ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทุกอย่างจบลงด้วยกลิ่นคาวเลือดพร้อมการหายไปของหรู่จงและผู้ติดตาม จะมีเพียงชายหนุ่มชาวบ้านที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยความตื่นกลัวจากเหตุการณ์นองเลือดในครั้งนี้
โม่คังก้าวยาว ๆ ตรงไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียวซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางผู้อารักขา
หมับ!
มือหนาคว้าร่างบางเขาสู่อ้อมกอด พร้อมทั้งลูบไปตามท่อนแขนกลมกลึง ใจที่หวาดหวั่นค่อย ๆ สงบลงเมื่อเห็นนางยังปลอดภัยอยู่ ความเจ็บปวดที่บีบอัดอยู่ในร่างกายเสมือนว่าสูญหายไปเมื่อร่างงามแนบอยู่กับอกแกร่ง
“เจ้าปลอดภัยดีรึไม่ อี้เอ๋อร์ เจ็บที่ใดอีกหรือไม่”
“ข้าปลอดภัยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวตอบเสียงอู้อี้อยู่กับอกของชายหนุ่ม แม้จะพยายามเงยหน้าขึ้นมองคนที่โอบร่างตนอยู่ ทว่ากลับถูกมือหนากดเอาไว้แน่น หรู่อี้ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น แม้จะยังไร้แสงสว่าง ทว่า ความเขินอายก็เริ่มลามเลียไปทั่วทั้งใบหน้า
ทุกคนต่างรีบจัดการกับเศษซากของการต่อสู้ที่จบลงแล้วให้กลับเข้าสู่สภาพเดิม โดยผู้ที่บาดเจ็บหนักให้ดูแลตนเองไปก่อน หรู่จงในคราบของชายชาวบ้านคอยชำเลืองมองผู้เป็นนายอยู่เป็นระยะ ด้วยอาการของโม่คังยังคงไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง แต่เขายังหาจังหวะเข้าแทรกหนุ่มสาวคู่นั้นมิได้เลย
‘มิห่วงตนเองบ้างเลย ข้าจนคำพูดเสียจริง’ ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนใจกับความรั้นของผู้เป็นนาย แต่เขาจะทำสิ่งใดได้เมื่อมันคือความประสงค์ของอีกฝ่าย
หรู่จงมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของโม่คังด้วยความคะนึงหา นางเติบโตมากนักเวลานี้ ความงามมิเป็นรองผู้ใดเลย ทั้งยังเข้มแข็งยิ่งนัก นานเพียงใดแล้วนะที่เขามิได้สวมกอดน้องน้อยนับตั้งแต่นางจากบ้านมา
“ท่านแม่ทัพ”
เจี่ยเต๋าเอ่ยเบา ๆ ข้างกายผู้นำของตน ก่อนจะโน้มกายเข้าใกล้
หรู่จงเพื่อบอกกล่าวบางเรื่องที่เขาคิดว่ามันสำคัญมากทีเดียว“ตามน้ำไป อย่าเพิ่งทำให้ไก่ป่าตัวงามแตกตื่นก่อนจะถึงเวลา” หรู่จงเอ่ยเหมือนเปรยกับสายลม เจี่ยเต๋าเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
“ขอรับ”
ทั้งคู่ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อกันอีก ทำเพียงเดินไปช่วยผู้อื่นจัดการตั้งค่ายพักขึ้นมาใหม่ แม้ฝนจะเริ่มซาลงบ้างแล้ว ทว่า ฟ้ายังคงมืดเกินกว่าที่จะเสี่ยงเคลื่อนย้ายที่พักไปยังจุดอื่น
ห่างออกไปอีกด้าน ร่างบางที่เปียกโชกเพ่งมองไปยังสองร่างที่โอบกอดกันแนบแน่นด้วยความริษยา มือบางบีบกันแน่น ทว่า นางกลับมิรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
‘คนเช่นข้าจะไม่มีวันพ่ายแพ้ ใจข้ารวดร้าวเพียงใด เจ้าก็ต้องได้รับผลตอบแทนมากกว่าข้าหลายเท่านัก หรู่อี้!’
คณะของพี่น้องสกุลโม่รุ่นใหญ่เช่นโม่เหยียนเฉาและโม่เหยา ยังคงนิ่งเฉยกับภัยที่กำลังคืบคลานตามหลังมาอยู่มิห่าง รอยยิ้มอย่างมีความในของทั้งคู่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หมวกปีกกว้าง ก่อนจะกระตุกม้าให้ก้าวเร็วขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย เสมือนทั้งหมดกำลังสนุกกับการหยอกเย้าของคนที่ติดตามมาเพื่อหวังผลประโยชน์จากคณะของพวกเขา
“เจ้ามั่นใจนะว่าหลาน ๆ ของเราจะปลอดภัย น้องพี่”
“อย่าห่วงพวกนางเลย อย่างไรเสีย หลานน้อยทั้งคู่ก็รับมือทุกอย่างได้ดีกว่าเราเสียอีก ท่านพี่”
“ฮา ๆ”
เสียงหัวเราะของคนทั้งคู่ดังขึ้นอย่างอดมิได้ ทำให้กลุ่มคนที่ลอบมองอยู่พากันยิ้มเยาะในความโง่เขลาของเหล่าคหบดีจากเมืองหลวง ที่หลงละเลิงในอำนาจวาสนาจนขาดการระวังภัย
ฟึบ! ฮี้ ๆ
ทว่ายังไม่ทันได้คิดสิ่งใดต่อ ลูกธนูนับสิบกลับพุ่งลงมาปักขวางหน้าเสียก่อน จนทำให้ม้าที่ถูกรั้งบังเหียนอย่างกะทันหันต่างตะกายเท้าขึ้นสูงด้วยความตกใจ เหล่าผู้ติดตามต่างพากันถอยร่นลงไปยังรถม้าคันใหญ่ในทันทีเพื่อคุ้มกันคุณหนูทั้งสอง
“คุ้มกันหลาน ๆ ของข้า อย่าให้มันผู้ใดได้แตะต้องแม้เพียงปลายเล็บ” ผู้อาวุโสตะโกนสั่งเสียงก้อง
“ทราบแล้วขอรับนายท่าน”
เสียงตอบรับประสานกันขึ้นอย่างพร้อมเพรียง สองพี่น้องสกุลโม่ต่างพากันรับมือการจู่โจมแบบมิเห็นแม้แต่เงาของศัตรู มีเพียงลูกธนูเท่านั้นที่พุ่งเข้าหาหมายเอาชีวิตของคนทั้งคณะ
พรึ่บ!
ลูกธนูที่มีไฟติดได้ปักยังหลังคารถม้า โม่เหยาสะกิดปลายเท้าเหินกายขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะวางเท้าลงยังหลังคารถม้า
“คิดจะเผาหลานสาวทั้งสองของข้า ยังเร็วไป”
เสียงคำรามดังก้องของโม่เหยาประหนึ่งต้องการประกาศให้คนที่ซุ่มโจมตีได้รู้ว่าภายในรถม้ามีผู้ใดอยู่ แม้จะมีเสียงอาวุธกระทบกับห่าธนู ทว่าก็มิอาจกลบเสียงของชายชราผู้ยืนตระง่านอยู่บนหลังคารถม้าได้ ทำให้กลุ่มโจรต่างพากันหูผึ่งขึ้นในฉับพลัน
รางวัลสำหรับโจรเช่นพวกเขาคงหนีไม่พ้นบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ หากได้ครอบครองพวกนาง ย่อมเอื้อประโยชน์มิน้อย
แต่เพียงชั่วพริบตา ชายชราที่เคยยืนอยู่บนหลังคากลับประจำในตำแหน่งคนบังคับม้าเสียอย่างนั้น
โม่เหยากระตุกบังเหียนอย่างแรง เพื่อบังคับม้าให้ออกวิ่งพารถม้าฝ่าวงล้อมออกไป โดยมีโม่เหยียนเฉาพร้อมผู้ติดตามพากันกรูตามรถม้าอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยคุ้มกันเจ้านายของตน
“ตามพวกมันไป ชิงรถม้าและทรัพย์สินทั้งหมดมาให้ได้ ที่เหลือกำจัดซะ” คำสั่งของผู้นำกลุ่มโจรตะโกนก้อง พร้อมพากันกรูออกจากที่ซ่อน ไล่กวดคณะพ่อค้าจากเมืองหลวงอย่างมิยอมลดละเช่นกัน
โม่เหยียนเฉาผู้ควบม้ารั้งท้าย เอี้ยวตัวกลับไปมองเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความในที่ยากจะมีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น
“ข้ายังพอมีเวลาเล่นสนุกอีกเล็กน้อย พวกเจ้าช่างก้าวเท้ามาสร้างความสำราญใจให้แก่ข้าได้ถูกเวลายิ่งนัก หึ ๆ”
กลุ่มโจรที่ไล่กวดคณะพ่อค้าอย่างมิยอมลดละนั้น หาทันได้ฉุกคิดสิ่งใดไม่ ว่าเวลานี้ รถม้าได้ถูกควบตรงไปยังทิศทางใดกันแน่ เป้าหมายของพวกเขาคือช่วงชิงสิ่งมีค่าและสาวงาม จึงไม่สนสิ่งอื่นใดแล้วในตอนนี้
โม่เหยากระตุ้นม้าให้ตรงไปยังเส้นทางริมผาที่นับว่าอันตรายมิน้อย ทว่า พวกเขาพร้อมแล้วที่จะทำให้ผู้สังเกตการณ์ของศัตรูซึ่งจับตาทุกคนที่เดินทางเข้าเมืองหลวง เกิดความหันเหจากคณะของเขาได้อย่างสิ้นเชิง เพื่อจะได้เลิกสนใจพวกเขาและง่ายต่อการเดินทาง
กลุ่มโจรได้ตอบแทนคุณแผ่นดินแล้วในครั้งนี้ โดยการมาปล้นคณะได้อย่างเหมาะเจาะเสมือนการจับวางหมากที่คุ้มค่าและตรงเวลาที่สุด
เชือกหลายเส้นถูกคว้าออกมาจากรถม้าโดยหนึ่งในผู้คุ้มกัน เสมือนทุกอย่างถูกตระเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้า มิว่าจะเป็นฝ่ายโจรที่ดูราวกับกระหายในการไล่ล่า หรือแม้แต่ฝั่งพ่อค้าสกุลโม่เองก็เช่นกัน
กลุ่มโจรหยุดชะงักเพียงชั่วขณะ ก่อนจะพุ่งติดตามคณะพ่อค้าไปอย่างกระชั้นชิด เสียงก้อนหินหลุดร่วงกระทบหน้าผาลาดชันดังก้องหุบเขาด้วยจำนวนคนและรถม้าที่วิ่งอย่างมิคิดชีวิตเหยียบย่างผ่านทาง
“พานายท่านใหญ่หนีไป เร็วเข้า”
เหล่าผู้ติดตามไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เพราะทางด้านหน้าเป็นแนวโค้งที่อันตรายมากหากควบคุมรถม้าได้ไม่ดีพอ ทั้งหมดเหินกายเข้าหานายใหญ่ที่ควบม้าปิดท้าย โดยมีผู้ติดตามเพียงสามคนที่ควบม้าประกบเท่านั้น
เชือกในมือของหนึ่งในผู้ติดตามพันเข้ายังรอบเอวของผู้เป็นนายใหญ่ ก่อนจะเหินกายเข้าหาพร้อมทั้งคว้าจับพาผู้เป็นนายออกจากหลังม้าที่เริ่มจะเสียหลักบ้างแล้ว ด้วยหนทางที่แคบและอีกด้านเป็นผาลึก
“เจ้าคิดจะให้ข้าทิ้งน้องชายของข้ารึ”
โม่เหยียนเฉาเอ่ยเสียงกร้าว แต่มิได้ขัดขืนคนของเขา เพราะหากทำเช่นนั้นอาจเป็นอันตรายต่อทุกคน สายตาเหยี่ยวมองตามหลังรถม้าไป ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ด้านหน้าคือความตาย ด้านหลังก็มิต่างกัน คราแรกดูเหมือนพวกเขาจะได้เปรียบมิน้อย ไยตอนนี้สถานการณ์มันดูกลับตาลปัตรไปเสียได้
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ