“น้องหญิงพี่หิวแล้ว” ชายหนุ่มบอกเสียงแหบพร่า พร้อมกับถอดชุดที่อยู่บนร่างกายหนาออกจนหมดภายในพริบตา ราวกับว่าหากช้ากว่านี้เขาคงจะขาดใจตาย
“ดะ เดี๋ยวก่อนเพคะ เอาไว้คืนนี้ก่อนดีหรือไม่” หนานเจียอีพยายามดันอกคนตัวโตให้ออกห่าง พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบ
“ไม่ดี” อ๋องหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มลงประกบปากบางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นตวัดเกี่ยวพันกันกวาดความหวานจากปากนุ่มอย่างหิวกระหาย
หนานฟาหยางยกร่างบางให้ขึ้นนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว มือหนาก็ได้เคล้นคลึงอกคู่งามอย่างมันมือ
“อือ”
เสียงหวานของร่างบางครางอย่างห้ามไม่อยู่ กับความรู้สึกเสียวซ่านที่กำลังได้รับจากคนตัวโต ใบหน้าคมละจากปากนุ่มนิ่มเคลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ซุกไซร้ตรงซอกคอขาวผ่องสูดดมเอาความหอมเย้ายวนเข้าจนเต็มปอด
“พี่อยากรักเจ้าให้มากกว่านี้พี่ต้องห่างเจ้าหนึ่งปีเชียวนะ” ร่างหนาเอ่ยบอกหากแต่ใบหน้าก็ยังมิได้ห่างออกจากร่างนุ่มนิ่มแม้แต่น้อย
“อ๊ะ หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ” เสียงหวานโวยวายเมื่อชายหนุ่มดูดดึงหน้าอกขาวอวบทั้งสองจนเกิดรอย เพียงไม่นานชุดชิ้นสุดท้ายที่นางสวมอยู่ได้ถูกดึงออกจนพ้นจากปลายเท้า
ทั้งสองต่างก็เปลือยเปล่าไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ปากหนายังคงดูดกลืนยอดอกด้วยความหื่นกระหาย มือบางกดคอแกร่งของชายหนุ่มไว้แน่น พร้อมกับแอ่นอกให้อีกฝ่ายอย่างลืมตัว
หนานฟาหยางยกขาเรียวแยกออก ก่อนจะก้มลงชิมกุหลาบงามอย่างไม่นึกรังเกียจ หนานเจียอีสะท้านไปทั้งตัวมือบางอีกข้างกำขอบโต๊ะไว้แน่น สติจากที่พอมีก่อนหน้าได้หายไปสิ้น
“ท่านพี่ ตรงนั้น ไม่ได้นะเพคะ มันไม่เหมาะ” จะให้เขาทำตรงนั้นได้อย่างไร สำหรับนางมันดูน่าเกลียดนัก
ร่างหนาไม่ได้สนใจคำพูดของภรรยาแม้แต่น้อย ไม่มีส่วนไหนในร่างกายนางที่เขารังเกียจ เขารักทุกส่วนที่เป็นนาง
“น้องหญิงพี่ไม่ไหวแล้ว พี่ขอนะ”
หนานฟาหยางยกตัวขึ้นมาจูบปากนุ่มนิ่มอีกครั้ง แก่นกายของเขามันปวดหนึบจนทนไม่ไหวแล้ว มันพร้อมที่จะใช้งาน ร่างสูงอาศัยจังหวะที่คนตัวเล็กกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์วาบหวามที่เขาสร้างให้ ดันแก่นกายอันใหญ่โตเข้าไปรวดเดียวจนสุดทางจนร่างบางสะดุ้งเพราะตั้งตัวไม่ทัน
หนานเจียอีผวากอดกายหนาแน่น เมื่อเขาขยับโยกเข้าออกเป็นจังหวะ ขาเรียวงามตวัดเกาะเกี่ยวเอวสอบแน่น มืออีกข้างเกี่ยวคอหนามิยอมปล่อยด้วยกลัวตนเองจะตกจากโต๊ะ นางได้แต่แอบค่อนขอดเขาในใจ ที่ดี ๆ มีตั้งมากมายเหตุใดต้องเป็นที่ที่อันตรายเช่นนี้กัน คนบ้าเขาไม่กลัวแต่นางกลัวนี่นา
ร่างหนากระแทกกระทั้นเข้าออกซ้ำ ๆ แรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ที่กำลังปะทุในตอนนี้ เสียงโต๊ะที่ดังลั่นและเสียงเนื้อกระทบกันจนเกิดเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ในยามนี้หนานเจียอีไม่ได้รับรู้สิ่งใดแล้ว แม้แต่ห้ามปรามหรือความเหนียมอายนางก็ลืมมันไปสิ้น นางคิดเพียงแค่ให้สามีปลดปล่อยนางเสียที
“หม่อมฉันไม่ไหวแล้วเพคะ” ร่างบางกระตุกเกร็งเมื่อนางได้ไปจนถึงปลายทางที่ต้องการ พร้อมกับมือทั้งสองกอดคนตัวโตไว้แน่น
หนานฟาหยางเมื่อรู้ว่าภรรยารักไปถึงจุดหมายแล้ว เขาได้โถมกายกระแทกเร็วและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะกระตุกสองสามครั้งฉีดพ่นน้ำขาวขุ่น เข้ามาในตัวภรรยาจนหมดทุกหยาดหยด ใบหน้าคมยังคงซุกซบกับอกนุ่มนิ่มหายใจเหนื่อยหอบ แก่นกายยังคงเชื่อมต่อกันไม่ได้ถอดถอนออกแต่อย่างใด
“ท่านพี่หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะ” หนานเจียอีรีบเอ่ยบอกสวามีด้วยความเขินอายเมื่อรู้สึกว่า ตรงส่วนนั้นของเขาได้ขยายขึ้นมาอีกครั้ง
“หากเจ้าเหนื่อยเราก็ไปที่เตียงกันเถิด” เมื่อกล่าวจบหนานฟาหยางได้อุ้มกระเตงภรรยารัก เดินตรงไปที่เตียงทั้งที่ส่วนนั้นยังเชื่อมต่อกันอยู่
ร่างบางเสียวซ่านไปทั้งกายเมื่อยามที่ชายหนุ่มก้าวย่างออกไป กว่าจะเดินไปถึงเตียงนอนหลังใหญ่นางก็ได้สุขสมไปอีกรอบ หนานฟาหยางมองใบหน้าหวานยามสุขสมอย่างเอ็นดู ไม่คิดเลยว่าร่างบอบบางเช่นนี้จะสามารถรองรับอารมณ์ดิบของเขาได้ถึงเพียงนี้
เมื่อความสุขสมได้ผ่านพ้นไปร่างเปล่าเปลือยทั้งสอง ต่างก็กกกอดกันไม่ห่าง เพื่อกอบโกยช่วงเวลาที่มีอยู่เพียงน้อยนิด อยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุด หนานฟาหยางยังคงวนเวียนจูบซับภรรยาไม่รู้เบื่อ ยิ่งนานวันเข้าเขายิ่งรู้สึกว่าขาดนางไม่ได้
“ระหว่างที่พี่ไม่อยู่พี่จะให้น้องหญิงไปอยู่กับลูก จนกว่าพี่จะกลับมาพี่เป็นห่วงไม่อยากให้เจ้าอยู่คนเดียว”
ร่างบางพลิกตัวกลับมาหาคนด้านหลัง มือบางยื่นออกมากอดกายเขาไว้แน่น ซุกหน้าเข้าหาอกแกร่งพูดเสียงอู้อี้ออกมาว่า
“น้องแล้วแต่ท่านพี่เพคะ ขอเพียงให้ท่านระวังตัวรีบกลับมาหาเราแม่ลูกก็พอ”
“ไม่ต้องห่วง พี่จะรีบกลับมาหาเจ้ากับลูกแน่นอน” หนานฟาหยางจูบซับหน้าผากมน เพื่อปลอบประโลมให้ภรรยารักได้คลายใจก่อนที่พวกเขาจะหลับไปด้วยกัน
เรื่องความโปรดปรานที่ท่านอ๋องมีให้กับพระชายา ได้เป็นที่เล่าลือกันในหมู่บ่าวไพร่ และนางกำนัลเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยตอนนี้เป็นเวลากว่าสามวันสามคืนแล้ว ที่ท่านอ๋องมิยอมให้พระชายาออกจากตำหนัก มีเพียงอนุญาตให้นางกำนัลเข้าไปปรนนิบัติในยามทานอาหาร และช่วงเวลาเตรียมน้ำในถังให้เต็มเพียงเท่านั้น เวลาอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบอีก
ทำให้บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลายภายในวังอ๋องต่างว่างงานกันหมด กว่าท่านอ๋องจะยอมปล่อยพระชายาออกมาจากตำหนักได้ ก็ทำให้พระชายาถึงกับไร้เรี่ยวแรง จนนางกำนัลคนสนิทต้องคอยพยุงตลอดเวลา ส่วนท่านอ๋องราวกับได้เติมพลังเต็มที่ หน้าตาสดใสราวกับได้ยาขนานดีเพิ่มพลัง
“ศึกนี้ก็คงจะลำบากสักหน่อย เพราะพวกเราต้องรับทั้งศึกนอกและศึกใน อีกทั้งพวกมันคงเตรียมการมาดีแล้ว การจะไม่ให้เสียกำลังพลเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้” สีหน้าของอ๋องหนุ่มมีความกังวลมากขึ้น เนื่องจากฝ่ายนั้นได้ตระเตรียมอาวุธไว้ทำศึกและวางแผนไว้นานเป็นปีแล้ว พวกเขาเองไม่ได้มีเวลาในการเตรียมพร้อม จึงทำให้กังวลอยู่มาก“ทางนี้ท่านมิต้องกังวลฝ่าบาททรงมีแผนรับมือไว้แล้วขอรับ”“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ” หากฝ่าบาทมั่นใจว่ารับมือได้ เขาผู้เป็นน้องย่อมไม่ต้องห่วงอะไร เพราะเชื่อมั่นในฝีมือของผู้เป็นพี่“ท่านพ่อต้องรีบกลับมาหาจูกับท่านแม่นะเจ้าคะ” เจ้าเด็กน้อยนั่งมองผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่นาน ถึงนางจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อจะไม่อยู่กับนาง อีกนานกว่าจะได้กลับมาเจอกันเพียงเท่านั้นเจ้าเด็กน้อยก็รู้สึกเศร้า ท่านพ่อตามใจนางเป็นที่สุด และนางก็รักท่านพ่อมากที่สุดอีกด้วย“พ่อต้องรีบกลับมาหาเจ้ากับแม่แน่นอน”ในคืนวันนี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต่างใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด พูดคุยกันอย่างสนุกสนานหยอกเย้ากันไปมา จนทั้งห้องมีแต่เสียงหัวเราะและหลับไปพร้อมกันอย่างมีความสุขชายแดนเป็นเวลาสิบห้าวันแล้วที่ทัพหลวงอ
วันที่อ๋องหนานฟาหยางเคลื่อนทัพหลวงออกเดินทางไปยังชายแดนก็มาถึง ประชาชนทั้งหลายต่างออกมาเพื่อรอส่งขบวนเหล่าผู้กล้า ทุกคนช่วยสวดมนต์อวยพรให้ชนะศึกปลอดภัยกลับมาหนานฟาหยางอยู่บนหลังม้านำควบอย่างสง่างาม ชุดเกราะสีดำตัดกับผ้าคลุมสีแดง ยิ่งช่วยให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ด้านหลังเป็นเหล่าแม่ทัพนายกองที่มีตำแหน่งลดหลั่นกันลงมา และภายในขบวนยังมีเกวียนม้าภายในมีทั้งเสบียงอาหาร ยาสมุนไพร และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยมากที่สุดนั้นก็คือ เกวียนม้าขนาดใหญ่ที่ใช้ม้าลากเกวียนถึงสามตัวต่อหนึ่งเกลียว มีผ้าคลุมอย่างมิดชิดผู้คุ้มกันแน่นหนา ทั้งหมดมีถึงห้าสิบเกวียนส่วนทหารหน่วยย่อยออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับอาวุธที่ได้จากหวังอี้หลิน ก็ถูกนำไปพร้อมกัน เนื่องจากเป็นทัพใหญ่หากให้เดินทางพร้อมกันจะทำให้การเดินทางล่าช้า จึงได้แบ่งย่อยออกเป็นสิบหน่วย จำนวนหน่วยล่ะห้าพันนาย ให้ทยอยออกเดินทางไปล่วงหน้าเมื่อสามวันที่แล้ว และทัพหลักของหนานฟาหยางเป็นขบวนสุดท้ายโดยก่อนหน้าวันออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน เขาได้พาหนานเจียอีไปส่งที่บ้านตระกูลหวัง เนื่องจากระหว่างที่เขาไม่อยู่กลัวนางจะไม่ปลอดภัย ถ
“น้องหญิงพี่หิวแล้ว” ชายหนุ่มบอกเสียงแหบพร่า พร้อมกับถอดชุดที่อยู่บนร่างกายหนาออกจนหมดภายในพริบตา ราวกับว่าหากช้ากว่านี้เขาคงจะขาดใจตาย“ดะ เดี๋ยวก่อนเพคะ เอาไว้คืนนี้ก่อนดีหรือไม่” หนานเจียอีพยายามดันอกคนตัวโตให้ออกห่าง พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบ“ไม่ดี” อ๋องหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มลงประกบปากบางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นตวัดเกี่ยวพันกันกวาดความหวานจากปากนุ่มอย่างหิวกระหายหนานฟาหยางยกร่างบางให้ขึ้นนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว มือหนาก็ได้เคล้นคลึงอกคู่งามอย่างมันมือ“อือ”เสียงหวานของร่างบางครางอย่างห้ามไม่อยู่ กับความรู้สึกเสียวซ่านที่กำลังได้รับจากคนตัวโต ใบหน้าคมละจากปากนุ่มนิ่มเคลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ซุกไซร้ตรงซอกคอขาวผ่องสูดดมเอาความหอมเย้ายวนเข้าจนเต็มปอด“พี่อยากรักเจ้าให้มากกว่านี้พี่ต้องห่างเจ้าหนึ่งปีเชียวนะ” ร่างหนาเอ่ยบอกหากแต่ใบหน้าก็ยังมิได้ห่างออกจากร่างนุ่มนิ่มแม้แต่น้อย“อ๊ะ หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ” เสียงหวานโวยวายเมื่อชายหนุ่มดูดดึงหน้าอกขาวอวบทั้งสองจนเกิดรอย เพียงไม่นานชุดชิ้นสุดท้ายที่นางสวมอยู่ได้ถูกดึงออกจนพ้นจากปลายเท้าทั้งสองต่างก็เป
ข่าวการประกาศราชโองการให้อ๋องหนานฟาหยางยกทัพเพื่อไปปราบเผ่าซ่งหนู ที่เริ่มเข้ามารุกรานชาวบ้านทางแถบชายแดน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องด้วยชาวบ้านถูกปล้นทั้งของมีค่า รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงและพืชธัญญาหารซึ่งข่าวนี้เป็นหัวข้อในการพูดคุยของเหล่าชาวเมืองมาตลอดหลายวัน เพราะแคว้นหนานอยู่อย่างสงบสุขกันมาโดยตลอด ตั้งแต่องค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ ทุกคนต่างอวยพรให้อ๋องหนานฟาหยางทำศึกคราวนี้สำเร็จและปลอดภัยกลับมา นำพาความสุขมาสู่ประชาชนอีกครั้งภายในวังอ๋องบ่าวไพร่ต่างก็วิ่งวุ่นกันไปหมด เพราะหลังจากได้รับราชโองการ ผู้เป็นนายหญิงของวังได้สั่งให้จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้กับสวามี ด้วยเวลาที่ฝ่าบาทได้กำหนดมาให้นั้นเพียงแค่ห้าวัน ทำให้ต้องเร่งจัดเตรียมอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันวันที่ต้องออกเดินทางหากแต่ในยามนี้ผู้เป็นนายสูงสุดอ๋องหนานฟาหยางนั่งหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ บ่าวคนใดก็เข้าหน้าไม่ติดไม่ว่าจะเป็นองครักษ์คนสนิท หรือแม้แต่กงกงผู้ถวายงานมาตั้งแต่ท่านอ๋องหนุ่มยังทรงพระเยาว์ ยกเว้นอยู่คนผู้หนึ่ง ที่สามารถเข้าใกล้ได้นั้นคือพระชายาเพียงหนึ่งเดียวที่ม
“ทูลฝ่าบาทท่านอ๋องหนานจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินที่นั่งคุกเข่ากล่าวรายงานเรื่องที่ได้รับมอบหมาย“เล่นไปตามแผนของเสด็จลุงไปก่อน ให้ฟาหยางได้ออกไปเล่นยืดเส้นยืดสายที่ชายแดนสักครึ่งปีแล้วกัน” องค์ฮ่องเต้ที่กำลังตรวจงานอยู่บนโต๊ะทรงงาน กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้กลั่นแกล้งพระอนุชา“จะไม่ทรงพระทัยร้ายไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ ไปนานเช่นนั้นชายาของหม่อมฉันจะมิคิดถึงแย่หรือ” อ๋องหนานฟาหยางที่เดินเข้ามาได้ยินคำกล่าวของพระเชษฐาพอดีถึงกับไม่สบอารมณ์ เขาต้องห่างจากภรรยาที่รักตั้งครึ่งปีเชียวนะ คนไร้หัวใจเช่นพระองค์จะทรงเข้าใจได้เช่นไร“เราว่าคนที่จะขาดใจเพราะคิดถึงคงมิใช่ชายาเจ้าหรอกมั้ง” พระองค์ก็ยังทรงยั่วโทสะของอนุชาเช่นเดิม“เหอะ คนไร้หัวใจเช่นท่านไม่รู้จักความรักหรอก” หนานฟาหยางยังเหน็บแนมผู้เป็นพี่ไม่หยุดเช่นกัน จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้พระเชษฐาก็ยังมิยอมแต่งตั้งฮองเฮาคู่บัลลังก์ และยังไม่มีวี่แววว่าจะต้องพระทัยสนมนางในนางใดอีกด้วย“แล้วอย่างไร” ท่าทางที่เฉยเมยไม่สนกับคำพูดของผู้เป็นน้อง ยิ่งทำให้หนานฟาหยางยิ่งไม่สบอารมณ์ จนต้องตวัดสายตามองพระเชษฐาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ“เช
ผู้ครองแผ่นดินทอดพระเนตรมองยังเบื้องล่างอย่างลำบากใจ ผู้หนึ่งก็น้องร่วมพระมารดาอีกผู้หนึ่งก็เป็นลุงไม่ว่าเขาจะตัดสินเช่นไร ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันก่อนที่พระองค์จะทรงถอนพระปัสสาสะออกมา และตรัสด้วยเสียงอันทรงอำนาจว่า“เช่นนั้นท่านเสนาบดีเอาสัญญานั้นมาให้เราดู”“พ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นมหาเสนาบดีเยี่ยนสือได้มอบสัญญาการซื้อขายอาวุธ ที่นำมายื่นให้กับกงกงนำไปให้กับองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร หลังจากได้ทอดพระเนตรแล้วสีหน้าพระองค์กลับดูเคร่งเครียดมากกว่าเดิม เพราะตราประทับนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน พร้อมทั้งลายมือที่ลงนามก็ใช่เช่นกัน“เอาล่ะ ในเมื่อหลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ ก็คงจะไม่มีอะไรแก้ตัวพวกท่านมีความคิดเห็นเช่นไร กับการลงโทษในครั้งนี้” พระองค์ได้ลองหยั่งเชิงมหาเสนาบดีทั้งสองว่าจะทำเช่นไร“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเห็นว่าสมควรถอดยศริบทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง และเนรเทศไปอยู่ชายแดนเพื่อใช้แรงงานไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่พ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนาบดีเยี่ยนสือกล่าวถึงบทลงโทษที่คนผิดจะได้รับในครั้งนี้“กระหม่อมเห็นด้วยกับบทลงโทษนี้พ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เห็นชอบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายอ๋องเฒ่าหนานจิ้
จากเหตุการณ์ที่ถูกนักฆ่าเข้ามาหมายจะเอาชีวิตคนในบ้าน พวกเขาได้ตกลงกันไว้ว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้และทำตัวไม่ให้ผิดปกติ จนกว่าจะหาตัวผู้กระทำผิดมารับผิดได้ ดังนั้นเจ้าหมายักษ์ทั้งสองตัวจึงได้เพิ่มตำแหน่งใหม่จากเพื่อนเล่นท่านหญิงน้อย เป็นผู้เฝ้าดูแลบ้านอีกหน้าที่พวกมันได้รับคำชมเป็นเนื้อกวางย่างอันแสนอร่อยเป็นรางวัล ที่ทำหน้าที่ของตนได้ดีและได้รับคำชมจนเจ้าหมาทั้งสองกระดิกหางไม่หยุดผ่านไปไม่กี่วันกลับมีเรื่องราวให้หนักใจไม่หยุดหย่อน อ๋องหนานจิ้งได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้กราบทูลว่า ผู้เป็นหลานอ๋องหนานฟาหยางสมคบคิดการใหญ่ ทำสัญญาซื้อขายอาวุธจำนวนมากซ่องสุมกำลังพล ทั้งยังมีการรับเงินสินบนกับเหล่าขุนนางน้อยใหญ่อีกด้วย และไม่ใช่เพียงเท่านั้นเขามีรายชื่อสมุดบัญชี สัญญาพร้อมตราประทับของอ๋องหนานฟาหยางเป็นหลักฐานอีกด้วยท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงในยามนี้มีแต่ความตึงเครียด ต่างถกเถียงกันเรื่องอ๋องหนานฟาหยางผู้เป็นอนุชาของฮ่องเต้ แต่ละคนต่างก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายได้อย่างชัดเจนด้วยเหตุที่อ๋องหนานจิ้งผู้มีศักดิ์เป็นลุงได้มอบหลักฐานการทุจริต รับสินบนจากพวกพ่อค้าและขุนนางเพื่อเข้ามาทำการค้าแบบเอารัดเอาเ
ด้านหวังอี้หลินและพรรคพวกที่แยกย้ายเข้าห้องของตน เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเป่าและต้าเป่าดังมาจากข้างนอก พวกเขารู้ได้ทันทีว่าพวกมันต้องมาแล้ว หยงเจาและหานลู่ต่างก็ออกมารอคุ้มกันอยู่กลางบ้าน เพื่อป้องกันเด็กและสตรีที่อยู่ภายในหากว่ามีนักฆ่าคนใดคนหนึ่งหลุดเข้ามาได้ด้านหวังอี้หลินรีบออกจากห้องเพื่อไปอุ้มบุตรสาวมาอยู่กับภรรยา และตัวเขาจะออกไปสู้กับพวกนั้นด้านนอก“ชิงเอ๋อร์เจ้าอยู่กับลูกไปก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่กลับมา” หวังอี้หลินยื่นตัวบุตรสาวให้กับภรรยา“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หยุนชิงถามขึ้นถึงแม้ตานางจะปิดอยู่แล้วด้วยความง่วงงุน แต่มือก็ยังยื่นออกไปรับอาจูน้อยที่ยังหลับสนิทมานอนด้านข้างตน“มีคนบุกรุกเข้ามาพี่จะไปดูสักหน่อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะหยงเจากับหานลู่คอยป้องกันอยู่ด้านนอก”“ท่านพี่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ” จากตอนแรกที่ตาแทบจะปิดตอนนี้นางได้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันที แต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับและบอกให้สามีระวังตัวเองได้เท่านั้นหวังอี้หลินออกจากห้องและออกมาที่หน้าเรือนทันที ด้วยความเป็นห่วงว่าคนด้านนอกจะรับมือไม่ไหว แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นก็คือ เจ้าหมาตัวใหญ่สองตัวจ้องพวกนั้นราวกับราชสีห์จ
หญิงสาวมองตามหลังผู้เป็นสามีดูเหมือนว่าเขาจะต้องมีเรื่องให้กังวลเป็นแน่ นางก็ควรจะเชื่อฟังคำสามีดีที่สุด ในเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว นางก็จะหาอะไรทำแก้เบื่อแล้วกัน คิดได้ดังนั้นจึงได้เดินเข้าไปในครัวเพราะสิ่งที่นางชอบที่สุดคืออาหารหวังอี้หลินหลังจากที่แยกตัวออกมาแล้ว เขาตรงเข้าไปหาหานลู่กับหยงเจาที่ท้ายสวนชาโดยทันที เพื่อหารือเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในคืนนี้ เขาจะประมาทไม่ได้เพราะนั่นหมายถึงชีวิตของทุกคนในครอบครัวด้วยเพราะบ้านตนมีเพียงชาวบ้านธรรมดา วรยุทธ์ถึงจะฝึกให้กับบ่าวทุกคนเพื่อไว้ป้องกันตัวเมื่อยามที่มีภัยมา แต่ชาวบ้านตาดำ ๆ หรือจะสู้กับพวกที่ถูกฝึกมาเพื่อจะฆ่าคนโดยเฉพาะได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องวางแผนให้ดีเพื่อความปลอดภัยของทุกคนหวังอี้หลินเกณฑ์บ่าวชายทุกคนให้มารวมตัวกันอยู่ตรงลานสำหรับฝึกการป้องกันตัว เขาแบ่งหน้าที่ให้กับบ่าวทุกคน โดยการเพิ่มกำลังเวรยามให้แน่นหนาขึ้นอีกขั้น และได้บอกถึงปัญหาที่มีอยู่ในตอนนี้ให้พวกเขาได้เข้าใจซึ่งชายหนุ่มได้เน้นย้ำแก่ทุกคนว่าไม่จำเป็นต้องสู้ถวายชีวิต หากแต่ให้คำนึงถึงชีวิตของตัวเองเป็นหลัก หากสู้ไม่ไหวก็ให้หนีเอาชีวิตรอดให้ได้