แชร์

บทที่ 5

ผู้เขียน: ซือซิง SiXing
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-08 10:59:17

บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)

“สกุลไป๋แห่งตรอกอิ๋นซิ่ง…ตรอกอิ๋นซิ่ง” หวังหย่งพึมพำ ทวนสิ่งที่ได้ยิน “คิดว่าวันมะรืนคนส่งผักน่าจะมาที่จวน บ่าวจะสอบถามให้ท่านขอรับ”

คนฟังพยักหน้า “หาโอกาสให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้ยิน”

เขาไม่ปรารถนาให้ใครยุ่มย่าม

โม่ซือเฉินหยิบเอาเหรียญกลมเจาะรูตรงกลางจากถุงใบเล็กที่ท่านอาเย็บให้เป็นของขวัญ มอบแก่คนสนิทหนึ่งเหรียญและสั่งให้มอบแก่คนส่งผัก “บอกเขาว่าให้คอยส่งข่าวสกุลไป๋แก่เจ้า ปิดปากให้สนิทด้วย ไม่อย่างนั้นงานง่าย ๆ รายได้ดีจะไม่มีให้ทำอีก”

“ขอรับ”

“จำไว้ว่าต่อจากนี้ไม่ต้องเสวนากับคนจากเรือนฟางอี๋เหนียง

หากเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศไม่เป็นไร แต่นอกเหนือจากนั้นให้ตอบว่าไม่รู้

สถานเดียว บอกคนอื่นในเรือนของเราด้วย”

หวังหย่งรับคำแข็งขัน

คืนนั้นก่อนดับไฟเข้านอน คุณชายรองสกุลโม่นำทรัพย์สินของตนออกมานับ พบว่าเงินตราสำหรับซึ่งนำไปจับจ่ายนั้นมีไม่น้อย โดยเงินเก็บส่วนมากเป็นท่านย่ามอบให้ ส่วนของมีค่านอกจากเครื่องประดับหยกและเงินจำพวกปิ่นกับหยกสลักชิ้นเล็กสำหรับห้อยเอวก็ไม่มีอย่างอื่นอีก เครื่องประดับสูงค่าหลายชิ้นท่านอาเป็นผู้เก็บ รอกระทั่งเขาโตกว่านี้ถึงค่อยมอบให้เก็บรักษาด้วยตัวเอง

โม่ซือเฉินรู้ดีว่าวันหน้าตนจะมีทรัพย์สมบัติมากมายซึ่งแลกมาจากหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อ นี่ไม่รวมสินสมรสเดิมของท่านแม่ที่แบ่งให้เขากับ

พี่ใหญ่ ไหนจะกิจการซึ่งท่านย่าแบ่งให้หลาน ๆ อีก เรียกว่าเขาและโม่หรงอี้ร่ำรวยไม่น้อยหน้าคุณชายบ้านใดในเมืองหลวง ครั้นคิดถึงสินสอดหลายสิบหีบที่สกุลโม่เคยมอบให้สตรีผู้ครั้งหนึ่งเคยแต่งเป็นภรรยาตนเองแล้ว

ฉับพลันหัวใจบีบรัดรุนแรง เด็กชายเผลอกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขึ้นริ้วขาว

ไม่เป็นไร

ชีวิตนี้โม่ซือเฉินจะมอบสินสอดให้คนที่ถูกต้อง ทั้งเกียรติยศ ความหรูหรา ความสะดวกสบายจะถูกมอบแด่ผู้ที่คู่ควร

หัวใจของเขาต้องไม่แหลกสลายยับเยินอีก

อีกชีวิตเขาอาจเคยสนใจ ทว่าไม่ได้ให้โอกาส มัวหลงใหลกับรูปโฉมภายนอก ซ้ำยังเคยทำร้ายจิตใจผู้ปรารถนาดีกับตนอย่างไม่น่าให้อภัย

จวบจนช่วงเวลาสุดท้ายถึงตระหนักว่าสตรีจากสกุลไป๋ผู้นั้นคือไข่มุกล้ำค่าที่ตนโยนทิ้งแล้วหยิบเอาก้อนกรวดมาถือ

ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งไว้ให้นางเพียงแหวนหยกดำ ครานี้ทุกสิ่งที่

โม่ซือเฉินมี คุณหนูไป๋จะได้ครอบครองเช่นกัน

ช่วงเวลาชื่นมื่นช่วงปีใหม่ผ่านมาได้ระยะหนึ่ง อีกไม่กี่วันคุณชายใหญ่แห่งจวนคังโหวต้องเดินทางกลับไปฝึกที่สกุลเฮ่อ

กริ๊ก!

เสียงถ้วยชากระแทกโต๊ะค่อนข้างดัง หญิงชราซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งกลางโถงชำเลืองมองบุตรชายที่ทำเสียงดังเมื่อครู่ โม่เหล่าฟูเหรินสบตาบุตรสาวเพื่อขอคำอธิบาย โม่กุ้ยหลันกลับส่ายหน้า ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดพี่ชายถึงออกอาการฉุนเฉียวยามโม่หรงอี้ขออนุญาตพาน้องชายติดตามไปฝึกฝนที่สกุลเฮ่อ

“เร็วเกินไป” บิดาให้คำตอบในทันที อารมณ์เบิกบานเริ่มขุ่นมัว “หากทิ้งการเรียนไปตอนช่วงสำคัญเช่นนี้ วันหน้าพื้นฐานจะอ่อนแอ ต่อไปจะศึกษาเล่าเรียนลำบาก”

“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ท่านลุงได้เชิญอาจารย์มาสอน

ธรรมเนียม มารยาท จารีต ยังมีปรัชญากับหลักศีลธรรมในการปกครอง อ้อ…การเขียนอ่านยังมีท่านน้าหยางช่วยดูแล”

“ท่านน้าหยาง? เจ้าหมายถึงใต้เท้าหยาง หยางเส้าเฟิน”

โม่เทียนฉินเลิกคิ้วก่อนมีสีหน้าตกใจ คาดไม่ถึงว่าสกุลเฮ่อสามารถเชิญคนผู้นั้นมาอบรมลูกหลาน ครั้นนึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นญาติกับภรรยาของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ถึงแค่นหัวเราะไม่น่าฟังหนหนึ่ง

บรรดาศักดิ์โหวของตนไม่ยิ่งหย่อน แต่มิอาจเทียบกับคนที่ถวายงานต่อหน้าพระพักตร์เป็นประจำได้ “ใต้เท้าหยางเป็นขุนนางใหญ่ จะมีเวลามาสั่งสอนพวกเจ้าได้อย่างไร คงมาตรวจการคัดอักษรของพวกเจ้าปีละครั้งกระมัง”

การแสดงออกแสนใจแคบของคังโหวเกรงว่าคนนอกคงไม่มีวันล่วงรู้

ความจริงโม่เทียนฉินนั้นเหมือนเสือกระดาษ ต่อให้มีหน้าที่การงานน่านับถือ แต่พอพูดถึงผู้ที่มีอำนาจในมือแท้จริง ความริษยาในอกส่งผลให้ค่อนข้างเก็บอาการไม่อยู่

“ข้าพูดจริง ๆ ขอรับ” โม่หรงอี้สะกดความจริงซึ่งเกือบหลุดพูดไว้ตรงปลายลิ้น ในจวนสกุลเฮ่อมีหลายอย่างสมควรถูกเก็บเป็นความลับ เขาพูดออกมาเท่านี้ก็นับว่าเกินพอ “น้องรองเคยล้มป่วย หากได้ฝึกร่างกายต่อไปจะได้แข็งแรง ยามพบโรคภัยไม่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน”

ท่าทีของบิดายังไม่แปรเปลี่ยน เดาว่าสาเหตุอาจมาจากความบาดหมางส่วนตัวระหว่างพี่ภรรยากับน้องเขย

“ไม่ต้องพูดแล้ว น้องเจ้ายังเล็ก ไว้อีกสองปีค่อยมาคุยเรื่องนี้”

โม่เทียนฉินรวบรัดตัดบท เรียกสาวใช้ยกของว่างเข้ามา

โม่หรงอี้เม้มปาก เด็กหนุ่มหันไปสบตาผู้เป็นย่าเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าผู้อาวุโสไม่ทันออกโรง เสียงดังตึงเบาๆ กลับเรียกความสนใจทุกคนเมื่อโม่ซือเฉินคุกเข่าลงบนพื้นข้างพี่ชาย

“ท่านพ่อ” โม่ซือเฉินเอ่ยด้วยท่าทางสำรวม “ไม่นานมานี้อาจารย์ซ่งได้สอนข้าว่าแนวทางของบัณฑิตหรือนักรบล้วนไหลเวียนอยู่ในโลหิตของลูกหลาน วีรชนสกุลโม่และสกุลเฮ่อสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินเทียนเหรินมาหลายชั่วอายุคน ข้าจำได้ว่าท่านปู่เป็นคนพาข้าขึ้นหลังม้า ขี่ชมนอกเมือง สอนให้คุ้นเคยกับการจับดาบ ข้าเชื่อว่าด้วยสายเลือดสกุลโม่ในตัวไม่มีทางสร้างเรื่องขายหน้าให้จวนโหวของเรา”

ดวงตาผู้ฟังภายในห้องปรากฏคลื่นอารมณ์หลากหลายหลังคุณชายรองยกคำสอนของอาจารย์มาพูด

สีหน้าฟูเหรินกับโม่กุ้ยหลันฉายความปลาบปลื้มระคนภูมิใจ ทว่าโม่เทียนฉินกลับวางสีหน้าไม่ถูก กระอักกระอ่วนกับประโยคของบุตรชายคนรอง อาจารย์ซ่งซึ่งถูกอ้างถึงตนเป็นผู้เชิญมาสอนด้วยตนเอง เนื่องจากสกุลโม่ยิ่งใหญ่มาได้เพราะบรรพชนเชี่ยวชาญการทหาร แม้นับย้อนไปสามรุ่นอาจมีบางคนในตระกูลรับราชการฝ่ายปกครอง แต่บิดาของเขาที่จากไปราวสองปีก่อนยังเคยสร้างชื่อในศึกกับพวกคนเถื่อนนอกกำแพง

บรรดาศักดิ์โหวซึ่งตกทอดมาได้รับพระราชทานจากความกล้าหาญในสนามรบ โม่เทียนฉินกลับเป็นแกะดำ ต่อสู้ไม่เอาไหน ลำพังกว่าจะขี่ม้าได้ยังลำบากแทบแย่ เทียบกับน้องสาวไม่ติดด้วยซ้ำ

“ท่านพ่อ” โม่ซือเฉินเห็นว่าสมควรตีเหล็กตอนกำลังร้อน แววตาคิดไม่ตกของบิดาคือสัญญาณให้เขาพูดต่อ แต่แล้วกลับถูกขัดกลางคันโดย

ฟางอี๋เหนียง นางไม่ต้องการเปิดโอกาสให้เด็กชายทำตามปรารถนา

“คุณชายรอง นี่เพราะท่านโหวคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักถึงได้ไม่

ยอมให้…”

“เงียบ! นี่หาใช่เรื่องที่เจ้าควรสอดปาก” คำพูดของโม่กุ้ยหลันเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องโถงได้อย่างน่าอัศจรรย์

นางเลี้ยงหลานชายคนรองมาตั้งแต่แบเบาะ เห็นความลำเอียงของพี่ชายนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นใครก็สามารถแสดงตนเป็นผู้อาวุโสต่อหน้าเฉินเกอของนางได้ แต่ต้องไม่ใช่ฟางอี๋เหนียง

“เอาละ ๆ มีแต่คนในครอบครัวทั้งนั้น” โม่เทียนฉินใช้น้ำเย็นเข้าลูบ สำหรับน้องสาวที่เคารพรักพี่สะใภ้ผู้ล่วงลับดุจพี่สาวแท้ ๆ อนุของเขาย่อมเปรียบเสมือนเสี้ยนหนาม เกะกะขวางหูขวางตาเป็นธรรมดา “เจ้าอย่ารุนแรง

นักเลย”

“ขะ ข้าไม่ระวัง เสียมารยาทเองเจ้าค่ะ” ฟางอี๋เหนียงกล่าวเสียงเบาพลางก้มหน้า ลูบหลังโม่เหวินซึ่งขยับมายืนข้างตน กิริยาสองแม่ลูกเจียมเนื้อเจียมตนจนน่าสงสาร “ข้าเพียงอยากให้คุณชายรองเห็นความหวังดีของท่านโหว”

โม่เทียนฉินผงกศีรษะ พอใจกับความเห็นนี้ รู้สึกได้รับความเป็นธรรมเมื่อมีคนเข้าข้าง

ดวงตาคมปลาบของโม่เหล่าฟูเหรินตวัดมองสตรีที่ยืนกุมมือสงบเสงี่ยมอยู่หลังบุตรชายเพียงคนเดียวของตน

“อนาคตหลานข้าไม่ต้องรบกวนเจ้าช่วยคิดแทนหรอกฟางอี๋เหนียง” เสียงหญิงชราติดแหบอยู่บ้าง ทว่าการออกเสียงยังชัดถ้อยชัดคำ ฟังดูมีอำนาจ “ไว้ถึงคราวเหวินเอ๋อร์ค่อยลำบากเจ้าออกความเห็น”

ต่อให้บนศีรษะมีเส้นผมสีดอกเลาแซมอยู่ไม่น้อย ความเฉียบขาดของคนเป็นย่ากลับมิได้ลดลง โม่หรงอี้และโม่ซือเฉินต่างคิดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไม่กล้าเจ้าค่ะ ๆ ”

อนุลำดับที่หนึ่งเม้มปาก รีบออกตัวว่าอนาคตยังต้องฝากฝังบุตรชายเพียงคนเดียวให้เหล่าฟูเหรินอบรมสั่งสอน

เมื่อฟางอี๋เหนียงถูกปรามโดยผู้อาวุโส นอกจากคังโหวไม่ออกหน้าแก้ตัวแทนเหมือนคราวน้องสาว ยังเริ่มนั่งไม่ติดกระสับกระส่ายกว่าเดิม “ท่านแม่ เรื่องนี้…”

“แม่เข้าใจ” โม่เทียนฉินเตรียมคลี่ยิ้มแทบหุบปากไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของมารดา “เจ้างานการรัดตัว หากไม่สะดวกข้าจะไปสกุลเฮ่อเพื่อฝากฝังเฉินเกอแทน”

มารดาร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเก่า อีกทั้งอากาศเพิ่งอบอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อย หากปล่อยมารดานั่งรถม้าท่ามกลางความเย็นเยี่ยงนั้นไม่เท่าเป็นลูกอกตัญญูหรอกหรือ

“ท่านแม่” คังโหวเอ่ยเสียงเบา

ต่อให้เป็นญาติเกี่ยวดองกันยังต้องคงไว้ซึ่งมารยาท คิดส่งบุตรชายไปกินอยู่หลับนอนเพิ่มอีกคนควรมีคนสกุลโม่เดินทางไปด้วย คราวโม่หรงอี้นั้นเป็นการจัดแจงของภรรยา พอโม่หรงอี้อายุครบเจ็ดปี แม่ทัพเฮ่อหรือเฮ่อเสียนตง

ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงได้เดินทางมาพบโม่เหล่าฟูเหรินและรับหลานชายไปฝึกด้วยตนเอง

สำหรับโม่ซือเฉิน แน่นอนว่าคำสั่งเสียของคนตายไม่อาจไม่ทำตาม

อย่างไรเสียสิ่งที่โม่เทียนฉินคิดเจ็บใจมาตลอดมิใช่เรื่องนี้ แต่เป็นสายตากับท่าทีของเฮ่อเสียนตงต่างหาก เขารู้ว่าคนสกุลเฮ่อดูแคลนว่าตนไม่อาจเอาดีด้านการทหารอย่างบิดา มิหนำซ้ำยังไม่พอใจเรื่องฟางอี๋เหนียง ทว่าโม่เทียนฉินคิดว่าตนให้เกียรติและปฏิบัติต่อภรรยาเอกได้ไม่ขาดตกบกพร่อง อนุคนโปรดของเขาต่างหากต้องรองรับความเกลียดชังอันไม่เป็นธรรม

ความจริงเขามีอนุอีกคนคือซูอี๋เหนียง ผู้อื่นกลับคิดเดียดฉันท์แค่ฟางอี๋เหนียงคนเดียว เพราะรูปลักษณ์งดงามตรึงใจของนางคงทำให้เฮ่อซื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่สบายใจนัก โม่กุ้ยหลันสนิทสนมกับพี่สะใภ้พาลไม่ชอบหน้าอนุผู้นี้ของพี่ชายไปด้วย

โม่ซือเฉินลอบชำเลืองสีหน้าบิดา ครั้นเห็นตอนอีกฝ่ายแลกสายตากับฟางอี๋เหนียงพอดีพลันสะอิดสะเอียน อยากหัวร่อกับ‘รักลึกซึ้ง’ของทั้งคู่ ขณะเดียวกันก็เฝ้ารอวันที่จะคิดบัญชีอย่างใจจดใจจ่อ

“เจ้าไม่สะดวกใจพบหน้าแม่ทัพเฮ่อ? ช่างเถอะ ให้อากาศดีกว่านี้อีก

สักหน่อย ข้ากับกุ้ยหลันจะไปสกุลเฮ่อเอง ทุกอย่างเอาตามนี้ พวกเจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ ข้าอยากพักแล้ว อี้เกอเฉินเกอมาพาย่ากลับเรือน”

“ขอรับ” สองพี่น้องลุกไปพยุงหญิงชรา ช่วยจัดเสื้อคลุมและประคองนางออกจากห้องโถง

ฝ่ายโม่เทียนฉินมีนัดกับสหายต่อ หลังฟางอี๋เหนียงออกไปส่งขึ้นรถม้าหน้าประตูใหญ่นางจึงกลับเรือนมานั่งพัก

“เหอะ! แก่เทื้อคาเรือนไม่มีผู้ใดมาสู่ขอเพราะความเจ้าอารมณ์”

ใบหน้าหวานก่นด่าผู้ที่หักหน้าตนอย่างโม่กุ้ยหลัน ร่างอ้อนแอ้นส่งของว่างเข้าปาก จากนั้นถึงดื่มชาข่มอารมณ์หงุดหงิด โม่เหวินนั้นได้เวลาเข้าเรียนกับอาจารย์ซ่งเลยไม่ได้อยู่ข้างมารดา

“สกุลเฮ่อยิ่งใหญ่นักหรือไง เทียนเหรินเรามีแม่ทัพนายกองมากมาย เฮ่อเสียนตงก็แค่แม่ทัพผู้หนึ่ง วันหน้าตายไปก็มีคนมาแทนที่”

สาวใช้คนสนิทช่วยบีบนวดขาเพื่อเอาใจนายมีสีหน้าครุ่นคิดขณะฟัง

“อี๋เหนียงเจ้าคะ บ่าวพอจะรู้จักคนในเรือนคุณชายรองเฮ่อ”

ฟางอี๋เหนียงตาลุกวาว เร่งสาวใช้เล่าเกี่ยวกับคนผู้นั้น
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 34

    เสิ่นจื่อเหลยนิ่งไปคล้ายกำลังตรึกตรองบางสิ่ง“มีสิ่งใดอยากพูดหรือ”คนโดนถามส่ายหน้าในท้ายที่สุด เห็นเช่นนั้นหลี่หงหมิงเลยไม่เซ้าซี้ เพียงเอ่ยสั้น ๆ “วันนี้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ หากเห็นว่าอะไรไม่ชอบมาพากลพรุ่งนี้บอกข้าก็ยังไม่สาย”“พ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของเสิ่นจื่อเหลยชำเลืองมองไปยังทิศที่คนสกุลโม่นั่ง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 33

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (2/2)ดวงหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนหวาน แม้อยู่ท่ามกลางสหายหลายคนยังโดดเด่น ไม่ว่ามองจากมุมใดโจวเจินอวี่นับว่าดูเป็นมิตรไร้พิษภัย ไป๋อวี้เสวียนแปลกใจว่าไฉนเด็กหนุ่มซึ่งชะลอการเดินลงจนตีคู่กับตนคล้ายนิ่งอึ้งอยู่หลายอึดใจ ถ้าบอกว่าเป็นอาการตกตะลึงในรูปลักษณ์ของคุณหนูโจวก็ดูไม่เป็น

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 32

    ลูกศรดอกต่อมาถูกโยนลงอย่างแม่นยำราวจับวางในแถวห้า หนนี้ผู้ที่คิดดูถูกเริ่มพากันยิ้มไม่ออก ต่างจากโม่หลิงจูซึ่งตบมือเสียงดังพลางยิ้มกว้างจนตาหยีเคร้ง!ศรดอกสุดท้ายลงเป้าง่ายดายในแถวที่ห้าอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี“ยอดเยี่ยม!” ผู้ครองอันดับหนึ่งปรบมือเสียงดังพลางเดินเข้ามาหาเขา น้ำเสี

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 31

    ไป๋อวี้เสวียนเคยเป็นคนไม่มั่นใจและค่อนข้างขี้อายเก็บตัว ทว่าการได้กลับมาเมืองหลวงและพำนักข้างกายท่านย่าช่วยปลอบประโลม ขจัดความคิดแง่ลบทีละนิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลุดพ้นจากอนุชั่วร้ายกับแม่นมที่ทรยศนางอย่างเลือดเย็น การเติบโตของนางเลยราบรื่น ได้ร่ำเรียนสิ่งที่สตรีพึงรู้ ศิลปะ ดนตรี กิริยามารยาท การเข้

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 30

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (1/2)“คุณหนูไป๋” โม่หลิงจูกล่าวทักด้วยความยินดีที่ได้พบคนคุ้นเคย เสิ่นจื่อเหลยได้ยินเช่นนั้นพลันหันไปสบตาไป๋อวี้เสวียนคล้ายขอคำอธิบาย“ข้ารู้จักกับนาง พวกเราเคยพบกัน” คุณหนูสกุลไป๋เอ่ยคล้ายมีแววตาพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าผู้ฟังชั่วอึดใจ เพียงแต่นอกจากโม่ซือเฉินก็ไม่มีผู้ใดสัง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 29

    พี่ชายยกมือป้องแดดให้น้องสาว ไม่ทันเรียกพี่เลี้ยงของโม่หลิงจูให้ส่งร่มมาพลันได้ยินเสียงพรึบพร้อมเงาทาบลงมาเหนือศีรษะร่างเล็กข้างตัว เป็นเสิ่นจื่อเหลยมือไว ฉวยร่มจากบ่าวกางให้เด็กหญิง โม่ซือเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยยามพบว่าร่มเงาหาได้เผื่อแผ่มาถึงตนหรือโม่เหวิน“ขออภัย ข้ามัวสนทนาจนลืมว่าเจ้าอาจจะร้อน”“ไ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status