หรู่อี้ยังจำเรื่องเมื่อบ่ายวันก่อนได้ดี ตอนที่นางตามผู้เป็นนายไปยังลำธารหลังจวนนั้น สิ่งที่นางเห็นคือชิงชิงได้เดินขึ้นจากลำธาร ก่อนจะเดินหายไปยังอีกด้าน โดยรอบบริเวณกลับมิพบร่างของเจ้านายที่ควรต้องนั่งหรือเดินเล่นอยู่ แถว ๆ ข้างริมลำธารเช่นทุกครั้งที่ท่านหญิงชอบทำเป็นประจำ
นางรีบวิ่งไปยังจุดที่ชิงชิงเดินขึ้นมา จึงได้เห็นร่างของเจ้านายคว่ำหน้าอยู่ในน้ำ หรู่อี้รีบกระโจนลงไปรวบร่างไร้สติของเจ้านายขึ้นจากน้ำ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางของท่านหญิงโม่ขึ้นฝั่งโดยไม่ได้แสดงสีหน้าว่าคนที่สิ้นสตินั้นหนักเกินไปสำหรับร่างบอบบางของนางสักนิด หรู่อี้ดูเหมือนคนที่
มีกำลังมากกว่าสาวใช้ทั่วไปมากนัก
ซึ่งความเป็นจริงแล้ว นางมิได้เป็นเพียงสาวใช้ แต่เป็นองครักษ์ที่ติดตามมาจากซานชี แต่ไม่อาจเปิดเผย เพราะนางได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องเจ็ดให้ปิดเป็นความลับ เพื่อคอยดูแลผู้เป็นนายอยู่ห่าง ๆ ด้วยเหตุผลบางประการที่นางเองก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกัน
หรู่อี้เร่งช่วยเหลือผู้เป็นนายให้กลับมาหายใจอีกครั้ง น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมานองหน้า เพียงแค่ลับตานางมิถึงครึ่งชั่วยาม ไม่คิดว่าคนใกล้ตัวจะเป็นคนลงมือ
หากไม่เป็นเพราะนางติดตามท่านหญิงมาในนามสาวใช้ เรื่องเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น นางได้รับคำสั่งให้จัดเตรียมของใช้อยู่ในเรือน จึงทำให้ติดตามมาทีหลัง
“แค่ก ๆ”
โม่ไป๋หลานสำลักน้ำออกมา ก่อนที่หรู่อี้จะจับร่างบางของผู้เป็นนายตะแคงข้าง เพื่อให้ไอเอาน้ำออกมาให้หมด โม่ไป๋หลานยังคงไร้เรี่ยวแรง ดวงตายังปิดสนิทอยู่เช่นเดิม มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาของหญิงสาวเท่านั้นที่ทำให้หรู่อี้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“ท่านหญิง หรู่อี้อยู่นี่แล้ว มิต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง”
หรู่อี้ช้อนอุ้มร่างบางของเจ้านายขึ้นสู่อ้อมกอด ก่อนจะใช้วิชาตัวเบามุ่งตรงไปยังเรือนไป๋หลาน เมื่อใกล้ถึงส่วนที่มีทหารพลุกพล่าน นางจึงมิได้วิชาตัวเบาเช่นคราแรก ทำแค่เพียงพยุงร่างอ่อนปวกเปียกเอาไว้มิให้ล้ม แล้วเรียกให้คนมาช่วย
เมื่อพาผู้เป็นนายกลับมายังเรือนไป๋หลาน เรื่องที่ฮูหยินในท่านแม่ทัพหยางซานหลางจมน้ำก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที หมอประจำ
ตระกูลได้ถูกเชิญมาตรวจอาการของโม่ไป๋หลานอย่างเร่งด่วน
จากผลการตรวจอาการของฮูหยินน้อย นางอ่อนแรงมากแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่เกินสามวัน จึงทำให้หรู่อี้และทุกคนที่เกี่ยวข้องถูกสอบสวน
ผลที่ออกมากลับมีเพียงนางผู้เดียว ที่กลายเป็นผู้กระทำความผิดด้วยการลอบสังหารผู้เป็นนาย เมื่อนางพูดในสิ่งที่เห็น มันกลับกลายเป็นเช่นตอนนี้
หลังบอบบางของหรู่อี้เริ่มปริแตก จากการถูกโบยของทหารในจวน ทำให้น้ำตาที่ไหลนองในคราแรกมันเริ่มเหือดแห้งไปทีละน้อย
หากผู้เป็นนายต้องตาย นางก็ยินดีตายตามเพื่อไปคอยรับใช้ยังโลกแห่งวิญญาณ และทุกภพชาติไป
“พี่ซานหลาง! ถ้าอย่างไร...อย่าให้หรู่อี้ต้องถึงโทษตายเลยนะเจ้าคะ กวานเอ๋อร์ขอร้อง”
วงหน้าหวานที่ยังมีน้ำตาเอ่อคลอ ทั้งยังใช้น้ำเสียงกึ่งออดอ้อนชายหนุ่ม เพื่อร้องขอความเห็นใจ แม้ว่าภายในความรู้สึกที่แท้จริงนางสุขจนล้นเลยก็ว่าได้
“กวานเอ๋อร์ บ่าวชั้นต่ำมันใส่ร้ายเจ้า ยังจะให้พี่ไว้ชีวิตนางอยู่อีกหรือ”
น้ำเสียงนุ่มของแม่ทัพหนุ่มสร้างรอยยิ้มงามแก่หญิงสาวไม่น้อย แต่มันทำให้หลายคนที่ยืนข้างฮูหยินน้อยเกิดความไม่พอใจอยู่มากทีเดียว ใช่ว่าท่านหญิงแต่งเข้าจวนมาแล้วจะสร้างปัญหาอย่างที่หลายคนพูด
นางมีน้ำใจและเมตตาต่อบ่าวไพร่เสมอ จนกลายเป็นว่ามีพวกที่เหิมเกริม ได้ใจในเมตตานั้น มิยำเกรงต่ออำนาจของนาง และหวังให้ท่านแม่ทัพแต่งภรรยารองเข้ามาอีกคน เพื่อคานอำนาจของฮูหยินน้อย แต่จนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของบ่าวไพร่ที่หวังหาที่พึ่งใหม่เท่านั้น เพราะฮูหยินน้อยยังคงเป็นหนึ่งไม่มีสองอยู่นั้นเอง
“มันไม่แปลกนี่เจ้าค่ะ ที่หรู่อี้จะคิดเช่นนั้น ในเมื่อกวานเอ๋อร์ไปกับท่านพี่ไป๋หลาน และอยู่ ๆ ก็หายไป นางก็ต้องสงสัยในตัวกวานเอ๋อร์เป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”
เสียงหวานยังคงเอ่ยออกมา เหมือนแก้ตัวให้แก่หรู่อี้ แต่หากฟังให้ดี มันคือการตอกย้ำว่า หรู่อี้กำลังให้ร้ายนางนั่นเอง
“เจ้าใจดีเกินไปแล้ว...เด็กน้อย โม่ไป๋หลาน นางกำลังจะตาย จึงมิจำเป็นต้องรับโทษจากเรื่องราวที่นางได้ก่อเอาไว้ หากว่ามิเห็นแก่เจ้า พี่จะลากนางมาโบยให้สาสมกับสิ่งที่นางได้กระทำ กี่ครั้งแล้วที่ไป๋หลานเรียกร้องความสนใจจากพี่ โดยการทำให้ตัวนางเองบาดเจ็บอยู่บ่อย ๆ เจ้าก็เหลือเกิน ยังคอยมาดูแลนางอยู่เป็นประจำ ทั้งที่นางคอยกลั่นแกล้งเจ้ามาตลอด”
คำพูดที่บ่งบอกความเอ็นดูที่มีต่อหญิงสาวของแม่ทัพหยาง ทำให้หรู่อี้ขบกรามแน่นด้วยความแค้นเคืองแทนผู้เป็นนาย เวลาผ่านมาหลายปีไม่มีสักคราที่ท่านแม่ทัพจะพูดจาดี ๆ กับฮูหยินน้อย เช่นที่กำลังทำอยู่กับญาติผู้น้องของเจ้านายในขณะนี้
หรู่อี้ได้แต่ขบฟันแน่นเพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวด ที่กำลังได้รับจากการถูกโบย
ตุบ! ตับ!
เสียงดังลอดออกมาจากลานฝึกทหารของจวนเข้าสู่โสตประสาทของหญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งมิได้ส่งเสียงหรือสัญญาณว่ามีตัวตนอยู่ตรงนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเวลานี้ ฮูหยินน้อยของบ้านได้มายืนฟังอยู่ยังหลังประตูทางเข้าลานฝึก ซึ่งตอนนี้ ทุกคนรวมกันอยู่ด้านในเพื่อดูการลงโทษสาวใช้ของนาง
สองมือกำหมัดแน่น จนเส้นเลือดปูดโปนอย่างเด่นชัด ความรู้สึกมันฝังใจของหลี่ถิงเรื่องสามีกับน้องสาวแอบเป็นชู้กัน จนถึงขนาดร่วมกันฆ่าเธอ
หญิงสาวยังไม่รู้หรอกว่าน้องสาวเจ้าของร่างนี้จะเหมือนกับเจสซิก้าและราฟาเอลหรือไม่ แต่ทางที่ดีเธอไม่ควรประมาทกับทุก ๆ เรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจของผู้หญิง มันน่ากลัวและซับซ้อนเป็นที่สุด การแย่งชิงความรักมักจบลงด้วยเลือดและการสูญเสีย
‘เธอต้องไม่อ่อนแอ ถิงถิง สู้ ๆ’
หลี่ถิงปลอบใจตัวเอง ก่อนที่เธอจะก้าวไปเผชิญกับความจริงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
หลิวเจินเจิน ฮูหยินใหญ่ของบ้านผู้เป็นมารดาของแม่ทัพหยางซานหลางก็เริ่มทนฟังมิได้แล้วเช่นกัน สะใภ้คนนี้ นางเลือกมาด้วยตนเอง จะอย่างไรนางมั่นใจว่าโม่ไป๋หลานไม่ได้ทำอย่างที่บุตรชายกล่าวหาแน่นอน
เมื่อความอดทนหมดลง ร่างระหงของหลิวเจินเจินจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาบุตรชายและญาติของลูกสะใภ้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย นางอาบน้ำร้อนมาก่อน ไยจะมองสายตาของทั้งคู่มิออก ว่ามันเกินคำว่าพี่เขยกับน้องภรรยา
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ