เธอจึงรีบหลับตาลงอีกครั้ง และลืมขึ้นช้า ๆ แล้วหันมองไปรอบ ๆ
ตัวอีกครั้งอยู่หลายรอบ จนแน่ใจว่านี้เป็นเรื่องจริง ก่อนที่หลี่ถิงจะก้มลงมองฝ่ามือของตัวเองเป็นอันดับแรก ก่อนจะพลิกดูหลังมือ ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อเห็นเล็บมือที่สั้นลงและไร้สิ่งแต่งแต้มแน่นอนมันต้องมีสีสัน...ไม่ใช่แบบนี้!
ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นลูบใบหน้า ไล่ลงมาตามลำคอ จนสัมผัสกับเส้นผมที่ยาวสลวย ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ของเธอเอง เพราะผมของเธอมันไม่ได้
ยาวขนาดนี้ หลี่ถิงรวบดึงเส้นผมตัวเองแรง ๆ จนรู้สึกเจ็บ
‘ไม่ใช่วิกผม ใจเย็นถิงถิง...เธอแค่กำลังฝันไป’
“นะ…นี่มันอะไรกัน ฉันอยู่ที่ไหน”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะสำรวจร่างกายของตัวเองในส่วนอื่น ๆ ที่ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะทุกสัดส่วนมันไม่ใช่ตัวเธอเลยสักนิดเดียว
หลี่ถิงตัดสินใจก้าวลงจากเตียงเพื่อหาใครสักคนมาให้คำตอบแก่เธอ แค่เพียงหย่อนเท้าลงพื้น ร่างบางก็ลุกพรวดขึ้น เป็นเหตุให้ล้มหน้าทิ่มพื้น
‘อูยยย เจ็บจัง’
หลี่ถิงนั่งแหมะอยู่กับพื้น พร้อมเอามือลูบหน้าผากเบา ๆ
หญิงสาวนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นใหม่ พอมั่นใจว่าลุกไหว คราวนี้เธอจึงค่อย ๆ เกาะขอบเตียงยืนขึ้นแล้วจับไปตามโต๊ะและเครื่องเรือนที่พอจะพยุงตัวไม่ให้เธอล้มลงอีกครั้ง เพื่อที่จะเดินหากระจกสักบานที่จะปลดล็อกความข้องใจของเธอในตอนนี้
บนโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีกระปุกลวดลายงดงามมากมายวางอยู่เรียงรายเต็มไปหมด มีแผ่นทองเหลืองขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่
หลี่ถิงค่อย ๆ นั่งลงและมองดูในแผ่นทองเหลืองที่ถูกขัดจนมันวาว ซึ่งได้สะท้อนภาพใบหน้าของเธอในตอนนี้ สองตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
‘ผู้หญิงคนนั้นนี่! แล้วทำไมถึงไม่ใช่ฉัน มันเกิดอะไรขึ้น!’
ความฝันนั้นมันคืออะไร ภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริง หรือว่า….
ทุกอย่างเริ่มฉายวนในหัวของหลี่ถิง เหมือนม้วนฟิล์มที่ถูกกรอกลับ
มาฉายซ้ำ เพื่อยืนยันความทรงจำสุดท้าย ก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมานั่งอยู่ตรงนี้ ดวงตาคู่งามหลับลงช้า ๆ เพื่อซึมซับความทรงจำที่กำลังไหลบ่าเข้ามาเหมือนสายน้ำเชี่ยว
เรื่องราวที่เธอเคยคิดว่ามันคือความฝัน แท้จริงแล้วมันเกิดกับเจ้าของร่างกายที่เธอครอบครองอยู่ในตอนนี้สินะ
โม่ไป๋หลาน ชื่อของหญิงสาวที่มีหน้าตางดงามราวเทพธิดา ผู้หญิงที่โอบกอดเธอและเสียงหวานไพเราะ ซึ่งเคยเอ่ยเรียกเธออย่างแผ่วเบาอยู่ข้าง ๆ หู คือหญิงสาวคนนั้นที่ถูกหักหลังจากคนใกล้ตัวนั่นเอง ซึ่งมันไม่ต่างจากเธอเลยจริง ๆ
‘เราสองคนเหมือนกันมากเกินไปไหมโม่ไป๋หลาน ทั้งนิสัยใจคอแทบจะไม่ต่างกันเลย แม้แต่ตอนสิ้นใจ เรายังน่าอนาถเสมือนคนคนเดียวกัน ความต่างของเราคือยุคสมัยเท่านั้น’
หลี่ถิงกำลังคิดทบทวนทุกอย่างอยู่นั้นต้องหยุดชะงักลง เมื่อเธอได้ยินเสียงคนกำลังร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จึงได้เอียงหูฟังอีกครั้ง จนแน่ใจว่าใช่เสียงร้องของคนจริง ๆ หญิงสาวจึงได้ตัดสินใจที่จะออกไปหาความจริงด้วยตนเอง ยิ่งการตายของเจ้าของร่างไม่ใช่จากป่วยไข้ซึ่งเธอรู้ดีกว่าใคร จะให้เธอมานั่งรอจนเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกไม่ได้เด็ดขาด
หลี่ถิงลุกได้ขึ้นยืนก้มสำรวจชุดที่ใส่อยู่ มันดูไม่เหมาะจะออกไปข้างนอกเอาเสียเลย เธอเป็นนักแสดงมาก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี้คือชุดนอนของยุคโบราณ ตอนนี้ เธอมั่นใจไปแล้วครึ่งหนึ่งว่านี่ไม่ใช่โลกที่เธอเกิดและเติบโตมา ซึ่งยืนยันได้จากร่างอ้อนแอ้นที่จิตวิญญาณของเธออาศัยหายใจอยู่นี้ยังไงล่ะ…
และในแผ่นทองเหลืองตรงหน้าเมื่อครู่นี้ เป็นสิ่งพิสูจน์ซึ่งเธอไม่อาจ
ปฏิเสธได้เลยว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของตนเอง จะมีเพียงความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นที่เป็นของเธออย่างแท้จริง
นับจากนี้ไป เธอต้องระวังตัวให้มาก เพราะมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ในละครหรือภาพยนตร์ที่เธอเคยเล่น มันคือเรื่องจริง ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้
ถ้าต้องพบเจอเหตุการณ์อะไรระหว่างนี้ สิ่งแรกที่จะต้องทำคือตามน้ำไปก่อน เพื่อรักษาชีวิตใหม่ให้หายใจได้ต่อไปยาว ๆ เสียก่อน ค่อยมาคิดอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป
หลี่ถิงรวบรวมกำลังทั้งหมดเดินไปยังฉากกั้นซึ่งอยู่อีกมุมห้อง และด้านหลังมีเสื้อคลุมแขวนอยู่สองสามตัว เธอจึงหยิบมาสวมใส่แบบลวก ๆ ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป หญิงสาวหยุดเท้าลงด้านหน้าเพื่อฟังให้แน่ใจว่าเสียงร้องโหยหวนนั่นมาจากทิศทางใด
เมื่อมั่นใจถึงที่มา สองเท้าของหญิงสาวขยับออกเดินมุ่งตรงไปในทิศทางนั้นทันที แม้ร่างกายจะไม่พร้อม แต่เพราะอะไรไม่รู้ ใจของเธอมันกลับเรียกร้องให้ต้องไป เหมือนกับว่ามีใครจับจูงเธอให้ก้าวเดินและคอยกระซิบแผ่วเบาตามสายลมมา ว่าถ้าหากเธอกลับไปนอนต่อ ชีวิตใหม่นี้อาจต้องสูญเสียใครสักคนที่มีค่าสำหรับเธอและร่างนี้ไปตลอดกาล
‘ได้โปรดหลี่ถิง ช่วยนางด้วย!! หรู่อี้ นางกำลังถูกปรักปรำ’
……………
“ได้โปรดท่านแม่ทัพ หรู่อี้ไม่ได้ใส่ร้ายผู้ใดนะเจ้าคะ บ่าวพูดความจริงทั้งหมด มิได้โป้ปดแม้แต่ครึ่งคำ ฮือ ๆ”
หรู่อี้ สาวใช้ติดตามท่านหญิงโม่ไป๋หลานกำลังถูกลงโทษในข้อหา ซึ่งนางมิได้เป็นผู้กระทำ น้ำตาของหญิงสาวไหลรินด้วยความแค้นใจ หากวันนี้ นางตายไป นายสาวของนางก็อาจมิพ้นชะตาเดียวกันเป็นแน่
“กำแหงเกินไปแล้ว บ่าวกล้าใส่ร้ายนาย และยังใส่ร้ายเพื่อนของตนเองอีก ช่างต่ำช้ายิ่งนัก!”
น้ำเสียงทรงพลังเปล่งออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดของแม่ทัพหยางซานหลางผู้เป็นสามีของท่านหญิงโม่ หากข่าวเรื่องภรรยาของเขาหลุดออกไปนอกจวน แล้วยังหาตัวคนร้ายมิได้ จวนแม่ทัพจะหลงเหลือเกียรติอันใดให้คนนับหน้าถือตาอีกต่อไปเล่า
“พี่ซานหลาง! ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ หรู่อี้คงแค่ทำตามคำสั่งของพี่ไป๋หลานเท่านั้น แต่เกิดผิดพลาดจนท่านพี่! ฮือ ๆ ๆ นางอาจมิรอด นางคงไม่ได้ตั้งใจใส่ความผู้ใดหรอกเจ้าค่ะ จริงหรือไม่ หรู่อี้”
หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างแม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปถาม
สาวใช้ของญาติผู้พี่ของตน โดยสองมือเรียววางจับไว้บนแขนแกร่ง ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใส ๆ เต็มหน่วยตาทั้งสองข้าง ทำให้คนฟังสงสารจับใจ
“โบยต่อไปจนกว่ามันจะตาย เลวทั้งนายและบ่าว คิดว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วจะทำอันใดก็ได้หรืออย่างไร ตามกฎมนเฑียรของชีเป่ย ฮ่องเต้ทำผิดมีโทษเท่าสามัญชน เชื้อพระวงศ์ก็เช่นกัน นางแต่งแก่สกุลหยางต้องทำตามกฎของตระกูลเท่านั้น หรือนายเจ้าลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว เห็นหรือไม่คุณหนูจีกวานฮวานางมีเมตตาต่อบ่าวไพร่เช่นเจ้าเพียงไหน ยังบังอาจใส่ความนาง ช่างต่ำช้าเป็นที่สุด”
หรู่อี้เงยหน้าขึ้นมองญาติผู้น้องของเจ้านายด้วยสายตาโกธรแค้นแทนท่านหญิงของนางนัก ซ้ำตัวนางเองก็ถูกเพื่อนสนิทเช่นชิงชิงใส่ความอีกด้วย
เมื่อนึกถึงเพื่อนรัก หรู่อี้จึงมองเลยไปยังชิงชิงที่ยืนร้องไห้สะอื้น
เบา ๆ อยู่ด้านหลังของจีกวานฮวาภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ