วันที่อ๋องหนานฟาหยางเคลื่อนทัพหลวงออกเดินทางไปยังชายแดนก็มาถึง ประชาชนทั้งหลายต่างออกมาเพื่อรอส่งขบวนเหล่าผู้กล้า ทุกคนช่วยสวดมนต์อวยพรให้ชนะศึกปลอดภัยกลับมา
หนานฟาหยางอยู่บนหลังม้านำควบอย่างสง่างาม ชุดเกราะสีดำตัดกับผ้าคลุมสีแดง ยิ่งช่วยให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ด้านหลังเป็นเหล่าแม่ทัพนายกองที่มีตำแหน่งลดหลั่นกันลงมา และภายในขบวนยังมีเกวียนม้าภายในมีทั้งเสบียงอาหาร ยาสมุนไพร และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยมากที่สุดนั้นก็คือ เกวียนม้าขนาดใหญ่ที่ใช้ม้าลากเกวียนถึงสามตัวต่อหนึ่งเกลียว มีผ้าคลุมอย่างมิดชิดผู้คุ้มกันแน่นหนา ทั้งหมดมีถึงห้าสิบเกวียน
ส่วนทหารหน่วยย่อยออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับอาวุธที่ได้จากหวังอี้หลิน ก็ถูกนำไปพร้อมกัน เนื่องจากเป็นทัพใหญ่หากให้เดินทางพร้อมกันจะทำให้การเดินทางล่าช้า จึงได้แบ่งย่อยออกเป็นสิบหน่วย จำนวนหน่วยล่ะห้าพันนาย ให้ทยอยออกเดินทางไปล่วงหน้าเมื่อสามวันที่แล้ว และทัพหลักของหนานฟาหยางเป็นขบวนสุดท้าย
โดยก่อนหน้าวันออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน เขาได้พาหนานเจียอีไปส่งที่บ้านตระกูลหวัง เนื่องจากระหว่างที่เขาไม่อยู่กลัวนางจะไม่ปลอดภัย ถึงแม้จะอยู่แต่ภายในวังอ๋องแต่ศัตรูนั้นมีแฝงกายอยู่ภายในมากมาย
เขามิไว้ใจจึงได้ฝากฝังให้หวังอี้หลินช่วยคุ้มครอง และถึงกระนั้นเขาก็ยังห่วงถึงความปลอดภัย จึงได้ให้องครักษ์เงาหนึ่งร้อยนาย คอยแฝงตัวและคุ้มครองทั้งภรรยากับบุตรสาวอย่างลับ ๆ อีกด้วย
“อาจูพ่อฝากเจ้าดูแลท่านแม่ด้วยนะ” หนานฟาหยางบอกกล่าวแก่บุตรสาวตัวน้อย ที่นั่งอยู่บนตักของหนานเจียอีพร้อมกับลูบหัวนางอย่างรักใคร่
“ท่านพ่อมิต้องห่วงจูจะดูแลท่านแม่แทนท่านพ่อเองเจ้าค่ะ”
“เก่งมากลูกพ่อ แล้วที่พ่อสอนจำได้หรือไม่”
“เสด็จพี่สอนสิ่งใดหรือเพคะ” หนานเจียอีถามขึ้นอย่างสงสัย ไปสอนอะไรกันตั้งแต่เมื่อไร
“ท่านพ่อบอกว่าห้ามให้บุรุษใดเข้าใกล้หรือพูดคุยกับท่านแม่เจ้าค่ะ ท่านแม่ไปที่ใดจูต้องไปด้วยทุกที่ และก็ให้รักท่านแม่ให้มาก ๆ เจ้าค่ะ”
หนานเจียอีมองค้อนสวามีไปหนึ่งที ห้ามนางเข้าใกล้หรือพูดคุยกับชายอื่นหรือ เป็นนางหรือไม่ที่กลัวเขาจะนำหญิงอื่นกลับมาด้วยยามเมื่อกลับจากชายแดน
หนานฟาหยางเมื่อเห็นสายตาที่มองมาของภรรยาก็ได้แต่ส่งยิ้มให้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่านางคิดสิ่งใดไม่มีทางที่ตนจะทำเช่นนั้นแน่นอน เขารักนางถึงเพียงนี้กว่าจะเข้าใจกันได้มันมิง่ายเลย
“อี้หลิน หยุนชิง ข้ารบกวนพวกเจ้าแล้ว”
“ท่านอ๋องมิต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ พี่สาวก็เหมือนกับคนในครอบครัวของข้า ไม่มีสิ่งใดต้องรับกวนเลย” หยุนชิงกล่าวขึ้นถึงแม้นางจะรู้จักกับพระชายาได้ไม่นาน แต่นางก็รักหนานเจียอีดั่งพี่น้องร่วมมารดา
“อย่างไรข้าก็ขอบใจพวกเจ้ามาก” หนานฟาหยางกล่าวขอบคุณทั้งสองอย่างซาบซึ้งใจ
“ท่านอ๋องเห็นทีว่าสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้เป็นจริงแล้วขอรับ พวกนั้นมิได้เพียงแค่ร่วมมือกับฝ่ายอ๋องหนานจิ้ง หากแต่แท้จริงแล้วพวกมันหวังจะครอบครองแคว้นหนานของเรามากกว่า เพียงแค่รอให้พวกเราเข่นฆ่ากันเองระหว่างที่เรากำลังอ่อนแอ พวกมันจะตลบหลังเราอีกทีขอรับ” หวังอี้หลินกล่าวเสียงเครียด จากตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพียงแค่การก่อความวุ่นวายเท่านั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แท้จริงแล้วพวกเผ่าซ่งหนูคิดจะครอบครองแคว้นหนาน
เพราะแคว้นหนานมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ พืชผลต่าง ๆ งอกงาม มีแหล่งน้ำมากมายสามารถนำมาใช้ได้ตลอดทั้งปีประชาชนต่างอยู่ดีมีสุข นั่นจึงทำให้แคว้นอื่นต่างอิจฉา และหวังจะครอบครองแคว้นหนานเป็นของตน
แต่ด้วยองค์ฮ่องเต้ไม่นิยมความรุนแรง ชอบการประนีประนอมมากกว่าการทำศึก พระองค์ทรงยึดประชาชนเป็นหลัก นั่นจึงทำให้แคว้นหนานอยู่อย่างสงบสุข แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงอ่อนแอให้ผู้ใดข่มเหงรังแกประชาชนได้
ถึงจะมิมีการทำศึกยึดครองแคว้นอื่น แต่ก็ยังทรงให้ความสำคัญกับการป้องกันบ้านเมือง รับสั่งให้มีการฝึกซ้อมพัฒนาฝีมือมิได้ขาด นั้นทำให้แคว้นอื่นมิกล้าโจมตีเช่นกัน เพราะเกรงกลัวถึงกองกำลังที่แข็งแกร่ง
แตกต่างจากอ๋องหนานจิ้งผู้เป็นลุง คนผู้นั้นคิดเพียงแต่รวบรวมอำนาจ การจะเป็นใหญ่ได้นั้นคือการยึดทุกแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น คนผู้นี้เป็นพวกหัวรุนแรงสามารถทำได้ทุกวิธี เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
อดีตฮ่องเต้ที่เป็นบิดาทรงรู้เรื่องนี้ดี จึงได้ยกบัลลังก์ให้กับผู้น้องแทน และมอบเพียงตำแหน่งอ๋องเล็ก ๆ ให้เพื่อมิให้อ๋องหนานจิ้งมีอำนาจมากเกินไป แต่หากจะมิทรงให้ตำแหน่งใดเลยก็มิได้เพราะนั่นก็คือโอรสของพระองค์เช่นกัน
ด้วยเหตุผลนี้กลับทำให้อ๋องหนานจิ้ง ที่คิดว่าตนควรจะได้เป็นองค์รัชทายาทและขึ้นครองราชย์ในตอนนั้น กลับกลายเป็นว่าผู้เป็นน้องได้ทุกอย่างที่ตนควรจะได้ ทำให้อ๋องหนานจิ้งไม่พอใจและคิดก่อการกบฏในครั้งนี้
“ศึกนี้ก็คงจะลำบากสักหน่อย เพราะพวกเราต้องรับทั้งศึกนอกและศึกใน อีกทั้งพวกมันคงเตรียมการมาดีแล้ว การจะไม่ให้เสียกำลังพลเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้” สีหน้าของอ๋องหนุ่มมีความกังวลมากขึ้น เนื่องจากฝ่ายนั้นได้ตระเตรียมอาวุธไว้ทำศึกและวางแผนไว้นานเป็นปีแล้ว พวกเขาเองไม่ได้มีเวลาในการเตรียมพร้อม จึงทำให้กังวลอยู่มาก“ทางนี้ท่านมิต้องกังวลฝ่าบาททรงมีแผนรับมือไว้แล้วขอรับ”“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ” หากฝ่าบาทมั่นใจว่ารับมือได้ เขาผู้เป็นน้องย่อมไม่ต้องห่วงอะไร เพราะเชื่อมั่นในฝีมือของผู้เป็นพี่“ท่านพ่อต้องรีบกลับมาหาจูกับท่านแม่นะเจ้าคะ” เจ้าเด็กน้อยนั่งมองผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่นาน ถึงนางจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อจะไม่อยู่กับนาง อีกนานกว่าจะได้กลับมาเจอกันเพียงเท่านั้นเจ้าเด็กน้อยก็รู้สึกเศร้า ท่านพ่อตามใจนางเป็นที่สุด และนางก็รักท่านพ่อมากที่สุดอีกด้วย“พ่อต้องรีบกลับมาหาเจ้ากับแม่แน่นอน”ในคืนวันนี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต่างใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด พูดคุยกันอย่างสนุกสนานหยอกเย้ากันไปมา จนทั้งห้องมีแต่เสียงหัวเราะและหลับไปพร้อมกันอย่างมีความสุขชายแดนเป็นเวลาสิบห้าวันแล้วที่ทัพหลวงอ
วันที่อ๋องหนานฟาหยางเคลื่อนทัพหลวงออกเดินทางไปยังชายแดนก็มาถึง ประชาชนทั้งหลายต่างออกมาเพื่อรอส่งขบวนเหล่าผู้กล้า ทุกคนช่วยสวดมนต์อวยพรให้ชนะศึกปลอดภัยกลับมาหนานฟาหยางอยู่บนหลังม้านำควบอย่างสง่างาม ชุดเกราะสีดำตัดกับผ้าคลุมสีแดง ยิ่งช่วยให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ด้านหลังเป็นเหล่าแม่ทัพนายกองที่มีตำแหน่งลดหลั่นกันลงมา และภายในขบวนยังมีเกวียนม้าภายในมีทั้งเสบียงอาหาร ยาสมุนไพร และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยมากที่สุดนั้นก็คือ เกวียนม้าขนาดใหญ่ที่ใช้ม้าลากเกวียนถึงสามตัวต่อหนึ่งเกลียว มีผ้าคลุมอย่างมิดชิดผู้คุ้มกันแน่นหนา ทั้งหมดมีถึงห้าสิบเกวียนส่วนทหารหน่วยย่อยออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับอาวุธที่ได้จากหวังอี้หลิน ก็ถูกนำไปพร้อมกัน เนื่องจากเป็นทัพใหญ่หากให้เดินทางพร้อมกันจะทำให้การเดินทางล่าช้า จึงได้แบ่งย่อยออกเป็นสิบหน่วย จำนวนหน่วยล่ะห้าพันนาย ให้ทยอยออกเดินทางไปล่วงหน้าเมื่อสามวันที่แล้ว และทัพหลักของหนานฟาหยางเป็นขบวนสุดท้ายโดยก่อนหน้าวันออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน เขาได้พาหนานเจียอีไปส่งที่บ้านตระกูลหวัง เนื่องจากระหว่างที่เขาไม่อยู่กลัวนางจะไม่ปลอดภัย ถ
“น้องหญิงพี่หิวแล้ว” ชายหนุ่มบอกเสียงแหบพร่า พร้อมกับถอดชุดที่อยู่บนร่างกายหนาออกจนหมดภายในพริบตา ราวกับว่าหากช้ากว่านี้เขาคงจะขาดใจตาย“ดะ เดี๋ยวก่อนเพคะ เอาไว้คืนนี้ก่อนดีหรือไม่” หนานเจียอีพยายามดันอกคนตัวโตให้ออกห่าง พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบ“ไม่ดี” อ๋องหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มลงประกบปากบางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นตวัดเกี่ยวพันกันกวาดความหวานจากปากนุ่มอย่างหิวกระหายหนานฟาหยางยกร่างบางให้ขึ้นนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว มือหนาก็ได้เคล้นคลึงอกคู่งามอย่างมันมือ“อือ”เสียงหวานของร่างบางครางอย่างห้ามไม่อยู่ กับความรู้สึกเสียวซ่านที่กำลังได้รับจากคนตัวโต ใบหน้าคมละจากปากนุ่มนิ่มเคลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ซุกไซร้ตรงซอกคอขาวผ่องสูดดมเอาความหอมเย้ายวนเข้าจนเต็มปอด“พี่อยากรักเจ้าให้มากกว่านี้พี่ต้องห่างเจ้าหนึ่งปีเชียวนะ” ร่างหนาเอ่ยบอกหากแต่ใบหน้าก็ยังมิได้ห่างออกจากร่างนุ่มนิ่มแม้แต่น้อย“อ๊ะ หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ” เสียงหวานโวยวายเมื่อชายหนุ่มดูดดึงหน้าอกขาวอวบทั้งสองจนเกิดรอย เพียงไม่นานชุดชิ้นสุดท้ายที่นางสวมอยู่ได้ถูกดึงออกจนพ้นจากปลายเท้าทั้งสองต่างก็เป
ข่าวการประกาศราชโองการให้อ๋องหนานฟาหยางยกทัพเพื่อไปปราบเผ่าซ่งหนู ที่เริ่มเข้ามารุกรานชาวบ้านทางแถบชายแดน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องด้วยชาวบ้านถูกปล้นทั้งของมีค่า รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงและพืชธัญญาหารซึ่งข่าวนี้เป็นหัวข้อในการพูดคุยของเหล่าชาวเมืองมาตลอดหลายวัน เพราะแคว้นหนานอยู่อย่างสงบสุขกันมาโดยตลอด ตั้งแต่องค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ ทุกคนต่างอวยพรให้อ๋องหนานฟาหยางทำศึกคราวนี้สำเร็จและปลอดภัยกลับมา นำพาความสุขมาสู่ประชาชนอีกครั้งภายในวังอ๋องบ่าวไพร่ต่างก็วิ่งวุ่นกันไปหมด เพราะหลังจากได้รับราชโองการ ผู้เป็นนายหญิงของวังได้สั่งให้จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้กับสวามี ด้วยเวลาที่ฝ่าบาทได้กำหนดมาให้นั้นเพียงแค่ห้าวัน ทำให้ต้องเร่งจัดเตรียมอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันวันที่ต้องออกเดินทางหากแต่ในยามนี้ผู้เป็นนายสูงสุดอ๋องหนานฟาหยางนั่งหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ บ่าวคนใดก็เข้าหน้าไม่ติดไม่ว่าจะเป็นองครักษ์คนสนิท หรือแม้แต่กงกงผู้ถวายงานมาตั้งแต่ท่านอ๋องหนุ่มยังทรงพระเยาว์ ยกเว้นอยู่คนผู้หนึ่ง ที่สามารถเข้าใกล้ได้นั้นคือพระชายาเพียงหนึ่งเดียวที่ม
“ทูลฝ่าบาทท่านอ๋องหนานจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินที่นั่งคุกเข่ากล่าวรายงานเรื่องที่ได้รับมอบหมาย“เล่นไปตามแผนของเสด็จลุงไปก่อน ให้ฟาหยางได้ออกไปเล่นยืดเส้นยืดสายที่ชายแดนสักครึ่งปีแล้วกัน” องค์ฮ่องเต้ที่กำลังตรวจงานอยู่บนโต๊ะทรงงาน กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้กลั่นแกล้งพระอนุชา“จะไม่ทรงพระทัยร้ายไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ ไปนานเช่นนั้นชายาของหม่อมฉันจะมิคิดถึงแย่หรือ” อ๋องหนานฟาหยางที่เดินเข้ามาได้ยินคำกล่าวของพระเชษฐาพอดีถึงกับไม่สบอารมณ์ เขาต้องห่างจากภรรยาที่รักตั้งครึ่งปีเชียวนะ คนไร้หัวใจเช่นพระองค์จะทรงเข้าใจได้เช่นไร“เราว่าคนที่จะขาดใจเพราะคิดถึงคงมิใช่ชายาเจ้าหรอกมั้ง” พระองค์ก็ยังทรงยั่วโทสะของอนุชาเช่นเดิม“เหอะ คนไร้หัวใจเช่นท่านไม่รู้จักความรักหรอก” หนานฟาหยางยังเหน็บแนมผู้เป็นพี่ไม่หยุดเช่นกัน จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้พระเชษฐาก็ยังมิยอมแต่งตั้งฮองเฮาคู่บัลลังก์ และยังไม่มีวี่แววว่าจะต้องพระทัยสนมนางในนางใดอีกด้วย“แล้วอย่างไร” ท่าทางที่เฉยเมยไม่สนกับคำพูดของผู้เป็นน้อง ยิ่งทำให้หนานฟาหยางยิ่งไม่สบอารมณ์ จนต้องตวัดสายตามองพระเชษฐาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ“เช
ผู้ครองแผ่นดินทอดพระเนตรมองยังเบื้องล่างอย่างลำบากใจ ผู้หนึ่งก็น้องร่วมพระมารดาอีกผู้หนึ่งก็เป็นลุงไม่ว่าเขาจะตัดสินเช่นไร ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันก่อนที่พระองค์จะทรงถอนพระปัสสาสะออกมา และตรัสด้วยเสียงอันทรงอำนาจว่า“เช่นนั้นท่านเสนาบดีเอาสัญญานั้นมาให้เราดู”“พ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นมหาเสนาบดีเยี่ยนสือได้มอบสัญญาการซื้อขายอาวุธ ที่นำมายื่นให้กับกงกงนำไปให้กับองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร หลังจากได้ทอดพระเนตรแล้วสีหน้าพระองค์กลับดูเคร่งเครียดมากกว่าเดิม เพราะตราประทับนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน พร้อมทั้งลายมือที่ลงนามก็ใช่เช่นกัน“เอาล่ะ ในเมื่อหลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ ก็คงจะไม่มีอะไรแก้ตัวพวกท่านมีความคิดเห็นเช่นไร กับการลงโทษในครั้งนี้” พระองค์ได้ลองหยั่งเชิงมหาเสนาบดีทั้งสองว่าจะทำเช่นไร“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเห็นว่าสมควรถอดยศริบทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง และเนรเทศไปอยู่ชายแดนเพื่อใช้แรงงานไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่พ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนาบดีเยี่ยนสือกล่าวถึงบทลงโทษที่คนผิดจะได้รับในครั้งนี้“กระหม่อมเห็นด้วยกับบทลงโทษนี้พ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เห็นชอบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายอ๋องเฒ่าหนานจิ้
จากเหตุการณ์ที่ถูกนักฆ่าเข้ามาหมายจะเอาชีวิตคนในบ้าน พวกเขาได้ตกลงกันไว้ว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้และทำตัวไม่ให้ผิดปกติ จนกว่าจะหาตัวผู้กระทำผิดมารับผิดได้ ดังนั้นเจ้าหมายักษ์ทั้งสองตัวจึงได้เพิ่มตำแหน่งใหม่จากเพื่อนเล่นท่านหญิงน้อย เป็นผู้เฝ้าดูแลบ้านอีกหน้าที่พวกมันได้รับคำชมเป็นเนื้อกวางย่างอันแสนอร่อยเป็นรางวัล ที่ทำหน้าที่ของตนได้ดีและได้รับคำชมจนเจ้าหมาทั้งสองกระดิกหางไม่หยุดผ่านไปไม่กี่วันกลับมีเรื่องราวให้หนักใจไม่หยุดหย่อน อ๋องหนานจิ้งได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้กราบทูลว่า ผู้เป็นหลานอ๋องหนานฟาหยางสมคบคิดการใหญ่ ทำสัญญาซื้อขายอาวุธจำนวนมากซ่องสุมกำลังพล ทั้งยังมีการรับเงินสินบนกับเหล่าขุนนางน้อยใหญ่อีกด้วย และไม่ใช่เพียงเท่านั้นเขามีรายชื่อสมุดบัญชี สัญญาพร้อมตราประทับของอ๋องหนานฟาหยางเป็นหลักฐานอีกด้วยท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงในยามนี้มีแต่ความตึงเครียด ต่างถกเถียงกันเรื่องอ๋องหนานฟาหยางผู้เป็นอนุชาของฮ่องเต้ แต่ละคนต่างก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายได้อย่างชัดเจนด้วยเหตุที่อ๋องหนานจิ้งผู้มีศักดิ์เป็นลุงได้มอบหลักฐานการทุจริต รับสินบนจากพวกพ่อค้าและขุนนางเพื่อเข้ามาทำการค้าแบบเอารัดเอาเ
ด้านหวังอี้หลินและพรรคพวกที่แยกย้ายเข้าห้องของตน เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเป่าและต้าเป่าดังมาจากข้างนอก พวกเขารู้ได้ทันทีว่าพวกมันต้องมาแล้ว หยงเจาและหานลู่ต่างก็ออกมารอคุ้มกันอยู่กลางบ้าน เพื่อป้องกันเด็กและสตรีที่อยู่ภายในหากว่ามีนักฆ่าคนใดคนหนึ่งหลุดเข้ามาได้ด้านหวังอี้หลินรีบออกจากห้องเพื่อไปอุ้มบุตรสาวมาอยู่กับภรรยา และตัวเขาจะออกไปสู้กับพวกนั้นด้านนอก“ชิงเอ๋อร์เจ้าอยู่กับลูกไปก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่กลับมา” หวังอี้หลินยื่นตัวบุตรสาวให้กับภรรยา“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หยุนชิงถามขึ้นถึงแม้ตานางจะปิดอยู่แล้วด้วยความง่วงงุน แต่มือก็ยังยื่นออกไปรับอาจูน้อยที่ยังหลับสนิทมานอนด้านข้างตน“มีคนบุกรุกเข้ามาพี่จะไปดูสักหน่อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะหยงเจากับหานลู่คอยป้องกันอยู่ด้านนอก”“ท่านพี่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ” จากตอนแรกที่ตาแทบจะปิดตอนนี้นางได้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันที แต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับและบอกให้สามีระวังตัวเองได้เท่านั้นหวังอี้หลินออกจากห้องและออกมาที่หน้าเรือนทันที ด้วยความเป็นห่วงว่าคนด้านนอกจะรับมือไม่ไหว แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นก็คือ เจ้าหมาตัวใหญ่สองตัวจ้องพวกนั้นราวกับราชสีห์จ
หญิงสาวมองตามหลังผู้เป็นสามีดูเหมือนว่าเขาจะต้องมีเรื่องให้กังวลเป็นแน่ นางก็ควรจะเชื่อฟังคำสามีดีที่สุด ในเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว นางก็จะหาอะไรทำแก้เบื่อแล้วกัน คิดได้ดังนั้นจึงได้เดินเข้าไปในครัวเพราะสิ่งที่นางชอบที่สุดคืออาหารหวังอี้หลินหลังจากที่แยกตัวออกมาแล้ว เขาตรงเข้าไปหาหานลู่กับหยงเจาที่ท้ายสวนชาโดยทันที เพื่อหารือเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในคืนนี้ เขาจะประมาทไม่ได้เพราะนั่นหมายถึงชีวิตของทุกคนในครอบครัวด้วยเพราะบ้านตนมีเพียงชาวบ้านธรรมดา วรยุทธ์ถึงจะฝึกให้กับบ่าวทุกคนเพื่อไว้ป้องกันตัวเมื่อยามที่มีภัยมา แต่ชาวบ้านตาดำ ๆ หรือจะสู้กับพวกที่ถูกฝึกมาเพื่อจะฆ่าคนโดยเฉพาะได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องวางแผนให้ดีเพื่อความปลอดภัยของทุกคนหวังอี้หลินเกณฑ์บ่าวชายทุกคนให้มารวมตัวกันอยู่ตรงลานสำหรับฝึกการป้องกันตัว เขาแบ่งหน้าที่ให้กับบ่าวทุกคน โดยการเพิ่มกำลังเวรยามให้แน่นหนาขึ้นอีกขั้น และได้บอกถึงปัญหาที่มีอยู่ในตอนนี้ให้พวกเขาได้เข้าใจซึ่งชายหนุ่มได้เน้นย้ำแก่ทุกคนว่าไม่จำเป็นต้องสู้ถวายชีวิต หากแต่ให้คำนึงถึงชีวิตของตัวเองเป็นหลัก หากสู้ไม่ไหวก็ให้หนีเอาชีวิตรอดให้ได้