี่วุธทั้งวัน” รติชาบอก
ศาสตราวุธหุบยิ้มอ่อนๆ ของเขาลง แต่เมื่อหันไปมองกล้วยไม้สวยๆ ที่เธอเอามาฝากก็เลยพยายามฝืนยิ้มออกมาให้เธอ
‘งั้นวันนี้อดทนอยู่ด้วย ตอบแทนเรื่องกล้วยไม้ก็แล้วกัน’ ศาสตราวุธคิดในใจแล้วยิ้มออกมา
“งั้นไปทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนสิ” ศาสตราวุธบอกแล้วเอากระถางกล้วยไม้ไปวางใกล้ๆ กับกล้วยไม้ต้นอื่นๆ อย่างทะนุถนอม ก่อนจะเดินนำเธอเข้าไปในบ้าน โดยที่รติชานั้นถือวิสาสะไปคล้องแขนของเขาเอาไว้แล้วเดินไปพร้อมกัน
ศาสตราวุธตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ควงแขนรติชาเข้าไปไหว้ทักทายบุพการีแล้วให้คนจัดอาหารให้เธออีกที่ข้างๆ เขา
ศศิประภาหันไปยิ้มกับยุทธนาด้วยความพอใจ เธอผิดหวังจากศรายุทธลูกชายคนโตที่แต่งงานกับบัวบงกชไปแล้ว เธอจะไม่ยอมให้ลูกชายอีกคนต้องคว้าผู้หญิงบ้านๆ มาเป็นลูกสะใภ้อีกคนแน่
“เห็นสนิทสนมกันดีอย่างนี้แม่ก็ดีใจ” ศศิประภาบอกแล้วยิ้มให้รติชาด้วยความเอ็นดู
ระหว่างรับประทานอาหารศศิประภาก็ลอบมองทั้งคู่ แล้วหันไปยิ้มกับสามีบ่อยๆ ศาสตราวุธนั้นไม่เคยขัดใจเธอ ดังนั้นถ้าศศิประภาให้เขาแต่งงานกับรติชา เธอคิดว่าศาสตราวุธก็คงไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
“วันนี้น้ำชามีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่าลูก” ศศิประภาถามเธอ
“ว่างทั้งวันเลยค่ะคุณป้า นี่ก็นึกเบื่อๆ อยู่เหมือนกัน เลยว่าจะเข้าเมืองไปดูหนังสักเรื่องอยู่พอดี แต่ต้องขับรถไปยี่สิบนาทีเลย คงเหนื่อยน่าดู” รติชาบอกพลางปรายตาไปทางศาสตราวุธที่ได้ยินแต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเสนอตัวขับรถพาเธอไป จนศศิประภาต้องช่วยพูด
“งั้นก็ให้พี่เขาพาไปสิ” ศศิประภาบอก
ศาสตราวุธหันหน้ามองมารดาและรติชาที่มองมาทางเขาแบบยิ้มๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้เขาพาไป
“น้ำชาคงอยากดูหนังคนเดียวมากกว่า ผมไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวน้องครับ” เขาบอกมารดา
“น้ำชาอยากชวนพี่วุธไปดูหนังด้วย ว่างหรือเปล่าล่ะคะ” เธอถามเขา
“ไม่ว่างครับ พี่ต้องเอาต้นไม้ลงดินวันนี้” ศาสตราวุธบอก เขาเพิ่งเพาะต้นไม้ประดับสำเร็จแล้วอยากเอามาจัดสวนที่หน้าสำนักงานที่อยู่ห่างจากตัวบ้านไปเพียงยี่สิบเมตร
รติชาหุบยิ้มลงเล็กน้อย เมื่อศาสตราวุธเป็นผู้ชายซื่อบื้อกว่าที่เธอคิด
“แค่เอาต้นไม้ลงดิน พรุ่งนี้ให้คนงานมาทำก็ได้ พาน้องไปเถอะ” ยุทธนาบอกลูกชายเพื่อเอาใจภรรยา ทำให้ศศิประภายิ้มกว้างเมื่อสามีนั้นเห็นดีเห็นงามด้วย
“ครับ” ศาสตราวุธรับปากเมื่อเห็นว่านานๆ ทีบิดาที่ออกความเห็นเรื่องอย่างนี้
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ศาสตราวุธก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสุภาพ เพื่อพารติชาไปดูหนังอย่างที่เธอต้องการ โดยทำหน้าที่ขับรถให้เธอ
เมื่อถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เขาก็ให้รติชาลงจากรถไปก่อนแล้วลงรถตามมาทีหลัง รติชาชินแล้วเธอเลยเปิดประตูลงเองไม่ได้รอให้เขามาเปิดประตูให้ เพราะรู้ว่ารอทั้งวันเขาก็คงไม่ทำ
รติชาควงแขนเขาไปในโรงหนังแล้วจับมือเขาจนหนังจบโดยที่ศาสตราวุธไม่ได้พยายามที่จะเอามือออกจากเธอเลย ซึ่งรติชาก็พอใจเพราะถือว่าเธอพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาไปอีกขั้นแล้ว
“ขอบคุณนะคะที่จับมือน้ำชาไม่ปล่อยเลย” รติชาบอกเขาเมื่อออกจากโรงหนังและกำลังจะเดินไปขึ้นรถ
“เห็นว่าน้ำชาอยากจับมือพี่ พี่เลยตอบแทนที่น้ำชาเอากล้วยไม้มาฝาก” ศาสตราวุธบอกเธอ รติชาถึงกับหน้าชา เขาพูดเหมือนกับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อยากจับมือผู้ชายมากๆ มากจนเขาต้องตอบแทนเธอด้วยการที่ยอมให้เธอจับมือเขา
‘ฉันคิดถูกหรือเปล่านะที่เลือกคุณ อีตาบ้า’
*********************
คู่บ่าวสาวถูกส่งตัวเข้าหอตามฤกษ์ พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายผลัดกันอวยพรตามธรรมเนียมปฏิบัติของการส่งตัว แล้วออกจากห้องไป ปล่อยให้คู่บ่าวสาวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง รติชาขอตัวไปอาบน้ำก่อนเขา เธอใช้เวลาอาบน้ำนานพอสมควร พอออกมาก็พบว่าเจ้าบ่าวกำลังคุยกับไม้ประดับของเขาที่วางอยู่ตรงระเบียงห้องอยู่ เขาหันมายิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำต่อจากเธอ รติชานั่งเป่าผมจนแห้งแล้วได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ อย่างสบายใจออกมาจากห้องน้ำ มันยิ่งทำให้เธอนั้นตื่นเต้นว่าเขานั้นกำลังจะทำเรื่องการเข้าหอในคืนนี้ให้สมบูรณ์ แล้วเธอจะบ่ายเบี่ยงด้วยวิธีไหนดีเพื่อไม่ให้เขาทำมันสำเร็จ เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเข้าหอกับเขา ถึงเขาจะมีสิทธิ์เต็มที่ก็ตาม เธอตัดสินใจไปนอนที่เตียงแล้วทำเป็นแกล้งหลับไปก่อนเขา ศาสตราวุธเดินมาที่เตียงแล้วนอนลงจนเตียงยวบลงจนรติชารู้สึกได้ เธอใจเต้นตึกตักแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมาพูดกับเขา ศาสตราวุธเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มจะห่มให้เธอ รติชาสัมผัสได้ถึงมือเขาที่ยื่นเข้ามาใกล้ เลยลืมตาขึ้นมา “พี่วุธจะทำอะไรคะ” เธอถามเขาหน้าตาตื่น “อากาศมันเย็น จะห่มผ้าให้” เขาบอกแล้วโน้มหน้าลงจะทำหน้าท
สุริวิภาไม่ชอบหน้ารติชาอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งคำพูดของเธอที่แทงใจดำเรื่องวิธีที่ทำให้เธอได้รับตำแหน่งนางงามจังหวัดมา ยิ่งทำให้สุริวิภานั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก “แกก็แย่งคุณวุธมาสิ ง่ายจะตาย” เพื่อนอีกคนพูดขึ้น “แต่ฉันไม่ชอบหรอกนะ บอกแล้วไง แค่เก็บไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกท้ายๆ” สุริวิภาบอก “ก็แค่แกล้งให้ยัยนั่นไม่พอใจ ไม่ได้ให้ไปแย่งมาจริงๆ เสียหน่อย” เพื่อนอีกคนบอก “งั้นพวกแกกินข้าวกันไปก่อน ฉันจะกลับไปที่โต๊ะนั้น” สุริวิภาบอกแล้วปรับสีหน้า ยิ้มเดินเฉิดฉายไปยังโต๊ะของศาสตราวุธ “ขอวินั่งด้วยนะคะ” เธอบอกแล้วนั่งลงข้างๆ ศาสตราวุธทั้งที่ยังไม่มีใครอนุญาต “วิรู้สึกผิดกับเรื่องวันนั้นจังเลยค่ะ อยากขอโทษพี่วุธอีกครั้ง ขอโทษนะคะ” สุริวิภาพูดแล้วกราบที่หน้าอกของศาสตราวุธ เขาตกใจรับมือเธอเอาไว้แทบไม่ทัน “ไม่เป็นไรครับ” เขาบอกเธอ แล้วยิ้มฝืนๆ ไปให้ “มื้อนี้วิขออนุญาตเลี้ยงนะคะ ถือเป็นการขอโทษ” เธอบอกเขาเสียงอ่อน ปรายตามองรติชาที่มองมาด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจนัก“ไม่เป็นไรครับ ผมจ่ายเองได้” ศาสตราวุธบอก แล้วมองรติชาที่มองสุริวิภาอย่างไม่พอใจ เข้าใจว่าเธอคงไม่ชอบหน้ากัน แต่เขาก็ไม่รู้จะจัดการปัญหา
รติชาเตรียมงานแต่งงานของตัวเองด้วยจิตใจที่ฟุ้งซ่าน ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องหงุดหงิดเพราะศาสตราวุธไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินกว่าเป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงการดูตัวกับผู้หญิงคนอื่น แต่พอนึกดูดีๆ แล้ว เธอเองก็ใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเลี่ยงการแต่งงานกับพ่อเลี้ยงคำปองเหมือนกัน ดังนั้นจะไปโกรธเขาก็คงไม่ถูก “งั้นก็ถือว่าหายกันก็แล้วกัน” รติชาพึมพำออกมาเบาๆทางด้านศาสตราวุธเองจริงๆ แล้วก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่พูดตรงกับเธอเกินไป ที่บอกว่าเขาตัดความรำคาญเลยตั้งใจจะลองคบกับเธอดูอะไรทำนองนั้น แต่เขาคิดว่าควรพูดความจริง เพราะไม่อยากโกหกเธอ และพยายามบอกตัวเองว่า เขาทำถูกแล้วที่ไม่ได้โกหกเธอออกไป แต่อีกใจก็คิดว่า ถึงไม่โกหกแต่ก็ไม่ควรพูดออกไปให้เธอรู้สึกแย่อย่างนั้น เขาคิดไปพลางดูฤกษ์ในมือที่แม่ของเขายื่นให้ แล้วถอนหายใจออกมา “ฤกษ์จดทะเบียนสมรสอีกห้าวัน ฤกษ์แต่งงานอีกสามสัปดาห์ ทำไมเร็วอย่างนี้ล่ะครับแม่” ศาสตราวุธถามมารดา เพราะเขาคิดว่ามันเร็วเกินไป “ทางนั้นเขาอยากให้รีบแต่งเพราะกลัวลูกสาวเขาเสียหาย” “แต่ผมไม่ได้ล่วงเกินน้ำชาเลยนะครับ โทรถามพี่ยุทธก็ได้” ศาสตราวุธยืนยัน “แล้วกล้าไปพูดกับพ่
หลังจากที่รติชากลับไร่ของเธอไปแล้ว ศาสตราวุธก็นั่งลงคุยกับมารดาอย่างเป็นงานเป็นงาน“แม่ครับ ผมไม่แต่งงานนะครับ” เขาบอกมารดาศศิประภาไม่คิดว่าศาสตราวุธอยู่ๆ จะพูดออกมาอย่างนี้ ปกติเขาไม่เคยพูดอะไรขัดใจเธอมาก่อน ทำเอาศศิประภานั้นอึ้งไปสักครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา และทำหน้าเศร้า“แม่แค่หวังอยากให้ลูกแม่สักคนแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคน ที่มีพร้อมทั้งฐานะ และหน้าตาทางสังคม ให้แม่ได้อวดใครๆ บ้างว่าลูกสะใภ้ก็มีดีไม่น้อยหน้าใคร เมียของพี่แกเป็นคนดีก็จริง แต่แม่อวดใครเขาไม่ได้ เหลือแต่แกคนเดียว จะทำให้ความฝันแม่เป็นจริงมันไม่ได้เลยหรือไง ไม่รู้ว่าแม่ไปทำเวรทำกรรมอะไรมา ลูกชายทั้งสองคน ไม่มีใครเห็นใจแม่เลยสักคน” ศศิประภาบีบน้ำตาแต่ทำท่าแอบเช็ดไม่ให้ศาสตราวุธเห็น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาก็เห็นตั้งแต่แรกและนั่งนิ่งอยู่ด้วยความรู้สึกผิดอยู่“แม่ครับ” เขาเรียกมารดาเสียงอ่อน“ช่างเถอะพรุ่งนี้แค่ไปทานข้าวเพื่อผูกมิตรแล้วก็กลับก็แล้วกัน เรื่องข่าวลือที่ว่าลูกไม่ชอบผู้หญิงที่เขาลือกันให้แม่อับอายก็ช่างมัน” ศศิประภาพูดเสียงสั่น“ผมก็แค่ชอบต้นไม้มากกว่าผู้หญิง ต้นไม้ไม่เรื่องมาก อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ทำไมผมต้องไขว่
ศาสตราวุธนั่งเล่าเรื่องที่มารดาพยายามจับคู่เขากับรติชาและสุริวิภาให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ฟัง ศรายุทธหัวเราะลั่นที่เจ้าชายต้นไม้อย่างเขาต้องมาเจอกับการรุกของฝ่ายหญิง“ฉันว่าคนชื่อวินี่ไม่ผ่านนะ” ศรายุทธบอกน้องชายแล้วอมยิ้มขำเรื่องที่เขาเล่า“บัวว่าคุณน้ำชานี่น่าลุ้นนะคะ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ คนนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย แถมมีไร่ชาด้วย เหมาะสมกับคุณวุธมากกว่า” บัวบงกชออกความเห็น“แต่ผมยังไม่อยากแต่งงานนี่ครับ รู้จักกันไม่ทันไร อยู่ๆ จะไปเจอผู้ใหญ่แล้วพูดเรื่องแต่งงานเลย สงสารฝ่ายหญิงที่ต้องมีผมเป็นสามี ให้ตายเถอะ ผมยิ่งเอาใจใครไม่เป็นอยู่ด้วย ถ้าแต่งงานไปก็คงต้องหย่ากันอยู่ดี” ศาสตราวุธบอกพี่ชายกับพี่สะใภ้เสียงเครียดเขาเอนตัวนั่งพิงกับเก้าอี้บุนวมอย่างเหนื่อยใจ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเจอความวุ่นวายที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้วรติชาตัดสินใจตามศาสตราวุธมา ไม่ใช่แค่เพราะจะมาตามตื๊อเขากลับไปพร้อมเธอเท่านั้น กลับไปไม่ทันอย่างน้อยก็มีข้ออ้างกับบิดาว่าเพราะเธอเป็นฝ่ายผิดนัดที่ไปสัมมนาแทนมารดา แต่เหตุผลหลักที่เธอตัดสินใจตามเขามาเพราะกลัวว่าเขานั้นจะโดนสุริวิภาฉกไปก่อนรติชาติดสินบนให
ศศิประภาพอรู้เรื่องของที่ศาสตราวุธปรับเงินสุริวิภากับเพื่อนๆ ของเธอก็ดุลูกชายเป็นการใหญ่ ที่ทำเกินกว่าเหตุ“ผมไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุเลยนะครับแม่ ก็ผู้หญิงคนนั้นเขาเสนอขึ้นมาเองว่าจะขอจ่ายค่าปรับ” ศาสตราวุธบอกมารดา เขาก็พอรู้ว่าเธอนั้นแค่พูดไปอย่างนั้น แต่ก็อยากให้บทเรียนบ้าง“ให้ตายสิลูกชายฉัน ถ้าผู้หญิงบอกอะไร มันไม่ได้หมายความว่าต้องการสิ่งนั้นเสมอไป” ศศิประภาบอกลูกชายเสียงเครียดแล้วกุมขมับเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเขาให้เข้าใจ“แล้วทำไมไม่พูดตรงๆ ล่ะครับ ต้องให้ตีความหมาย ใครจะไปรู้ ต้นไม้ยังแสดงอาการบอกเลยว่าต้องการให้ดูแลอย่างไร แต่กับคนนี่เข้าใจยากเหลือเกิน” ศาสตราวุธบ่นออกมา เขารู้ดีว่าคำพูดของผู้หญิงนั้นต้องตีความ และมันเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากมีใครเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเขา เพราะเขาขี้เกียจตีความหมายเหล่านั้น“ไม่รู้ล่ะ วุธต้องหาสะใภ้ให้แม่ภายในปีนี้ เลือกเอาหนูวิกับหนูน้ำชาคนใดคนหนึ่ง” ศศิประภาบอก“ผมยังไม่พร้อมครับ เพราะยังรู้จักกันได้ไม่นาน จะให้แต่งงานเร็วๆ นี้คงไม่ได้” ศาสตราวุธบอก เขาไม่พร้อมจะให้ใครเข้ามาในชีวิตในตอนนี้แต่ถ้าให้ต้องเลือกจริงๆ ระหว่างรติชากับสุริวิภา อย่างไร







