คำพูดคล้ายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอเพราะไม่มีสักจุดที่ขี้ริ้ว ไม่ว่าจะเป็นคางมนที่น่าใช้นิ้วเชยขึ้นเพื่อรับจูบดูดดื่ม ปากอวบอิ่มที่ขยันทำปากเจ่อๆ เรียกร้องให้เขาบดความรุมร้อนลงไปหา จมูกโด่งน้อยๆ แต่พองาม จนเขาอยากจะคีบที่ปลายและขยี้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว โดยเฉพาะดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววบ้องแบ๊ว และผิวละเอียดขาวอมชมพูน่าดมน่าลูบไล้ เพราะหล่อนได้ยีนจากทางแม่ซึ่งเป็นสาวญี่ปุ่นมาเต็มๆ
ทั้งหมดนั้นเร้าอารมณ์เขาชะมัด และทุกครั้งที่หางตาเหลือบมองเส้นผมดำยาวที่หล่อนรวบไว้เป็นหางม้าปัดป่ายไปตามเรือนร่างขณะก้าวเดิน จำเพาะที่ปลายเส้นผมนั้นละอยู่บริเวณบั้นเอว นั่นยิ่งทำให้จินตนาการของเขาเพริศแพร้ว คิดไปถึงยามหางม้านั้นถูกปลดออก ปล่อยปลายผมละกับสะโพก หรือเวลาที่เส้นผมนั้นกระจายเต็มปลอกหมอน เต็มที่นอน อืม... จะเซ็กซี่ได้แค่ไหน
ทั้งหมดเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้อยากลองว่าภายใต้ความบ้องแบ๊วนั้น หากหล่อนมาอยู่ใต้ร่างของเขา แววตานั้นจะมองเขาเช่นไร จะเปลี่ยนไปเป็นวาบหวามได้แค่ไหน โดยเฉพาะความอวบอิ่ม
อืม… หล่อนเป็นสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นขนานแท้ เพราะส่วนนูนนั้นเด่นเกินหน้าเกินตาสาวไทย นูนจนแทบจะทิ่มหน้าเขาทุกครั้งที่อยู่ใกล้
อืม… 36 หรือจะ 38
อืม… น่าจะพอดีมือ
“เฮ้ย! ไวทย์ แกทำอะไรวะ”
“ฮะ! เฮ้ย! เปล่า!” ไวทย์เสียงสูง พยายามนึกว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรอยู่
“แกทำ ก็แกทำมือแบบเนี้ย” ปัถย์ทำมือกะขนาดตาม ยิ้มเย้าเมื่อไวทย์ปฏิเสธเสียงแข็ง
“ข้าบอกว่าเปล่าก็เปล่าสิวะ”
“ปัถย์อย่าไปแกล้ง” ปูรณ์ห้ามปัถย์ หันไปพูดกับไวทย์ “พูดต่อสิไวทย์ ทำไมเอ็งถึงคิดว่าพี่เขยจะไม่ยกลูกสาวใส่พานให้เอ็ง”
“ก็อย่างยายหนูหน่อยหาสามีดีๆ ได้แน่ หรือถ้าพี่โน้ตอยากหาสามีให้ลูกสาว เขาก็มีลูกเพื่อน ลูกของลูกค้า พวกหนุ่มเซเลป ไฮโซทั้งหลายแหล่ตั้งมากนี่ครับ ผมไม่เห็นแรงจูงใจอะไรเลยที่พี่โน้ตจะเห็นดีเห็นงามกับพี่วิว”
“ที่นายพูดมามันก็ถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจทั้งหมดหนิ เรื่องคนรวยเจอคนรวยพี่ยอมรับ แต่พี่เขยนาย เขาเป็นแบบนั้นเหรอ และถ้าเขารวยมากๆ อย่างที่นายบอก เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องหาคนรวยให้ลูกสาวนี่หว่า เพราะถ้าเป็นลูกสาวพี่ พี่หาคนดีว่ะ แล้วนายคิดว่านายเข้าคุณสมบัตินั้นหรือเปล่าล่ะ...”
“ไม่อ่ะพี่ปูรณ์ ยังไงผมก็ไม่เชื่อหรอก”
ปูรณ์ยิ้มกับคำตอบของไวทย์ แต่ปัถย์ยิ้มเยาะ
“ไม่เชื่อเอ็งก็คอยดู ถ้าเอ็งตกหลุมรักหนูหน่อยไปแล้ว เอ็งปีนขึ้นไม่ได้แน่ รักมันหนักอก หมดแรง”
“ข้าไม่เอาเด็กทำเมียหรอก”
ไวทย์มองสบสายตาเพื่อน หน้าเครียด ภาวนาอย่าให้สิ่งที่ปูรณ์กับปัถย์คิดเป็นจริงเลย แม้เขาจะพอใจกับรูปโฉมของหนูหน่อย แต่เขายังไม่อยากมีเมีย แถมเมียเด็ก เขายิ่งไม่อยาก บอกแล้วไม่ชอบของใหม่ เขาชอบของเคยมือของรู้งานมากกว่า
“จำคำพูดเอ็งไว้ไอ้หมอ ข้าจะคอยดู ใช่มั้ยพี่ปูรณ์”
ปูรณ์ไม่ตอบแต่ยิ้มกริ่ม ดวงตาคมเข้มมองไปนอกห้องกระจก ที่ตรงนั้นเจ๊แหม่มกำลังพูดคุยกับลูกค้ารุ่นเดอะอย่างออกรสชาติ
“ข้าชอบหญ้าแก่”
ไวทย์พูดกับปัถย์แต่เป็นปูรณ์ที่หันมาตอบ
“แต่นั่นไม่ใช่หญ้าแก่ นั่นไก่แก่แม่ปลาช่อน ข้าจอง”
“พี่ปูรณ์!!”
หนุ่มรุ่นน้องหัวเสียแต่ปูรณ์ยิ้มกริ่ม เพราะนั่นน่ะสเปคของเขา
.
.
“เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย… ผีซ้ำด้ามพลอย ถึงคราวมันต้องเปลืองตัว… เอิ้ก!”
เสียงเพลงกระท่อนกระแท่นเปล่งออกมาตามจำนวนดีกรีในกระแสเลือดของคนร้อง ทว่านั่นไม่ใช่ทั้งปูรณ์และปัถย์แต่ดันเป็นคนเจ้าปัญหาในค่ำคืนนี้ คนที่บอกว่าไม่เอาเด็ก แต่ดันร้องเพลงเด็กมันยั่วไม่หยุดตั้งแต่อยู่ในร้านจนปัถย์ขับรถพามาส่งที่บ้านพักท้ายฟาร์ม และปูรณ์ก็ขับรถของปัถย์ตามมา จนถึงเดี๋ยวนี้ไวทย์ก็ยังไม่หยุดร้อง
“เฮ้ย! ไวทย์ ถึงบ้านแล้วนะโว้ย! ข้าว่าเอ็งหยุดร้องก่อนดีมั้ย”
“หยุด! หยุดทำไมว่ะปัถย์ ถ้าดีก็ไม่ต้องหยุดสิวะ ร้องต่อ! เอ้า! ดนตรีมา! ... ผู้หมวดครับ หมวดจะทำไฉน เมื่อหมวดหิวข้าวตาลาย แต่ข้าวไม่มีสักทะนาน มีคนใจบุญเอาไข่มาตุ๋นใส่จาน ยกให้ถึงบ้าน หมวดคงไม่ขว้าง จานเสีย… ใช่มั้ยหมวด หมวดครับ หมวดจะกินมั้ยไข่อ่ะ เนื้อนมไข่ เชียวนะครับ โอโห… ใหญ่ขนาดนี้”
ไวทย์พูดกับปัถย์และร้องเพลงเสียงอ้อแอ้ ก่อนจะหันไปเรียกปูรณ์ว่าหมวด ทำมือทำไม้กะขนาดบางสิ่งที่มือขยำจนล้น นั่นทำให้ปูรณ์ส่ายหน้าในอาการเมาแล้วรั่วของไวทย์ แต่ปัถย์กลั้นขำไม่อยู่
ทั้งคู่พยายามประคองไวทย์ที่ร้องเพลงลั่นขึ้นมาถึงระเบียงหน้าบ้าน แต่เข้าไม่ได้เพราะประตูล็อกจากด้านใน
“เอาไงดีพี่ปูรณ์ เรียกหนูหน่อยมั้ย ขืนปล่อยมันนอนตรงนี้ มีหวังยุงหามกันพอดี”
ปูรณ์มองหาทางเข้า จะดูว่ามีตรงไหนที่เขาจะแงะเข้าไปได้บ้าง แต่แสงไฟที่สว่างวาบและลอดออกมาจากซีกขวาของตัวบ้านก็ทำให้รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าหล่อ เพราะนั่นแสดงว่ามีใครบางคนตื่นแล้ว
“ไม่ต้องเรียกหรอก โน่น... ไฟเปิดแล้ว”
เพียงอึดใจแสงไฟก็สว่างทั่วบ้าน ตามมาด้วยม่านประตูที่ไหวเล็กน้อยเพราะคนด้านในคงจะส่องดูพวกเขา ก่อนเสียงถอดกลอนจะดังขึ้น ตามมาด้วยบานประตูที่ค่อยๆ เลื่อนออกอย่างเบามือ
คุณปูรณ์พาหล่อนก้าวเดินเข้ากระโจม ด้านในนั้นมีเตียงนอนสีขาวสะอาดตาถูกจัดเตรียมไว้ไม่ต่างจากที่หล่อนเคยเห็นตอนส่งตัวน้ำว้าเข้าหอ หมอนสองใบวางเคียงกัน บนเตียงมีกลีบกุหลาบสีชมพูตกแต่งเป็นรูปหัวใจจนทั่วทั้งห้องมีแต่กลิ่นกุหลาบ เจ้าบ่าวหล่อที่สุด ค่อยๆ วางหล่อนบนที่นอนก่อนที่เขาจะทาบทับลงมา และทำท่าจะ... “คุณปูรณ์คะ... แขกยังอยู่เลยนะคะ” หล่อนเอียงหน้าหลบจมูกโด่งที่ซุกไซ้ซอกคอ “อยู่แล้วยังไง เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวเข้าหอ ใครๆ เขาก็รู้ว่าจะทำอะไรกัน” จมูกโด่งซุกไซ้ข้างแก้ม ใบหู ไรผม ต้นคอ พร้อมริมฝีปากพูดแนบชิดจนหล่อนเริ่มหายใจติดขัด คุณปูรณ์กำลังปลุกอารมณ์หล่อน และหล่อนก็ร้อนง่ายเหลือเกิน “วันนี้เอื้อมเป็นของฉันจริงๆ แล้วนะ และฉันก็เป็นของเอื้อม เป็นของเอื้อมคนเดียวตลอดไป เข้าหอกันนะทูนหัว ไม่เช้าไม่ออก” ปูรณ์ยิ้มกับเจ้าของใบหน้าสวยที่ส่งรอยยิ้มแสนหวานมาให้ เพราะแปลว่าหล่อนยินยอม ริมฝีปากอุ่นจัดทาบลงบนกลีบปากบอบบางก่อนจะละเลียดปลายลิ้นเข้าชอนชิมความหวาน จากนั้นก็ไม่มีพื้นที่ใดทั่วทั้งร่างกายของเอื้อมดาวที่ร
สายตาร้อนแรงราวกับเป็นเอื้อมดาวคนละคนมองตรงไปยังกายแกร่งที่เดินไปนั่งพิงแผ่นหลังหน้าก้อนฟางอัดแน่นจนเป็นโซฟาตัวยาวบุเบาะนวมนุ่ม ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่หล่อน มือก็สาวความแข็งแกร่งรอคอย เอื้อมดาวรู้หน้าที่ดี หล่อนคลานเข้าหา ลีลาไม่ต่างจากนางแมวยั่วสวาท ตาก็จองมองสิ่งนั้น สิ่งที่จะเติมเต็มความร้อนรุ่มรุนแรงของหล่อนให้บรรเทา สิ่งที่จะสอดแทรกสู่ร่างกายและทำให้หล่อนไม่ทรมาน แต่เมื่อมือน้อยๆ ไขว่คว้าได้ คุณปูรณ์กลับรั้งร่างหล่อนขึ้นมาจูบ “คุณปูรณ์ขา... ซี้ด... ขอหนูนะคะ หนูอยากได้ ซี้ด... ขอหนู... คุณปูรณ์ขา...” “อืม... ใจเย็นๆ นะเอื้อมจ๋า... ฉันยังเล็มหญ้าอ่อนไม่อิ่มเลย” เอื้อมดาวมองเขาฉงน เขาจะกินหล่อนต่อ... ยังไง และเขาก็บอกวิธีการกิน แต่หล่อนไม่กล้า แม้จะอยากจนกอหญ้าเต้นระริกคันยิบ “มาเถอะเอื้อมจ๋า... เอามาให้ฉันกิน” “มัน... เอ่อ... จะดีเหรอคะ หนู...” “เอื้อมรู้ว่ามันจะดี มาเถอะ ฉันหิว...” คำว่า ‘หิว’ มาพร้อมกับคุณปูรณ์แหงนศีรษะพาดไว้ที่เบาะนุ่ม ปลายลิ้นที่แลบออกมาส่ายร่อนอยู่เหนือริมฝีปาก
สิ่งแรกที่เห็นคือเขายิ้มกว้าง ดวงตาคมเข้มมีแววสนุกเหล่ตาไปข้างซ้ายข้างขวาคล้ายจะให้หล่อนมองตาม และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หล่อนตื่นตะลึง มือป้องปิดริมฝีปากที่พร้อมจะเปล่งเสียงร้องไห้โฮ เพราะทั่วบริเวณคือสถานที่จัดงานแต่งงานขนาดย่อมท่ามกลางบรรยากาศของโรงนา มีเวทีขนาดเล็กอยู่สุดทางเดิน มีภาพของหล่อนกับเขาในหลากอิริยาบถประดับไปทั่ว “อยู่ที่นี่ด้วยกันนะเอื้อม อ้อมกอดนี้และหัวใจดวงนี้เป็นของเอื้อมจริงๆ” “คุณปูรณ์ล้อหนูเล่นหรือเปล่าคะ หรือหนูฝัน” เอื้อมดาวขยับยุกยิกเหมือนจะหยิกตัวเอง ทำให้ปูรณ์ยิ่งขำ เขากอดรัดร่างหอมกรุ่นแน่นขึ้น จดจมูกที่หน้าผากและเรือนผมนุ่ม อยากกอดรัดหล่อนแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่อยากให้เอื้อมดาวห่างหายไปไหน ช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่มีร่างเล็กๆ นี้นอนแนบข้าง ไม่เคยมีค่ำคืนใดที่ว่างเว้น เรียกได้ว่าแค่ขอให้มีโอกาส เขาก็พร้อมจะพาเอื้อมดาวโลดแล่น และเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่หล่อนขอไปหาฟ้ารุ่งที่ร้าน เขาก็แทบจะขาดใจ แล้วเดือนหน้าหล่อนต้องไปเรียน เขาไม่ต้องตามไปเฝ้ากันเลยเหรอ เวลานี้เขารู้แล้วว่าความรักมันมีอานุภาพร้า
แม่เปิดปากเล่าเรื่องราวที่ทำให้พ่อลาออกจากงานที่ฟาร์มแล้วมาเปิดร้านวัสดุการเกษตร เพียงเพราะเพื่อนนินทาว่าพ่อเลี้ยงแม่เหมือนเมียเก็บ วันวันอยู่แต่ไร่แต่ฟาร์ม เพราะว่าแม่อายุห่างจากพ่อมาก แม่จึงร่ำร้องให้พ่อตามใจ เพราะอยากประกาศให้เพื่อนฝูงรู้กันให้ทั่วว่าแม่เป็นเมียของพ่อ เป็นเจ้าของร้านค้า โดยที่แม่ไม่คำนึงถึงความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน “พ่อรักแม่มากเลยนะคะ” “ใช่ พ่อรักแม่มาก แต่แม่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง” “คะ...” “เพราะเอื้อมไงละ เอื้อมทำให้แม่เห็นว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน” เอื้อมดาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา “ตอนนั้นแม่เพิ่งสิบแปด ยังเด็กมาก มีลูกก็ไม่อยากจะเลี้ยงด้วยซ้ำ อยากแต่งตัวสวยๆ อยากให้คนมองอย่างชื่นชม แต่เอื้อมไม่เหมือนแม่นะ เอื้อมเป็นผู้ใหญ่กว่าแม่มาก เอื้อมเข้มแข็งและแม่มั่นใจว่าเอื้อมจะทำได้ดีกว่าแม่ ที่สำคัญคุณปูรณ์เขาไม่ได้เห็นเอื้อมเป็นเมียเก็บ เชื่อแม่” .. เอื้อมดาวกลับเข้ามาที่ฟาร์มช่วงบ่าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านพัก คนงานก็มาบอกว่าคุณปูรณ์ให้หล่อนไปพบที่โรงนาหลังเก่าที่กำลังปรับปรุงไว้ส
แกร๊ก... ฟ้ารุ่งผินมองคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประทินผิวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนต้องรีบแต่งหน้าให้เสร็จเร็วไว เพราะใกล้เวลาเปิดร้านเต็มที ทว่าคนที่เดินเข้ามาแล้วไม่พูดอะไรก็ทำให้ฟ้ารุ่งหงุดหงิด “แกจะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังแกทั้งวันหรอกนะ” คำพูดห้วนจากน้ำเสียงหวานๆ ของแม่ทำให้เอื้อมดาวเม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาร้อนผ่าว คงไม่มีวันที่จะพูดจาดีๆ กันอีกแล้ว แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเกือบเดือน จนแน่ใจว่าไอ้เสี่ยโบ้จะไม่มาวุ่นวายกับแม่กับหล่อนอีก คุณปูรณ์จึงอนุญาตให้แม่กลับมาดูแลร้านได้ และคุณปูรณ์ก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแม่ เขาแค่ยั่วหล่อนเล่น แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนกับแม่ก็ยังเหมือนคนแปลกหน้ากันอยู่ดี หรืออาจเรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้นก็แทบเป็นคนไม่รู้จัก เพราะแม่ไม่เคยพูดกับหล่อนอีกเลย แต่หล่อนล่ะ หล่อนจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้เหรอ อยู่แบบไม่มีแม่ แม้แม่จะไม่เห็นว่าหล่อนเป็นลูก แต่แม่ก็เป็นแม่ของหล่อนเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ “แม่ยังโกรธหนูอยู่เหรอคะ” ฟ้ารุ่งชะงักมือท
เอื้อมดาวล่องลอยไปกับความปรารถนาเพราะทุกจุดสัมผัสบนร่างกายถูกจู่โจมพร้อมๆ กัน จนหล่อนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายยิ่งบดเบียดเสียดสีดอกไม้งามที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำหวานกับความแข็งแกร่งของเขา จนในที่สุด ทุกอย่างก็ถูกสอดใส่ ทั้งๆ ที่หล่อนและเขายังสวมใส่เสื้อผ้าครบ นั่นทำให้เอื้อมดาวได้อีกประสบการณ์ความเสียวที่เพียงแหวกช่องทาง ทุกอย่างก็สอดใส่เข้าหากันได้ “อ่ะ...” หล่อนชะงักร่าง เพราะสิ่งที่หล่อนนั่งทับให้สอดแทรกเข้าสู่ร่างกาย ใหญ่จนหล่อนไม่กล้าทิ้งตัวนั่งลงไปตรงๆ “เจ็บเหรอ” “ไม่ค่ะ หนู... หนูแค่ตกใจ... เอ่อ... คุณปูรณ์ใหญ่” หล่อนตอบแต่เขากลับหัวเราะ “คุณปูรณ์หัวเราะอะไรคะ” “ก็หัวเราะคนพูดตรง” “เอ่อ... ไม่ดีเหรอคะ หนู... ไม่ควรพูดเหรอคะ” “ไม่ใช่ไม่ควร ควรมากเลยละ เพราะยิ่งพูด... ฉันก็ยิ่งแข็ง” “ว้าย! คุณปูรณ์...” เอื้อมดาวผวาเพราะสิ่งที่แข็งเด้งสวนขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือแกร่งที่ขยับโขยกสะโพกของหล่อนเร็วรี่ จนเสียงร้องตกใจกลายเป็นเสียงครวญครางไม่ขาดปาก จากนั้นเสียงของเขาเสียงของหล่อนก็สอดประสาน เ