เมื่อความทุกข์ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของจวนอ๋องได้ถูกปลดปล่อย บัดนี้มีเพียงความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันพวกเขาต่างสาบานว่า ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาพรากบุคคลที่เป็นดั่งดวงใจไปได้อีก
ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าเสียงร้องไห้ปนหัวเราะอย่างมีความสุข พ่อแม่ลูกอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ช่างเป็นภาพที่หยุนชิงประทับใจที่สุด
"ท่านอ๋องพระชายาเพคะ วันนี้อยู่เสวยที่เรือนหม่อมฉันดีหรือไม่ หม่อมฉันอยากจะเลี้ยงฉลองที่มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้เพคะ" หยุนชิงเอ่ยชวนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองอยู่ร่วมทานมื้อเย็นด้วยกันก่อน เพราะนางอยากจะจัดเลี้ยงฉลองให้กับครอบครัวของท่านอ๋องที่ได้เจอบุตรสาวของตนสักที
"เช่นนั้นข้ารบกวนพวกเจ้าแล้ว" อ๋องหนานฟางหยางตอบรับไมตรีด้วยความยินดี
"อาชิงเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวเช่นเดิมเถอะ พวกเราก็มิใช่คนอื่นคนไกลเจ้าก็เหมือนกับน้องสาวข้า" หนานเจียอีเดินเข้ามาจับมือของหยุนชิง ใจจริงนางอยากจะให้หญิงสาวตรงหน้ามาเป็นน้องสาวบุญธรรมซะด้วยซ้ำไป แต่เรื่องนี้คงจะต้องพูดคุยกับท่านอ๋องเสียก่อน
"จะดีหรือเจ้าคะ จะไม่ดูเป็นการทำตัวเสมอพระองค์หรือเพคะ"
"ไม่หรอกเอาตามที่น้องหญิงบอกเถอะ เจ้ากับสามีก็เรียกข้าว่าพี่ชายแล้วกัน เราคนกันเองอย่าได้คิดมากเลยอีกทั้งอาจูก็รักพวกเจ้าเป็นพ่อแม่อีกคนไม่ใช่หรือ" อ๋องหนุ่มเห็นด้วยกับภรรยาตอนนี้เขาก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะถือยศถืออย่างไปทำไมกัน
"แต่ว่าผู้คนจะเอาไปพูดได้นะพ่ะย่ะค่ะ" หวังอี้หลินกล่าวออกมาอย่างเกรงใจ ไม่อาจเอื้อมกับสิ่งที่ผู้สูงศักดิ์มอบให้
"ใครมันกล้าพูดข้าจะตัดลิ้นพวกมันเอง"
"เอาตามที่ท่านอ๋องพูดเถอะน้องสาวน้องชาย พวกเจ้าก็เป็นดั่งพ่อแม่อีกคนของอาจู เช่นนั้นเราก็ถือซะว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว"
"เช่นนั้นหม่อมฉันกับสามีก็ไม่ขัดเพคะ ถือเป็นเกียรติกับตระกูลหวังที่พระองค์ทรงเมตตาเพคะ" หยุนชิงตอบรับด้วยความยินดี มีใครบ้างจะไม่อยากรับ เป็นถึงครอบครัวเดียวกันกับท่านอ๋องเชียวนะ ต่อจากนี้ใครคิดไม่ดีกับครอบครัวพวกนางต้องคิดหนักกลัวเพราะคนหนุนหลัง
ระหว่างที่ผู้ใหญ่คุยกัน อาจูน้อยเพียงคนเดียวยืนคิ้วขมวดทำหน้ายุ่ง ราวกับมีเรื่องให้หนักใจ
"อาจูของแม่เจ้าเป็นอะไรหรือเหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น" หนานเจียอีที่สังเกตบุตรสาวมาสักพัก จึงอดถามออกไปไม่ได้
"ท่านแม่มีตั้งสองคน ท่านพ่อก็มีสองคนจูจะเรียกอย่างไรดีเจ้าคะ" จากที่คิดอยู่นานไม่รู้จะเรียกท่านพ่อกับท่านแม่อย่างไรดี จนนางเองก็เริ่มจะมึนหัวแล้ว
"ถ้าเช่นนั้นอาจูก็เรียกแม่ว่าแม่ใหญ่ ท่านพ่อว่าท่านพ่อใหญ่ ส่วนแม่หยุนชิงกับพ่ออี้หลินอาจูเรียกแม่เล็กกับพ่อเล็กดีหรือไม่" หนานเจียอีหาทางออกให้กับเจ้าเด็กน้อย
"ดีเจ้าค่ะท่านแม่ใหญ่ ท่านพ่อใหญ่ ท่านแม่เล็ก ท่านพ่อเล็ก จูมีท่านพ่อกับท่านแม่ตั้งสี่คนแน่ะ เย่ ๆ"
ทุกคนที่ได้ยินอาจูน้อยเรียกขานอย่างมีความสุข ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"หม่อมฉันขอตัวไปทำอาหารก่อนนะเพคะเอ่อเจ้าคะ" หยุนชิงหัวเราะแหะ ๆ เมื่อเห็นหนานเจียอีทำหน้าดุใส่ก็นางยังไม่ชินคำเรียกขานใหม่นี้หนา
“อาจูพวกเราไปช่วยท่านแม่เล็กทำอาหารกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนเดินตามกันเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหาร ฉลองวันแห่งความสุขในครั้งนี้ โดยปล่อยให้พวกบุรุษคุยกันเองไปก่อน หยุนชิงคิดว่าวันนี้นางจะทำสุกี้หม้อใหญ่ เพราะอากาศเริ่มจะหนาวเย็นได้ซดน้ำซุปร้อน ๆ ก็น่าจะโล่งคอดี สวนของหวานนางคิดว่าจะทำบวดฟักทอง
การเตรียมน้ำซุปสุกี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ส่วนของที่จะใส่ก็ล้วนเป็นของที่อาจูน้อยชอบทาน แม่ แม่ ทั้งสองต่างก็ไม่มีใครขัดใจเจ้าตัวน้อย มีทั้งเห็ด กุ้ง เต้าหู้ทอด ลูกชิ้นหมู
ส่วนผักก็มีหลายแบบให้ได้เลือกกัน มีทั้งผักกาด ผักบุ้ง กะหล่ำหั่นฝอย หัวไชเท้า และที่ขาดไม่ได้คือน้ำจิ้มรสแซ่บ เมื่อเตรียมของสำหรับทำสุกี้เรียบร้อยแล้ว หยุนชิงก็ได้จัดการกับฟักทองลูกใหญ่ โดยมีหนานเจียอีและอาจูน้อยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ คอยหยิบจับสิ่งของให้
“อาชิงดูเจ้ามีน้ำมีนวลขึ้นนะ หรือว่าเจ้าจะมีข่าวดีแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าตั้งครรภ์ได้ราวสองเดือนกว่าแล้วเจ้าค่ะพี่สาว” หยุนชิงหันมาตอบอีกฝ่ายอย่างเขิน ๆ ส่วนมือก็ยังหั่นฟักทองไปด้วยความคล่องแคล่ว
“นี่ข้ากำลังจะมีหลานหรือ ข้าดีใจด้วยนะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สาว”
“ท่านแม่เมื่อไรน้องจะออกมาเล่นกับจูเจ้าคะ” เด็กน้อยผู้รอคอยน้องอย่างใจจดใจจ่อนางจะได้มีเพื่อนเล่นสักที
“อีกเจ็ดเดือนอาจูของแม่ก็จะได้เจอน้องแล้ว ถึงเวลาเจ้าอย่าบ่นว่าน้องงอแงล่ะ” หยุนชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวเจ้าเด็กน้อย
“จูไม่ว่าน้องไม่เบื่อน้องเจ้าค่ะ” อาจูน้อยตอบรับคำอย่างแข็งขัน ส่วนมือถือของกินไว้ทั้งสองข้าง เมื่อตอบคำถามมารดาจบก็กัดอีกข้างเคี้ยวตุ้ย ๆ จนแก้มป่องราวกับซาลาเปาลูกใหญ่
“เรียบร้อยหมดแล้วขอรับ พวกเราปลอมเป็นชาวบ้านพ่อค้าและคนเร่ร่อนในแถบชายแดน กระจายกันไปทุกหัวเมืองเตรียมรับมือแล้วขอรับ” หานลู่“ดี อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นเราก็จะได้รับมือทัน ท่านอ๋องมีความคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินหันไปขอความคิดเห็นจากหนานฟาหยาง และเขาก็แน่ใจว่าอ๋องหนุ่มผู้นี้จะยอมร่วมมือกัน“ในเมื่อเสด็จลุงอยากจะให้พวกเราผิดใจกันเราก็เล่นด้วยสักหน่อยจะเป็นไรไป” ในเมื่ออยากให้ผิดใจกันนักเขาก็จะจัดให้ ให้สาสมกับสิ่งที่เขาต้องทนทุกข์มานานนับปี“แล้วชายที่ถูกมัดอยู่ข้างนอกคือใคร” หนานฟาหยางถามขึ้นเพราะถ้าให้เดาก็คงจะมีส่วนกับกบฏครั้งนี้“เรียนท่านอ๋องเป็นคนของอ๋องห้าพ่ะย่ะค่ะ และเป็นผู้ที่ลงมือลอบสังหารพระชายาของท่านเมื่อหลายปีก่อน”“เจ้าว่าอย่างไรนะมันผู้นั้นหรือ เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าไปพบบุตรสาวข้าได้อย่างไร แล้วองครักษ์จางหายไปไหน” ทันทีที่ได้รู้หนานฟาหยางถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ ลูกเขาภรรยาเขาเกือบต้องตายก็เพราะพวกมัน“จางจิ้นเป็นสหายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ในตอนที่ได้เจอเขาก็เกือบจะสิ้นลมแล้ว เพียงแค่ฝากอาจูให้กระหม่อมดูแลต่อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินบอกเล่าเรื่องร
อาหารค่ำมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขา ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพูดคุยกันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน บรรยากาศผ่อนคลายไม่ต้องกังวลหรือมีเรื่องให้ต้องคิด พวกเขาต่างอยากให้หยุดช่วงเวลานี้ไว้ให้นานกว่านี้อีกเหลือเกิน แต่งานเลี้ยงสักวันต้องมีการเลิกรา“ท่านอ๋องข้าขอรบกวนเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่” หวังอี้หลินเอ่ยบอกกับอ๋องหนุ่มหลังจากที่ทุกคนอิ่มแล้ว“มีสิ่งใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญจะขอพูดคุยกับท่านสักหน่อย เชิญท่านตามข้ามาทางนี้ขอรับ”อ๋องหนานฟาหยางหันไปมองภรรยา หนานเจียอีพยักหน้าให้กับสวามีเพื่อเป็นการบอกแก่เขาว่า ให้เขาไปทำธุระไม่ต้องห่วงตนหวังอี้หลินเดินพาอ๋องหนานฟาหยางไปยังโรงเก็บอาวุธ เมื่อมาถึงหยงเจาและหานลู่ได้รออยู่แล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปยังบุคคลจับมาได้ก่อนหน้านั้นด้านอ๋องหนานฟาหยางเมื่อก้าวเท้าเข้ามายังโรงเรือน เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดบ้านคนธรรมดาถึงได้มีอาวุธมากมายเพียงนี้ และยังมีอุปกรณ์สำหรับการใช้ทรมานคงจะไม่ธรรมดา ไหนจะบุรุษสองคนเดินตามหลังดูอย่างไรก็เป็นผู้ที่มีฝีมือ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นใครกันแน่“เชิญท่านด้านในเถิดขอ
“ข้าอิจฉาเจ้านักอาชิงที่จะได้ดูแลลูกด้วยตัวเอง ตอนอาจูเกิดมาได้ไม่กี่เดือนนางก็มาหายไปแล้ว ข้าก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่แม่เลย” ถ้าหากนางไม่ไร้ความสามารถก็คงจะมีเจ้าตัวน้อยเพิ่มได้ เป็นที่ตนไม่ดีเองที่ไม่สามารถมีอ๋องน้อยให้กับสามีได้“พี่สาวเหตุใดท่านไม่มีเพิ่มอีกสักคนล่ะเจ้าคะ” หยุนชิงถามด้วยความสงสัยเพราะตัวพระชายากับท่านอ๋องก็ไม่ได้เป็นหมันสักหน่อย อย่างไรก็อาจจะมีอีกคนได้ไม่ใช่หรือ“เป็นที่ข้าไร้ความสามารถเอง ร่างกายก็อ่อนแอเพียงนี้ ตอนนี้มีอาจูก็เพียงพอแล้วล่ะ”“พี่สาวจะว่าอะไรหรือไม่หากข้าจะถามท่านสักเรื่อง” หยุนชิงที่หั่นฟักทองเรียบร้อยแล้ว หันกลับมานั่งคุยกับหนานเจียอีระหว่างรอน้ำกะทิเดือด“ได้สิเจ้าจะถามเรื่องอะไรหรือ”“ท่านกับท่านอ๋องแบบว่าบ่อยหรือไม่เจ้าคะ” หยุนชิงใช้นิ้วชี้ทั้งสองนิ้วประกบกัน จะให้นางพูดออกมาตรง ๆ เลยก็เกรงใจเพราะมีเด็กอ้วนนั่งกินขนมอยู่บนตักของหนานเจียอีด้านหนานเจียอีเมื่อเห็นน้องสาวทำท่าทางให้ดูตนเข้าใจได้ทันที ใบหน้าขาวเนียนก้มลงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตามุมปากอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นสองนิ้ว“หา! วันละสองครั้งหรือเจ้าคะ” หยุนชิงอุทานขึ
เมื่อความทุกข์ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของจวนอ๋องได้ถูกปลดปล่อย บัดนี้มีเพียงความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันพวกเขาต่างสาบานว่า ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาพรากบุคคลที่เป็นดั่งดวงใจไปได้อีกใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้าเสียงร้องไห้ปนหัวเราะอย่างมีความสุข พ่อแม่ลูกอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ช่างเป็นภาพที่หยุนชิงประทับใจที่สุด"ท่านอ๋องพระชายาเพคะ วันนี้อยู่เสวยที่เรือนหม่อมฉันดีหรือไม่ หม่อมฉันอยากจะเลี้ยงฉลองที่มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้เพคะ" หยุนชิงเอ่ยชวนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองอยู่ร่วมทานมื้อเย็นด้วยกันก่อน เพราะนางอยากจะจัดเลี้ยงฉลองให้กับครอบครัวของท่านอ๋องที่ได้เจอบุตรสาวของตนสักที"เช่นนั้นข้ารบกวนพวกเจ้าแล้ว" อ๋องหนานฟางหยางตอบรับไมตรีด้วยความยินดี"อาชิงเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวเช่นเดิมเถอะ พวกเราก็มิใช่คนอื่นคนไกลเจ้าก็เหมือนกับน้องสาวข้า" หนานเจียอีเดินเข้ามาจับมือของหยุนชิง ใจจริงนางอยากจะให้หญิงสาวตรงหน้ามาเป็นน้องสาวบุญธรรมซะด้วยซ้ำไป แต่เรื่องนี้คงจะต้องพูดคุยกับท่านอ๋องเสียก่อน"จะดีหรือเจ้าคะ จะไม่ดูเป็นการทำตัวเสมอพระองค์หรือเพคะ""ไม่หรอกเอาตามที่น้องหญิงบอกเถอะ เจ้ากับสามีก็เรียกข้าว่าพี่
“หยกนี้อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่บุตรสาวของข้า และยังเป็นของที่หายากทั่วทั้งใต้หล้านี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”“ท่านทั้งสองรอสักครู่” หยุนชิงมองหยกเพียงแค่นิดเดียวนางก็รู้แล้วว่าอาจูน้อยคือบุตรสาวที่หายไปของผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า แต่ก่อนที่นางจะบอกความจริงขอนางได้พูดคุยกับอาจูน้อยก่อนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เฝ้ารอหยุนชิงอย่างใจจดจ่อเพียงแค่ได้ข่าวสักนิด หรือมีเบาะแสเพื่อตามหาบุตรสาวก็ยังดี การตามหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต้องมีสักวันต้องได้เจอกันอย่างแน่นอนไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่ก็ยินดีหยุนชิงหลังจากขอตัวออกมานางเดินตรงไปยังห้องอาจูกำลังเรียนคัดอักษร ก่อนจะพาอาจูไปรู้จักพ่อแม่คงต้องถามความสมัครใจของลูกก่อน ไม่ว่าเด็กน้อยจะตัดสินใจอย่างไรตัวนางกับสามี ก็พร้อมจะเคารพการตัดสินใจอยู่แล้ว“ท่านอาจารย์ข้าจะขอตัวอาจูสักครู่จะเป็นการรบกวนหรือไม่เจ้าคะ”“โอ้ ไม่เลยข้าสอนนางเสร็จพอดีตามสบายเถอะ ยังไงข้าขอตัวกลับเลยแล้วกัน”“ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าให้คนไปส่ง” หยุนชิงหันไปบอกให้อาลี่ผู้คอยดูแลอาจู ออกไปจัดหารถม้าเพื่อไปส่งท่านอาจารย์“ท่านแม่วันนี้ท่านอาจารย์สอนให้จูเ
หยุนชิงกับหวังอี้หลินตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ จะต้องสอบถามเรื่องอาจูน้อยให้แน่ชัด อาจูน้อยของนางจะได้กลับสู่ครอบครัวที่แท้จริงสักทีถึงแม้อีกใจหนึ่งจะรู้สึกไม่ยินยอมเพราะความรักและผูกพันที่มีให้กัน แต่หากนางเป็นฝ่ายนั้นก็คงจะเจ็บปวดไม่แพ้กันดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดก็คือการให้อาจูน้อยกลับสู้อ้อมกอดของพ่อแม่ที่แท้จริงอย่างน้อยอ๋องหนานฟาหยางก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการกบฏในครั้งนี้ และอีกเรื่องที่สำคัญเขามีภรรยาเพียงผู้เดียวไม่มัวเมาในสตรี ดังนั้นปัญหาเรื่องหลังบ้านก็จะไม่มีให้เรื่องวุ่นวาย หรือชิงดีชิงเด่นกันดั่งเช่นจวนอื่นส่วนหวางเฟยก็เป็นสตรีที่ดีงามใจดีและอ่อนโยนเพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกตนมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าอาจูของพวกเขาจะอยู่ได้อย่างมีความสุขแน่นอน“คารวะท่านอ๋อง กับหวางเฟย เพคะ /พ่ะย่ะค่ะ” สองสามีภรรยารีบออกมาต้อนรับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากกว่านี้เนื่องจาก กว่าจะตกลงพูดคุยกันได้ก็ทำให้แขกต้องรอนานทีเดียว“ไม่ต้องมากพิธีหรอกทำตัวตามสบายเถอะ” อ๋องหนุ่มเอ่ยบอกด้วยท่าทางสบายไม่ได้ถือสาสิ่งใด“ขอบพระทัยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”“อาจูล่ะไม่อยู่หรือข้าคิดถึงนางนัก ข้าทนไม่ไหวเลยมาแบบมิได้บอกพวกเ
สองสามีภรรยานั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลหวัง ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลเท่าไรนัก บรรยากาศในรถม้ามีเพียงแต่ความเงียบ จนทำให้หนานเจียอีเริ่มจะทนไม่ไหว กับแรงกดดันที่ถูกแผ่ออกมาจากคนด้านข้าง หากแต่ยังไม่ทันที่นางจะเริ่มพูดสิ่งใดรถม้าได้หยุดลงพอดี เนื่องจากถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"ทูลท่านอ๋อง กับพระชายาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ถึงแม้จะมีเพียงความเงียบให้กันแต่อ๋องหนุ่มก็ยังคงปฏิบัติต่อพระชายาตนด้วยความอ่อนโยนเช่นเดิม มือหนายื่นออกไปรอรับร่างบางลงจากรถม้า เพื่อช่วยประคองไม่ให้สะดุดล้มระหว่างก้าวลงเมื่อทั้งสองได้เห็นบรรยากาศโดยรอบมันทำให้รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายนัก ช่างดูเป็นบ้านที่อบอุ่นเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ร่มรื่นยิ่งนัก"ท่านพี่ทำอะไรอยู่เจ้าคะ" หยุนชิงที่เดินเอามะม่วงเข้ามาในห้องเห็นสามีนางกำลังนั่งทำอะไรบางอย่าง ราวกับคนแอบทำอะไรลับหลังมิให้ผู้อื่นรู้เช่นนั้นแหละหวังอี้หลินกำลังกัดดอกไม้กินจนเต็มปากต้องสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองภรรยารักแต่ก็ไม่วายจะกัดดอกไม้อีกดอกเข้าเต็มปากเคี้ยวกลืนอย่างอร่อย เขากลัวว่าผู้อื่นจะมาเห็นตอนที่ตนกินดอกไม้ แล้วมองว่าประหลาดแต่ทำอย่างไรได้ก็กลิ่นดอกไ
"ทูลท่านอ๋องหวางเฟยขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ" กงกงคนสนิทเดินเข้ามารายงานภายในห้องทรงอักษรด้วยฝีเท้าที่บางเบา เนื่องด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเจ้านาย"ให้นางเข้ามา" เมื่อเห็นว่าทำงานทั้งหมดเสร็จแล้ว เขาจึงวางพู่กันและพับเก็บงานต่าง ๆ ไว้ข้างโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยอนุญาตหลังจากได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นนาย กงกงจึงได้เดินตรงไปเปิดประตูให้กับหวางเฟยที่ยืนรออยู่หน้าประตู"เชิญหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ" หลังจากที่หวางเฟยเดินเข้าไปในห้อง เขาจึงปิดประตูให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวถอยออกไปสองก้าวยืนคอยรับใช้ผู้เป็นนาย"น้องหญิงเหตุใดวันนี้ถึงได้มาหาพี่ถึงที่นี่" อ๋องหนุ่มรีบก้าวออกไปประคองภรรยาผู้เป็นที่รักอย่างทะนุถนอมทันทีที่เห็นนางเดินเข้ามา"หม่อมฉันจะมาขออนุญาตออกจากวังไปเยี่ยมบ้านตระกูลหวังเพคะ" หนานเจียอียิ้มให้พระสวามีอย่างอ่อนหวาน แม้จะนานเพียงใดสวามีนางก็ยังอ่อนโยนกับนางเสมอ ถึงแม้ตอนที่แต่งเข้าจวนอ๋องจะไม่มีใจรักต่อกัน หากแต่พออยู่ด้วยกันนานเข้าเป็นนางเองรักไปตอนไหนก็ไม่รู้"เจ้ามีสิ่งใดหรือถึงไปที่นั่นให้คนไปทำแทนก็ได้ ร่างกายเจ้ายิ่งร่างกายอ่อนแอ พี่เกรงว่าหากต้องลมมากไปจะไม่สบาย""ทูลตามตรง หม่อมฉันคิดถึงอาจูน
"กินสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ กินเสร็จจะได้ทานยา" ร่างบางหยิบถ้วยข้าวขึ้นมาก่อนจะตักและเป่าเพื่อคลายความร้อน เมื่อแน่ใจว่าสามารถกินได้จึงได้ยื่นไปให้ชายหนุ่มหวังอี้หลินเพียงได้กลิ่นเขาก็เบ้หน้าแล้ว ถึงจะกลิ่นไม่แรงแต่ก็ยังรู้สึกเหม็นอยู่ดี เพื่อไม่ให้ภรรยาตัวน้อยเสียใจ เขาจึงทนกลืนโจ๊กในถ้วยไปได้ไม่กี่คำก่อนที่จะทนกินต่อไม่ไหวเมื่อเห็นว่าสามีฝืนกินไม่ได้แล้วหยุนชิงจึงไม่เซ้าซี้ให้ทานต่อ ก่อนจะให้เขาทานยาและนอนพักผ่อน หากแต่ยังไม่ทันจะเก็บถาดไปวางไว้ที่โต๊ะ ร่างหนาที่นอนไร้เรี่ยวแรงถามขึ้นก่อน"ชิงเอ๋อร์ในจานนั้นอะไรรึ" ชายหนุ่มชี้ไปที่มะม่วงน้ำปลาหวานอย่างสงสัย ปกติคนทั่วไปเขาไม่กินมะม่วงดิบกันนางจะเอามาทำอะไร"มะม่วง ส่วนนี่คือน้ำจิ้มเรียกว่าน้ำปลาหวานเจ้าค่ะ ท่านพี่ลองชิมดูสิอร่อยนะ" หยุนชิงหยิบมะม่วงมาหนึ่งชิ้นก่อนจะจิ้มน้ำปลาหวานแล้วมาจ่อที่ปากชายหนุ่ม"มันกินได้แน่รึ" หวังอี้หลินยังคงมองมะม่วงชิ้นนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ"กินได้สิเจ้าคะลองดู" มีใครกินมะม่วงดิบแล้วตายบ้างนางยังไม่เคยเห็นนะ คนโบราณนี่ก็อะไร ไม่รู้จักของแซ่บของอร่อย ถ้ามีปลาร้านะนางจะตำมะม่วงเผ็ด ๆ แซ่บ ๆ พูดแล้วก็น้ำลาย