ลมทะเลพัดมาวูบหนึ่ง ติณณ์ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ เมื่อก้าวลงเรือเร็วที่มารอรับตรงท่าเรือเรียบร้อยแล้ว
“คุณติณณ์มาคนเดียวหรือครับ” “ลุงเห็นใครมากับผมหรือเปล่าล่ะ” “ไม่เห็นครับ” คนขับเรือเร็วหัวเราะแห้งเมื่อถูกย้อนถาม มันอดสงสัยไม่ได้นี่นาที่เห็นหลานชายของเจ้านายซึ่งเพิ่งมีข่าวแต่งงานเมื่อวานจะไปพักบนเกาะคนเดียว ในตอนที่เจ้านายสั่งให้ขับเรือมารับ เขาก็ไม่ได้ถามรายละเอียดเสียด้วย คิดเองเออเองว่าตนมีหน้าที่มารับคู่สามีภรรยาใหม่เพื่อไปส่งที่เกาะฟาติน “คุณติณณ์มีของให้ขนลงเรืออีกหรือเปล่าครับ” “ไม่มี ผมมีเป้ใบนี้ใบเดียว” เพียงเท่านั้น สปีดโบ้ตลำหรูก็แล่นตัดผิวน้ำจนแตกกระเซ็นเป็นทางยาว เพื่อตรงไปยังเกาะฟาตินที่อยู่ห่างจากฝั่งเกือบสามสิบกิโลเมตร ติณณ์ยกขาขึ้นมาพาดบนที่นั่งว่างๆ เอนกายกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ตลอดสองวันที่ผ่านมา เขาเพิ่งพักกายได้จริงๆ ก็เวลานี้ ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นพลางนึกถึงถ้อยคำสนทนาของตัวเองกับพ่อและแม่เลี้ยงเมื่อสามชั่วโมงก่อน ในตอนที่เขาแวะไปเอาเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นสำหรับนำมาใช้บนเกาะ ‘แกจะไปอยู่ที่เกาะทั้งที่เพิ่งแต่งงานเมื่อวาน ไม่คิดจะไว้หน้าเมียบ้างหรือไง’ ‘แล้วไงครับพ่อ พอแต่งงานแล้วผมกับขวัญก็ต้องทำตัวติดกันอย่างนั้นเหรอ’ เขาถามรวนๆ บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินพ่อถามเรื่องนี้ ซึ่งพ่อก็เป็นฝ่ายเงียบเสีย เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำ แม่เลี้ยงที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงช่วยถามความต่อให้ ‘ความจริงคุณติณณ์พาหนูขวัญไปเที่ยวด้วยก็ได้ ถือโอกาสฮันนีมูนไปในตัว’ ‘ไม่ละ ผมเตรียมแผนไปอยู่ที่เกาะไว้นานแล้ว ผมไม่อยากหาเรื่องทำให้เสียแผน’ ‘ไปทำงานของแกล่ะสิ เห็นว่ารายการถูกเปลี่ยนเวลาออกอากาศไม่ใช่เหรอ แกมั่นใจหรือว่ามันจะรอด’ ติณณ์หัวเราะคำพูดของพ่อเหมือนเห็นเป็นเรื่องขัน ทั้งที่สองเดือนก่อนมันยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาอยู่เลย ‘ไม่รอดหรอก แนวโน้มขาดทุนภายในสามเดือน ผมเลยต้องหาทางรอดใหม่ ผมจะนำรายการไปเสนอช่องใหม่ แต่ก่อนจะไป ผมต้องปรับรูปแบบรายการให้เรียบร้อยก่อน’ ‘แล้วงานทางนี้ล่ะ’ ‘อีกสองสัปดาห์มีนัดประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมกับห้างฯ ผมไม่ลืมครับ ยังไงผมก็ให้ความสำคัญกับงานของเราเป็นหลักอยู่แล้ว’ ‘ถ้ามันหนักเกินไป ทำไมแกไม่พักงานผลิตรายการสักระยะ จังหวะนี้มันก็เหมาะดี ความคิดดีๆ มันจะมาในเวลาที่เราว่างพอ’ ‘ผมก็ทำตัวว่างโดยการไปติดเกาะนี่ไงครับ’ ‘เออๆ ตามใจแก แต่งเมียได้วันเดียวก็ทิ้งเมียไปอยู่เกาะ ใครรู้เข้าคงคิดว่าแกบ้า’ ในตอนนั้นเองที่ติณณ์บอกลาพ่อกับแม่เลี้ยงเสียดื้อๆ เขาฉวยเป้ใบใหญ่แล้วลุกออกมา ก่อนจะขับรถตรงมายังท่าเรือแห่งนี้ผ้าปูที่นอนสีเข้มผืนใหม่ถูกปูบนที่นอน มันถูกเปลี่ยนจากผ้าปูที่นอนสีหวานผืนก่อน ขวัญรดามองหมอนสองใบที่วางเคียงกัน ก่อนจะหยิบหมอนใบหนึ่งนำไปเก็บเสีย ไม่จำเป็นต้องวางให้เกะกะบนเตียง แล้วหาหมอนข้างมาวางไว้แทน
ตั้งแต่เกิดมาขวัญรดาไม่เคยรู้สึกเดียวดายและอ้างว้างแบบนี้ เธอเคยเป็นคนที่อยู่คนเดียวได้ ชอบเสียอีกที่ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร เธอไม่ใช่คนขี้เหงา หากในเวลานี้ทุกความรู้สึกที่เธอไม่เคยเป็นและมั่นใจว่าจะไม่มีวันเป็น มันกลับโถมเข้าใส่พร้อมๆ กัน มือบางที่มีแหวนแต่งงานสวมอยู่ถูกยกขึ้นมามองนิ่งๆ ขวัญรดาคิดลังเลอยู่ 2-3 ครั้งแล้วว่าจะสวมมันไว้อย่างนี้ดีไหม ในเมื่อติณณ์ไม่เห็นความสำคัญของมัน เธอจะพันธนาการตัวเองไว้กับการแต่งงานอยู่ฝ่ายเดียวไปทำไม หากสุดท้ายแล้วเธอก็ถอดมันทิ้งไม่ได้... แม้มีเรื่องกระทบจิตใจจนไม่อาจปล่อยวางจากความคิด แต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมและร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ทำให้ค่ำคืนนี้ขวัญรดานอนหลับในทันทีเมื่อหัวถึงหมอน“ถ้าพ่อไม่บอกว่าคุณติณณ์เพิ่งแต่งงาน ฉันต้องคิดว่าแกอกหักมาแหงๆ เลยแม่”
คำพูดของลูกสาวที่เดินเข้ามาในเรือนพักคนงาน หลังจากนำสำรับกับแกล้มไปให้เจ้านายที่มาจากกรุงเทพฯ แล้ว ทำให้แม่ครัวประจำบ้านเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย “ทำไม? คุณติณณ์เป็นอะไร?” “นอนเปลมองดูฟ้าดูดาวอยู่ตรงระเบียง ฉันเรียกตั้งสองครั้งกว่าจะรู้ตัว” “กำลังคิดถึงเมียหรือเปล่า” “ไม่นะแม่ หน้าตาไม่เหมือนคนคิดถึงเมีย ฉันดูออก เพราะฉันก็มีผัวแล้ว” “ทีเรื่องอย่างนี้เชี่ยวชาญนะเอ็ง” “มันมีเค้านะแม่ คุณติณณ์อกหักจากแฟนเก่าไม่กี่เดือนก็แต่งงานทันที แถมยังแต่งกับน้องสาวของแฟนด้วย มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอก” “แกหมายถึงคุณคัทลียานะเหรอ เขาเลิกกันตั้งนานแล้ว กว่าจะเป็นข่าวก็นานเป็นปี คนดังก็เป็นอย่างนี้แหละ ปิดข่าวกันเก่ง ส่วนคนที่คุณติณณ์แต่งงานด้วย เธอเป็นญาติของคุณคัทลียา ไม่ได้เป็นพี่น้องท้องเดียวกันสักหน่อย”เวลาบ่ายสองโมงของวันหยุด เด็กชายวัยเก้าขวบหน้าตาคมคายส่อแววหล่อเหลาเดินเข้ามาในบ้าน หลังจากที่เขาไปช่วยพนักงานเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านอาหารของแม่ซึ่งตั้งอยู่ในแปลงที่ดินข้างบ้านขวัญรดามองลูกชาย เมื่อไม่เห็นว่าลูกสาวกลับมาพร้อมกัน ทั้งที่ตอนขาไป ลูกทั้งสองคนยังเดินจับมือกันอยู่เลย เธอจึงคิดจะถาม...แต่เจ้าตัวก็ฟ้องขึ้นมาเสียก่อน“คุณแม่ครับ ข้าวหอมไม่ยอมกลับบ้านอีกแล้ว”“น้องทำอะไรอยู่คะ แล้วน้องอยู่กับใคร”“น้องขายผักกับอยู่พี่มุกครับ เมื่อกี้น้องถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกด้วย ทั้งสองคนทำอะไรกันก็ไม่รู้ น่าเบื่อมาก ต้นรอไม่ไหว คุณแม่ไปตามน้องกลับบ้านหน่อยสิครับ”ดูท่าทางคนเป็นพี่ชายจะไม่สบอารมณ์ในตัวน้องสาวจริงๆ ขวัญรดาจึงต้องคุยต่อเพื่อหาสาเหตุ“ป้าจ๋าอยู่กับน้องใช่ไหมจ๊ะ แม่ว่าเราปล่อยให้น้องอยู่ที่ร้านไปก่อนก็ได้นะ”ป้าจ๋าเป็นพี่เลี้ยงของลูกสาวมาตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเด็กอ่อน หากมีพี่เลี้ยงคนนี้อยู่ด้วย ขวัญรดาก็วางใจว่ามีคนที่ดูแลลูกสาวแทนตนได้“ป้าจ๋าอยู่ด้วยครับ แต่ต้นไม่ชอบให้น
“พ่อคับ...กินคุกกี้”น้องแต็งค์หรือเด็กชายตนุธิป เด็กชายที่เพิ่งเป่าเค้กวันเกิดครบรอบสองขวบไปเมื่อหลายเดือนก่อน ถือกล่องใส่คุกกี้ช็อกโกแลตมาให้คุณพ่อลูกสามช่วยเปิดฝากล่องให้คุณพ่อลูกสาม?ถูกต้องแล้ว...คุณพ่อที่เคยยืนยันเสียงหนักแน่นว่าเขายังไม่คิดจะมีลูกคนต่อไป ตราบใดที่ลูกคนแรกยังไม่โตพอ อีกทั้งเขาจะต้องได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มเสียก่อนหากในความเป็นจริงนั้น แค่เพียงน้องต้นกล้าอายุได้หกเดือน ขวัญรดาก็ตั้งท้องลูกคนที่สองด้วยความยินยอมพร้อมใจกันของทั้งสองคน โดยท้องนี้พวกเขาได้ลูกสาวหน้าตาจิ้มลิ้มมาอุ้มชู พวกเขาตั้งชื่อให้ลูกสาวว่าน้องข้าวหอมหรือเด็กหญิงเขมนิจ ปัจจุบันเด็กหญิงอายุได้แปดขวบแล้ว ซึ่งพ่อกับพี่ชายนั้นหวงแม่หนูมาก“หนูขออนุญาตคุณแม่หรือยังครับ คุกกี้กล่องนี้คุณแม่เก็บไว้ให้พี่ๆ กินด้วยหรือเปล่า”“แต็งค์จะกินคุกกี้แลต”พ่อหนูน้อยยืนยัน เป็นอันรู้กันว่าคุกกี้ช็อกโกแลตเป็นของโปรดของเจ้าตัว อย่าหวังว่าจะยอมแบ่งให้ใคร แถมยังทำท่าทางขัดใจอย่างสุดฤทธิ์เมื่อถูกพ่อพูดจาตะล่อมหวังจะให้เปลี่ยนใจ&
หนึ่งเดือนถัดจากนั้น ณ โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่คุณอิงอรเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แตงโมน้อยก็ได้ฤกษ์ออกมาลืมตาดูโลกคุณแม่มือใหม่เข้าไปนอนรอคลอดอยู่ในห้องพักพิเศษสองวัน ลูกชายคนแรกของเธอถึงคลอดออกมา ทารกน้อยเนื้อตัวอวบอ้วน ภัสสราที่มาเยี่ยมหลานในทันทีเมื่อรู้ข่าวก็บอกอย่างตื่นเต้น“เมื่อกี้ฉันไปดูหลานในห้องเด็ก หลานตัวโตมาก แทบจะตัวโตที่สุดในบรรดาเด็กที่นอนเรียงกัน ทั้งที่ขวัญตัวเล็กนิดเดียว แถมตอนท้องก็ไม่ได้อ้วนขึ้นเลย”“น้ำหนักตัวของขวัญก็ขึ้นนะคะ แต่ขึ้นตามเกณฑ์ของคุณหมอ ขวัญกินอาหารตามที่หมอแนะนำ ขวัญไม่ได้กลัวอ้วนนะ แต่ขวัญคิดถึงแต่ลูก อยากให้ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนมากที่สุด”“มันได้ผลจริงๆ นะ เพราะลูกของเธอตัวโตเชียว”“พ่อเขาก็ตัวโต หน้าตาหล่อคมกระเดียดไปทางพ่ออีกนั่นแหละ”คุณจงกลที่อยู่เฝ้าขวัญรดามาทั้งวันพูดแทรกขึ้น เพราะนางพินิจหลานชายอยู่สักพักใหญ่ แล้วจึงได้ข้อสรุปตามนั้น“จริงด้วยสิ ภัสลืมไปเลย”ภัสสราไม่ได้แกล้งน้องเขย แต่เธอลืมไปจริงๆ ว่าหลานชายที่หน้าตาน่
“โดนจนได้นะแคท จำเป็นบทเรียนไว้เลยว่าทีหลังอย่าร้ายกับคนที่ไม่ได้ร้ายกับเรา แต่ถ้าใครร้ายมา เราก็ร้ายตอบ อันนี้ไม่ผิดกติกา แถมเรายังหาแนวร่วมได้อีกด้วย”รุ่นใหญ่ในวงการบันเทิง เพราะทำงานมาตั้งแต่เด็ก พูดด้วยอารมณ์ไม่ได้ดังใจขณะดูข่าวของญาติตัวเองทางโทรศัพท์มือถือ คนเป็นน้องสาวที่นั่งลูบท้องโตๆ อยู่ข้างๆ ก็ถอนหายใจ“ขวัญรู้สึกไม่ดีเลย มีทางไหนที่เราพอจะช่วยคุณแคทได้บ้างไหมคะ”ยอมรับว่าพอกำลังจะมีลูก เธอก็รู้สึกอ่อนไหวไปเสียหมด ไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตัวเอง ซึ่งภัสสราก็เข้าใจน้องสาวดี“เราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ นะขวัญ เราช่วยใครไม่ได้หรอก ส่วนตัวแคทเองก็มีมูลค่าในวงการบันเทิงมากพอ เดี๋ยวเขาก็ไปต่อได้ เราไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แคททำตัวของเขาเอง ติณณ์ก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันมากเกินไป เขาแค่ตอบโต้แคทเพื่อปกป้องตัวเองและครอบครัว งานนี้เรียกว่าแคทแพ้ภัยตัวเอง”“แต่ถึงกับถูกปลดออกจากละคร มันก็หนักไปนะ”แม้ไม่เคยอยู่ในจุดนั้น หากขวัญรดาคิดว่าตนพอจะเข้าใจความรู้สึกของคัทรียา มันคงไม่ต่
นายชัชชัยเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในสองวันต่อมา ลูกและภรรยาต่างก็เสียใจ แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย...จบสิ้นกันสักทีในส่วนความรับผิดชอบที่มีต่อเหยื่อและครอบครัวนั้น หน่วยงานที่นายชัชชัยสังกัดอยู่ได้ออกมากล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง อีกทั้งพร้อมแสดงความรับผิดชอบโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้นภรรยาและลูกทั้งสองคนของนายชัชชัยก็ไม่ทอดทิ้งใคร นอกจากคำขอโทษที่มีต่อทุกคน พวกเขายังคงให้ความช่วยเหลือผ่านหน่วยงานที่ออกหน้ามาดูแลผู้เคราะห์ร้ายแม้แต่ปกรณ์ซึ่งเป็นสามีของผู้หญิงที่นายชัชชัยเคยชุบเลี้ยง เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ลูกและภรรยาของนายชัชชัยก็ให้ความช่วยเหลือเขาเช่นเดียวกัน ในขณะนี้ปกรณ์ยังคงพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยมีวีรยาคอยดูแลอย่างไม่ยอมห่าง ซึ่งอาการของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้...เป็นอย่างที่ลูกชายของนายชัชชัยคาดไว้จริงๆ ไม่มีญาติของนายชัชชัยมาร่วมงานศพของเขาสักคน ในงานคงมีแต่ภรรยาและลูกที่จัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นอย่างเร่งรีบและรวบรัดเท่านั้นขวัญรดาทำบุญไปให้นายช
“ภัสคุยกับติณณ์อยู่ค่ะ ติณณ์ไม่ให้ขวัญดูข่าว บ้านนั้นจะปิดทีวีทั้งวัน ติณณ์จะคอยติดตามข่าวแล้วบอกกับขวัญเอง ส่วนขวัญก็รู้เรื่องแล้ว ขวัญทำใจกับเรื่องนี้ได้ค่ะ”ภัสสราเคยโกรธนายชัชชัยนักหนาที่ตัดรอนขวัญรดา เขาไม่ยอมรับว่าขวัญรดาเป็นลูกสาว นับตั้งแต่ขวัญรดาย้ายมาอยู่กับครอบครัวของเธอ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยมาหาและไม่เคยติดต่อน้องสาวอีกเลยทว่าในเวลานี้ ภัสสรากลับนึกขอบคุณโชคชะตาที่พาให้เหตุการณ์ในอดีตเบนไปในเส้นทางนั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้ขวัญรดาไม่รู้สึกผูกพันกับพ่อผู้ให้กำเนิด ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป น้องสาวของเธอก็จะทำใจยอมรับทุกเรื่องได้ง่ายขึ้น“แตงโม...แตงโมชื่ออะไรดีครับ เดี๋ยวพ่อเอาชื่อมาให้หนูเลือกนะ”เสียงของว่าที่คุณพ่อดังอยู่เหนือศีรษะ คนท้องที่อิงซบอยู่กับอกเขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง“คุณติณณ์เอาชื่อมาจากไหนคะ”“เว็บไซต์สำหรับตั้งชื่อลูก มีแต่ชื่อมงคลความหมายดีๆ ทั้งนั้น”“งั้นบอกมาเลยค่ะ ขวัญจะช่วยแตงโมเลือกเอง”“ตนุธิป ตนุนันท์ ตนุพัชร์...สามชื่อน