“คำสั่งนายท่านรองขอรับ”
ไม่มีคำใดออกมาจากปากของโม่เหยียนเฉาอีก
เคล้ง! ฮี่ ๆ
เสียงอาวุธกระทบกัน พร้อมทั้งเสียงแตกตื่นของม้าที่แหวกวงล้อมการต่อสู้กลับไปยังทิศทางเดิม การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นก่อนที่จะทันได้หลบหนีอย่างที่ตั้งใจ การปะทะกันบนถนนอันคับแคบสร้างความลำบากให้กับทั้งสองฝ่ายไม่น้อยเพราะต้องระวังหลายด้าน หากใครพลั้งเผลอจุดจบคือความตายอย่างแน่นอน
คณะพ่อค้าต่างถอยร่นติดตามรถม้าไป ฝั่งกลุ่มโจรต่างย่ามใจในความโง่เขลาของคนจากเมืองหลวงที่คิดว่าจะหลอกล่อพวกเขามาติดกับ ทว่าเป็นพวกเขาชำนาญพื้นที่มากกว่าและกำลังจะกำชัยในครั้งนี้ แม้ในใจลึก ๆ แล้วพวกเขาหวั่นว่ารถม้าที่นำไปก่อนจะมิอาจประคองผ่านโค้งของหุบเขาแห่งนี้ไปได้ หากว่าสิ่งที่หมายปองอยู่ในนั้นทั้งหมด เท่ากับพวกเขาเสียแรงเปล่าเมื่อรถม้าหลุดร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เพียงลับเหลี่ยมผาไปมิถึงเสี้ยวเวลา สิ่งที่หลายคนหวาดหวั่นก็ได้เกิดขึ้นจริง เสียงม้าร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวตามมาด้วยเสียงหนัก ๆ ร่วงไถลลงกระทบผาหินทำให้คนทั้งหมดถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งอก โม่
เหยียนเฉามัวแต่เหลียวมองไปยังรถม้าซึ่งมีน้องชายและหลานสาวทั้งสองอยู่ภายในฉึก!
ร่างสูงใหญ่เสียหลักลอยลงไปจากขอบผาอันสูงชันโดยผู้ติดตามมิอาจช่วยเอาไว้ได้ทัน เพราะตัวพวกเขาเองก็มิอาจรอดพ้นจากคมอาวุธแล้วเช่นกัน
“พลาดจนได้ หาทางลงเขา เราจะไปเอาสมบัติทั้งหมดในรถม้ามาให้ได้”
ผู้มาดหมายในสมบัติทุกคนจึงหันหลังกลับเพื่อจะออกค้นหารถม้าที่ตกลงไปยังเบื้องล่าง การปล้นครั้งนี้นับว่าล้มเหลวที่สุดสำหรับโจรเช่นพวกเขา
“ช้าก่อนท่านหัวหน้า ข้าเกรงว่าเรายังปล่อยให้มีคนรอดชีวิตอยู่นะขอรับ”
“ใครกัน”
มิถามเปล่า ร่างสูงก้าวตรงไปยังทิศทางตามสายตาของคนสนิทในทันที ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ายกยิ้มน้อย ๆ เมื่อมองต่ำลงไปยังขอบหน้าผาเห็นร่างของใครบางคนยังห้อยตัวอยู่ ก่อนหันกลับไปเอาคันธนูพร้อมลูกศรจากคนของตน แล้วยกขึ้นเหนี่ยวสายธนูจนสุดแรง ค่อย ๆ เบนหัวลูกศรไปยังเป้าหมาย
ฟึ่บ!
ลูกศรอันใหญ่ถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วและตรงเป้าหมายเสมือนการจับวางก็มิปาน ร่างของคนผู้นั้นร่วงลงไปเปรียบดั่งใบไม้ที่หลุดลอยจากกิ่งก้าน
ห่างออกไปอีกด้านของป่าบนต้นไม้สูงชัน ชายในชุดดำกว่าห้าคนได้มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความสงบ
เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว รวมทั้งกลุ่มโจรได้จากไปจนหมดสิ้น ทั้งห้าจึงได้ก้าวไปยังจุดปะทะกันในทันที ทุกอย่างคือความสูญเสีย ผู้นำทั้งสองของคณะได้สิ้นใจยังก้นผาลึก ทุกอย่างช่างง่ายดาย มิต้องลงมือให้เปลืองแรงแม้แต่น้อย
“ส่งสาร์นให้แก่นายท่าน ว่าเสี้ยนหนามหลักถูกกำจัดแล้ว”
“ขอรับ”
ชายชุดดำทั้งห้าได้หายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้ลมหายใจของคณะพ่อค้าจากเมืองหลวง ที่จำต้องสังเวยชีวิตให้แก่ความประมาทของพวกเขาเอง
เมืองหลวง
ภายในตลาดเมืองหลวงดูจะคึกคักกว่าที่เคยเมื่อมีประกาศแต่งตั้งพระสนมจากต่างแดนขึ้นสู่ต่ำแหน่งเฟยอีกคน ทั้งยังมีข่าวว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับพระนางเต๋อเฟยให้สมพระเกียรติในอีกเร็ววัน จึงทำให้บรรดาขุนนางน้อยใหญ่พากันหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อเตรียมการเข้าร่วมในงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้น
มิเว้นแม้แต่เหล่าคหบดีจากทั้งในและต่างแคว้น ต่างพากันนำสินค้าเข้ามายังเมืองหลวงชีเป่ยเพื่อค้าขายหาผลกำไรจากบรรดาบุตรธิดาของเหล่าผู้มีอันจะกิน
อีกทั้งข่าวลือมากมายในทางดีและไม่ดีได้กระจายไปทั่วทุกหัวมุมถนนเลยก็ว่าได้ ข่าวลือเหล่านั้นก็มิอาจหนีพ้นเรื่องของฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินทางกลับสู่เมืองหลวงในเวลานี้
เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำสนิทหยุดชะงักในทันใดเพื่อฟังคำพูดที่เหมือนจะไร้ความเกรงกลัวต่ออำนาจแห่งราชวงศ์ เรียวปากหนาคลี่ออกน้อย ๆ พร้อมทั้งถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะก้าวต่อไปช้า ๆ อย่างมิเร่งรีบอันใด โดยมีผู้ติดตามอยู่ด้านหลังเพียงสองคนเท่านั้น
ทั้งสามคนรู้ดีว่านับตั้งแต่ก้าวลงจากเรือก็ได้ถูกจับตาชนิดที่เรียกได้ว่าแทบสิงกายพวกเขาทั้งนายบ่าวเลยก็ว่าได้ แต่ทว่า คนพวกนั้นยังไม่รู้จักเขาดีพอ
‘คนสกุลจ้าวใช่สหายพวกเจ้ารึ ถึงคิดจะหยอกเย้าเสมือนข้าเป็นลูกเจี๊ยบ หึ ๆ แล้วข้าจะแสดงความอ่อนโยนให้ได้เห็นกันถ้วนหน้า’
เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มทำให้ผู้ติดตามทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ พวกเขารู้นิสัยผู้เป็นนายดี ว่าถ้าลองได้แสดงอาการเช่นนี้แล้วนั้น สิ่งที่ตามมาจะต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
“ครานี้ ข้าว่าคงต้องมีสกุลใดสักสกุลหายไปเป็นแน่”
“เจ้าน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วมิใช่รึ นับตั้งแต่ก้าวออกจากเกาะ”
“ฮา ๆ”
ชายหนุ่มผู้เดินนำหน้าหยุดเท้าลงอย่างกะทันหัน เมื่ออยู่ ๆ คนของตนได้พากันหัวเราะเสียงดัง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุการณ์ใดตลกขบขันถึงปานนั้น คิ้วหนาย่นเข้าหากันก่อนจะ...
พลั่ก! โครม!
ยังมิทันได้หันกลับไปเอ่ยถามผู้ติดตามทั้งสอง ทว่าบัดนี้ ร่างสูงสง่าเป็นอันต้องล้มคว่ำไปยังร้านขายผลไม้ด้วยแรงกระแทกจากผู้ติดตามทั้งสองที่ชนเขาอย่างแรง ทำให้แตงโมหลายผลถึงกับแตกกระจาย ทั้งยังเปรอะเปื้อนเนื้อตัว จนเวลานี้ความหล่อเหลาก็มิอาจช่วยอันใดเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“นายท่าน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ยังมีหน้ามาถามข้าอีกรึ พวกเจ้าเดินมิมองทางเลยหรืออย่างไรกัน ข้าเป็นสหายพวกเจ้ารึถึงได้กล้าทำเช่นนี้กับข้า”
จ้าวอวิ๋นเสียงเขียวใส่ผู้ติดตามทั้งสองที่กำลังช่วยกันพยุงร่างของผู้เป็นนายขึ้น ชายหนุ่มพยายามใช้ความเคร่งขรึมกลบเกลื่อนอาการขบขันของตนเองเอาไว้อย่างที่สุด
เขาต่างหากที่เป็นผู้ผิด และช่างน่าขบขันนักกับสภาพในตอนนี้ ทว่าหากเขาเห็นมันเป็นเรื่องเล็กน้อยไป คนที่ตามติดพวกเขาอยู่ก็จะรู้ว่าที่ผ่านมานั้น นิสัยคุณชายเจ้าอารมณ์คือสิ่งที่เขาเสแสร้งมันขึ้นมา
“พวกข้ามิได้ตั้งใจขอรับนายท่าน ได้โปรดอภัยให้พวกข้าด้วยเถอะนะขอรับ”
ผู้ติดตามทั้งสองรีบคุกเข่าลงยังพื้นถนน ก่อนจะหมอบตัวสั่นอยู่แทบเท้าของผู้เป็นนาย แต่ใครจะหารู้ไม่ว่า อาการสั่นสะท้านไปทั้งกายของสองผู้ติดตามไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัวผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย แท้จริงแล้ว ทั้งคู่พยายามข่มกลั้นอาการขบขันเสียมากกว่า
“ฮึ! พวกเจ้ายังบังอาจร้องหาคำว่าอภัยจากข้าอยู่อีกรึ”
“เอ่อ! ขะ…คุณชายขอรับ คือว่า…”
“อะไร…”
น้ำเสียงห้วนสั้นของชายหนุ่มทำให้ชายชราผู้เป็นเจ้าของร้านผลไม้ถึงกับสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวั่นเกรง ด้วยฐานะที่แตกต่างทำให้ชายชราเริ่มหวาดหวั่น ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้รับการชดใช้เป็นแน่
“ร้านของข้าน้อย…พะ…พังเสียหายมากนะขอรับ”
“แล้วอย่างไร ข้าต้องชดใช้สินะ”
“ขอรับ”
จ้าวอวิ๋นยังคงทำหน้าตาบึ้งตึง พร้อมทั้งปัดไปตามเสื้อผ้าที่ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษผลไม้ ก่อนจะชำเลืองมองชายชราเจ้าของร้านที่ยืนตัวสั่นอยู่มิห่างมากนัก
เจ้าอวิ๋นขยับเข้าใกล้ชายชราด้วยท่าทีคุกคาม ทำให้ทุกสายตาของคนในตลาดกลางเมืองหลวงต่างมองคุณชายรูปงามที่ได้กระทำกริยาไม่ดีต่อชนชั้นล่างเช่นชายชราผู้เป็นเจ้าร้านผลไม้ที่ได้รับความเสียหาย
“ข้าจะรับผิดชอบเองทั้งหมดท่านลุง แต่ตอนนี้ ข้าขอท่านเพียงสิ่งเดียว นั่นคือทำตามบทบาทที่ข้าหยิบยื่นให้เท่านั้นเป็นพอ ข้าให้ห้าเท่าของความเสียหายที่เกิดขึ้น”
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ