คู่สามีภรรยาใหม่อยู่ที่บ้านของหม่อมหลวงอิงอรจนถึงเวลาบ่าย อาหารมื้อเช้าของขวัญรดาถูกรวบไปเป็นมื้อเที่ยง ยังดีที่ตลอดเวลาที่นั่งฟังติณณ์กับแม่ของเขาคุยกัน คนรับใช้ได้นำอาหารว่างมาเสิร์ฟให้กินรองท้อง...เธอหิว เพราะปกติเธอกินมื้อเช้าทุกวัน แต่เธอไม่กล้าบอกใคร แม้แต่คนเป็นสามี
“ติณณ์จะไปที่เกาะวันนี้ใช่ไหม เตรียมข้าวของเสร็จแล้วหรือยัง แม่ว่ากลับบ้านกันเถอะ เพราะกว่าจะขับรถไปลงเรือได้ก็คงมืดค่ำ ยังไงก็อย่าให้ดึกเกินไป” คุณอิงอรพูดขึ้นหลังจากมื้ออาหารจบลงแล้ว ขวัญรดาจึงได้ลาแม่สามีที่เพิ่งพบกันครั้งแรก เมื่อกลับเข้ามานั่งในรถพร้อมกับกล่องเครื่องเพชรที่ถือไว้ในมือ เธอเพ่งพิศมัน ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ “มาพบคุณแม่ของคุณ ฉันน่าจะมีอะไรติดมือมาด้วย” “คุณจะซื้ออะไรมาให้แม่ของผม” คำถามกลั้วหัวเราะนั้นทำให้ขวัญรดาคอแข็ง เธอรู้ว่าติณณ์หมายความว่าอย่างไร คนอย่างเธอจะมีกำลังซื้อหาอะไรมาให้หม่อมหลวงอิงอร...หากหญิงสาวก็เลือกที่จะปัดทุกอารมณ์ขุ่นเคืองออกไป “ผลไม้ค่ะ เราซื้อผลไม้มาเป็นของฝากผู้ใหญ่ได้” คนขับรถไหวไหล่ บอกให้รู้ว่ามันไม่สำคัญสำหรับเขา ก่อนที่เขาจะบังคับรถให้เคลื่อนผ่านประตูรั้วบ้านออกไปรถแล่นออกจากบ้านของแม่สามี กระทั่งมาถึงบ้านสองชั้นหลังค่อนข้างใหญ่ที่บางกรวย โดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง หากเมื่อรถจอดนิ่งสนิทแล้ว คนขับรถไม่ดับเครื่องยนต์ แต่เขากลับบอกเธออย่างที่ทำให้งุนงง
“ผมมาส่งคุณ” “มาส่งฉันหรือคะ? คุณมีธุระไปที่ไหนอีก” “ผมจะไปที่เกาะ” “แล้วฉัน...” ขวัญรดาพยายามจับต้นชนปลาย เมื่อสักครู่ติณณ์บอกคุณอิงอรว่าเขาจะเดินทางไปพักผ่อนที่เกาะฟาติน เธอรู้ว่ามันเป็นเกาะของครอบครัวของเขา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการดูแลของอาคนเล็ก ขวัญรดาเข้าใจว่ามันเป็นการเดินทางไปฮันนีมูนของทั้งสองคน คิดว่าเขาจะพาเธอไปด้วย...แต่ไม่ใช่หรอกหรือ หญิงสาวรู้สึกมึนงง ไม่อยากเชื่อว่าเธอเข้าใจผิดไปเอง “มีอะไร” “คุณจะไปที่เกาะคนเดียวหรือคะ” ขวัญรดาหลุดปากถามย้ำ ทั้งที่รู้แก่ใจแล้วว่าตนไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้ ติณณ์ถามกลับด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่เธอไม่อยากเห็นเอาเสียเลย “คุณกำลังทำหน้าที่เมียอยู่หรือไง” “ปละ...เปล่าค่ะ” “งั้นลงไปได้แล้ว” หญิงสาวพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวออกมา เธอยืนอยู่ที่เดิม มองตามท้ายรถที่เคลื่อนกลับออกไปสู่ทิศทางเดิมด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบหญิงสาวร่างบางนั่งกอดเข่าอยู่ตรงระเบียงห้องนอนบนชั้นสองของบ้าน สายตาทอดมองไปยังทุ่งหญ้าที่เห็นอยู่ไกลๆ ละแวกนี้ยังเป็นพื้นที่สวน แรกทีเดียวเธอนึกชอบในความเงียบสงบ แต่พอถึงเวลาเย็น ความรู้สึกนั้นมันกลับทวีขึ้นอีกเท่าตัว
โดดเดี่ยว อ้างว้าง...มีผู้หญิงคนไหนบ้างนะที่ผจญกับความรู้สึกนี้หลังจากวันวิวาห์ผ่านไปได้แค่วันเดียว เสียงเคาะประตูระเบียงดังขึ้นเบาๆ ขวัญรดาสะดุ้งสุดตัว เมื่อบางอย่างแวบเข้ามาในหัว เธอจึงรีบลุกขึ้นแล้วเปิดประตูทันใด ความดีใจที่กำลังทออยู่ในดวงตาหวานค่อยๆ เลือนหายเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่หลังประตู “หนูขอโทษค่ะที่เข้ามาในห้องนอน พอดีหนูเคาะประตูห้องเรียกคุณหลายครั้ง แต่คุณคงไม่ได้ยิน หนูเป็นห่วงว่าคุณจะเป็นอะไร เลยเปิดประตูเข้ามาเอง” เพราะเห็นสีหน้าของขวัญรดาเปลี่ยนเป็นจืดเจื่อน คนรับใช้จึงคิดว่าเธออาจไม่พอใจที่มีคนถือวิสาสะเข้ามาในห้องนอนก่อนได้รับอนุญาต “ไม่เป็นไรจ้ะ หนูมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” “ป้านิ่มให้หนูมาถามคุณว่าจะรับประทานอาหารเลยไหม ตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว ปกติคุณติณณ์จะให้ตั้งโต๊ะเวลานี้ค่ะ” ขวัญรดานิ่งคิด เหมือนว่าคำถามนั้นยากแก่การตัดสินใจ นานชั่วอึดใจกว่าเธอจะตอบออกมา “ฉันไม่หิว ส่วนคุณติณณ์ก็ไม่อยู่บ้าน หนูไม่ต้องตั้งโต๊ะหรอกจ้ะ” “คุณรับอย่างอื่นไหมคะ อย่างเช่นผลไม้ หนูจัดใส่จานมาให้คุณได้ค่ะ” ข้อเสนอนี้เด็กรับใช้คงคิดขึ้นมาเอง เพราะเจ้าตัวมีท่าทางลังเลและไม่มั่นใจที่จะถามนัก “ฉันขอนมอุ่นๆ ก็แล้วกัน” เด็กรับใช้เดินออกไปแล้ว เมื่อได้กลับมาอยู่ตามลำพัง ความคิดก็เริ่มฟุ้งไปว่าคนในบ้านจะมองเธออย่างไร แต่งงานกันแค่วันเดียว แต่เจ้าบ่าวก็หนีไปเที่ยวเกาะเพียงคนเดียวเสียแล้ว เท่าที่สดับตรับฟังตอนที่เขาคุยกับแม่ของเขา ติณณ์มีแผนจะอยู่ที่เกาะนานนับสิบวันทีเดียว ขวัญรดาจับแหวนแต่งงานที่สวมนิ้วนางข้างซ้าย เธอจำความสุขกำซาบยามติณณ์สวมแหวนวงนี้ให้เธอได้ แหวนทองสีขาวเกลี้ยงประดับเพชรเม็ดเล็กที่กำลังล้อแสงไฟจากดวงไฟกลางห้อง แหวนวงนี้ยังอยู่บนนิ้วนางของเธอ ส่วนแหวนอีกวงที่เธอเคยเห็นว่าถูกเตรียมมาคู่กัน มันไม่ได้อยู่บนนิ้วของติณณ์แล้ว เธอไม่รู้ว่าเขาถอดแหวนแต่งงานตั้งแต่ตอนไหน เธอไม่ทันสังเกต...หรือแหวนวงนั้นอาจถูกถอดตั้งแต่งานเลี้ยงแต่งงานจบแล้วก็ได้เวลาบ่ายสองโมงของวันหยุด เด็กชายวัยเก้าขวบหน้าตาคมคายส่อแววหล่อเหลาเดินเข้ามาในบ้าน หลังจากที่เขาไปช่วยพนักงานเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านอาหารของแม่ซึ่งตั้งอยู่ในแปลงที่ดินข้างบ้านขวัญรดามองลูกชาย เมื่อไม่เห็นว่าลูกสาวกลับมาพร้อมกัน ทั้งที่ตอนขาไป ลูกทั้งสองคนยังเดินจับมือกันอยู่เลย เธอจึงคิดจะถาม...แต่เจ้าตัวก็ฟ้องขึ้นมาเสียก่อน“คุณแม่ครับ ข้าวหอมไม่ยอมกลับบ้านอีกแล้ว”“น้องทำอะไรอยู่คะ แล้วน้องอยู่กับใคร”“น้องขายผักกับอยู่พี่มุกครับ เมื่อกี้น้องถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกด้วย ทั้งสองคนทำอะไรกันก็ไม่รู้ น่าเบื่อมาก ต้นรอไม่ไหว คุณแม่ไปตามน้องกลับบ้านหน่อยสิครับ”ดูท่าทางคนเป็นพี่ชายจะไม่สบอารมณ์ในตัวน้องสาวจริงๆ ขวัญรดาจึงต้องคุยต่อเพื่อหาสาเหตุ“ป้าจ๋าอยู่กับน้องใช่ไหมจ๊ะ แม่ว่าเราปล่อยให้น้องอยู่ที่ร้านไปก่อนก็ได้นะ”ป้าจ๋าเป็นพี่เลี้ยงของลูกสาวมาตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเด็กอ่อน หากมีพี่เลี้ยงคนนี้อยู่ด้วย ขวัญรดาก็วางใจว่ามีคนที่ดูแลลูกสาวแทนตนได้“ป้าจ๋าอยู่ด้วยครับ แต่ต้นไม่ชอบให้น
“พ่อคับ...กินคุกกี้”น้องแต็งค์หรือเด็กชายตนุธิป เด็กชายที่เพิ่งเป่าเค้กวันเกิดครบรอบสองขวบไปเมื่อหลายเดือนก่อน ถือกล่องใส่คุกกี้ช็อกโกแลตมาให้คุณพ่อลูกสามช่วยเปิดฝากล่องให้คุณพ่อลูกสาม?ถูกต้องแล้ว...คุณพ่อที่เคยยืนยันเสียงหนักแน่นว่าเขายังไม่คิดจะมีลูกคนต่อไป ตราบใดที่ลูกคนแรกยังไม่โตพอ อีกทั้งเขาจะต้องได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มเสียก่อนหากในความเป็นจริงนั้น แค่เพียงน้องต้นกล้าอายุได้หกเดือน ขวัญรดาก็ตั้งท้องลูกคนที่สองด้วยความยินยอมพร้อมใจกันของทั้งสองคน โดยท้องนี้พวกเขาได้ลูกสาวหน้าตาจิ้มลิ้มมาอุ้มชู พวกเขาตั้งชื่อให้ลูกสาวว่าน้องข้าวหอมหรือเด็กหญิงเขมนิจ ปัจจุบันเด็กหญิงอายุได้แปดขวบแล้ว ซึ่งพ่อกับพี่ชายนั้นหวงแม่หนูมาก“หนูขออนุญาตคุณแม่หรือยังครับ คุกกี้กล่องนี้คุณแม่เก็บไว้ให้พี่ๆ กินด้วยหรือเปล่า”“แต็งค์จะกินคุกกี้แลต”พ่อหนูน้อยยืนยัน เป็นอันรู้กันว่าคุกกี้ช็อกโกแลตเป็นของโปรดของเจ้าตัว อย่าหวังว่าจะยอมแบ่งให้ใคร แถมยังทำท่าทางขัดใจอย่างสุดฤทธิ์เมื่อถูกพ่อพูดจาตะล่อมหวังจะให้เปลี่ยนใจ&
หนึ่งเดือนถัดจากนั้น ณ โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่คุณอิงอรเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แตงโมน้อยก็ได้ฤกษ์ออกมาลืมตาดูโลกคุณแม่มือใหม่เข้าไปนอนรอคลอดอยู่ในห้องพักพิเศษสองวัน ลูกชายคนแรกของเธอถึงคลอดออกมา ทารกน้อยเนื้อตัวอวบอ้วน ภัสสราที่มาเยี่ยมหลานในทันทีเมื่อรู้ข่าวก็บอกอย่างตื่นเต้น“เมื่อกี้ฉันไปดูหลานในห้องเด็ก หลานตัวโตมาก แทบจะตัวโตที่สุดในบรรดาเด็กที่นอนเรียงกัน ทั้งที่ขวัญตัวเล็กนิดเดียว แถมตอนท้องก็ไม่ได้อ้วนขึ้นเลย”“น้ำหนักตัวของขวัญก็ขึ้นนะคะ แต่ขึ้นตามเกณฑ์ของคุณหมอ ขวัญกินอาหารตามที่หมอแนะนำ ขวัญไม่ได้กลัวอ้วนนะ แต่ขวัญคิดถึงแต่ลูก อยากให้ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนมากที่สุด”“มันได้ผลจริงๆ นะ เพราะลูกของเธอตัวโตเชียว”“พ่อเขาก็ตัวโต หน้าตาหล่อคมกระเดียดไปทางพ่ออีกนั่นแหละ”คุณจงกลที่อยู่เฝ้าขวัญรดามาทั้งวันพูดแทรกขึ้น เพราะนางพินิจหลานชายอยู่สักพักใหญ่ แล้วจึงได้ข้อสรุปตามนั้น“จริงด้วยสิ ภัสลืมไปเลย”ภัสสราไม่ได้แกล้งน้องเขย แต่เธอลืมไปจริงๆ ว่าหลานชายที่หน้าตาน่
“โดนจนได้นะแคท จำเป็นบทเรียนไว้เลยว่าทีหลังอย่าร้ายกับคนที่ไม่ได้ร้ายกับเรา แต่ถ้าใครร้ายมา เราก็ร้ายตอบ อันนี้ไม่ผิดกติกา แถมเรายังหาแนวร่วมได้อีกด้วย”รุ่นใหญ่ในวงการบันเทิง เพราะทำงานมาตั้งแต่เด็ก พูดด้วยอารมณ์ไม่ได้ดังใจขณะดูข่าวของญาติตัวเองทางโทรศัพท์มือถือ คนเป็นน้องสาวที่นั่งลูบท้องโตๆ อยู่ข้างๆ ก็ถอนหายใจ“ขวัญรู้สึกไม่ดีเลย มีทางไหนที่เราพอจะช่วยคุณแคทได้บ้างไหมคะ”ยอมรับว่าพอกำลังจะมีลูก เธอก็รู้สึกอ่อนไหวไปเสียหมด ไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตัวเอง ซึ่งภัสสราก็เข้าใจน้องสาวดี“เราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ นะขวัญ เราช่วยใครไม่ได้หรอก ส่วนตัวแคทเองก็มีมูลค่าในวงการบันเทิงมากพอ เดี๋ยวเขาก็ไปต่อได้ เราไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แคททำตัวของเขาเอง ติณณ์ก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันมากเกินไป เขาแค่ตอบโต้แคทเพื่อปกป้องตัวเองและครอบครัว งานนี้เรียกว่าแคทแพ้ภัยตัวเอง”“แต่ถึงกับถูกปลดออกจากละคร มันก็หนักไปนะ”แม้ไม่เคยอยู่ในจุดนั้น หากขวัญรดาคิดว่าตนพอจะเข้าใจความรู้สึกของคัทรียา มันคงไม่ต่
นายชัชชัยเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในสองวันต่อมา ลูกและภรรยาต่างก็เสียใจ แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย...จบสิ้นกันสักทีในส่วนความรับผิดชอบที่มีต่อเหยื่อและครอบครัวนั้น หน่วยงานที่นายชัชชัยสังกัดอยู่ได้ออกมากล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง อีกทั้งพร้อมแสดงความรับผิดชอบโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้นภรรยาและลูกทั้งสองคนของนายชัชชัยก็ไม่ทอดทิ้งใคร นอกจากคำขอโทษที่มีต่อทุกคน พวกเขายังคงให้ความช่วยเหลือผ่านหน่วยงานที่ออกหน้ามาดูแลผู้เคราะห์ร้ายแม้แต่ปกรณ์ซึ่งเป็นสามีของผู้หญิงที่นายชัชชัยเคยชุบเลี้ยง เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ลูกและภรรยาของนายชัชชัยก็ให้ความช่วยเหลือเขาเช่นเดียวกัน ในขณะนี้ปกรณ์ยังคงพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยมีวีรยาคอยดูแลอย่างไม่ยอมห่าง ซึ่งอาการของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้...เป็นอย่างที่ลูกชายของนายชัชชัยคาดไว้จริงๆ ไม่มีญาติของนายชัชชัยมาร่วมงานศพของเขาสักคน ในงานคงมีแต่ภรรยาและลูกที่จัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นอย่างเร่งรีบและรวบรัดเท่านั้นขวัญรดาทำบุญไปให้นายช
“ภัสคุยกับติณณ์อยู่ค่ะ ติณณ์ไม่ให้ขวัญดูข่าว บ้านนั้นจะปิดทีวีทั้งวัน ติณณ์จะคอยติดตามข่าวแล้วบอกกับขวัญเอง ส่วนขวัญก็รู้เรื่องแล้ว ขวัญทำใจกับเรื่องนี้ได้ค่ะ”ภัสสราเคยโกรธนายชัชชัยนักหนาที่ตัดรอนขวัญรดา เขาไม่ยอมรับว่าขวัญรดาเป็นลูกสาว นับตั้งแต่ขวัญรดาย้ายมาอยู่กับครอบครัวของเธอ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยมาหาและไม่เคยติดต่อน้องสาวอีกเลยทว่าในเวลานี้ ภัสสรากลับนึกขอบคุณโชคชะตาที่พาให้เหตุการณ์ในอดีตเบนไปในเส้นทางนั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้ขวัญรดาไม่รู้สึกผูกพันกับพ่อผู้ให้กำเนิด ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป น้องสาวของเธอก็จะทำใจยอมรับทุกเรื่องได้ง่ายขึ้น“แตงโม...แตงโมชื่ออะไรดีครับ เดี๋ยวพ่อเอาชื่อมาให้หนูเลือกนะ”เสียงของว่าที่คุณพ่อดังอยู่เหนือศีรษะ คนท้องที่อิงซบอยู่กับอกเขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง“คุณติณณ์เอาชื่อมาจากไหนคะ”“เว็บไซต์สำหรับตั้งชื่อลูก มีแต่ชื่อมงคลความหมายดีๆ ทั้งนั้น”“งั้นบอกมาเลยค่ะ ขวัญจะช่วยแตงโมเลือกเอง”“ตนุธิป ตนุนันท์ ตนุพัชร์...สามชื่อน