แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: ซือซิง SiXing
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-09 21:27:01

บทที่สาม เหล่าองค์ชาย (1/2)

หลังโม่เหล่าฟูเหรินลั่นวาจาในโถงจะเป็นผู้พาโม่ซือเฉินไปฝากฝังกับสกุลเฮ่อด้วยตนเอง โม่กุ้ยหลันได้เริ่มตระเตรียมของขวัญสำหรับมอบให้ฝ่ายนั้น ส่วนอาจารย์ซ่งไม่กล่าวคัดค้านอะไร ถึงเสียดายเพราะอยากมีเวลาถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์คนโปรดมากกว่านี้อีกสักนิด ทว่านอกจากยุทธวินัยซึ่งสมควรเรียนรู้เพื่อต่อยอดสู่การศึกษากลยุทธ์การศึก ด้านร่างกายยิ่งต้องรีบฝึกปรือให้คุ้นชินต่อความลำบาก หากฝึกตอนอายุมากแล้วต่อให้พึ่งพาพรสวรรค์อาจส่งผลให้พื้นฐานไม่มั่นคง กลายเป็นปัญหาภายหลังขุนศึกนามระบือหลายคนยังมีจุดอ่อน หาได้เชี่ยวชาญทุกแขนง หาก

โม่ซือเฉินได้รับโอกาสเพื่อขัดเกลาตนเองเร็วขึ้น นั่นย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี เส้นทางของเด็กชายจะเปิดกว้างขึ้น

“อาจารย์ได้ยินว่าเจ้ามีใต้เท้าหยางกับบัณฑิตเก่งกาจหลายคนดูแลเรื่องการปกครองและจารีตธรรมเนียม เท่านี้ก็รู้สึกวางใจ”

โม่ซือเฉินประสานมือ ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม ไม่ว่าชีวิตไหนล้วนเป็นอาจารย์ซ่งสั่งสอนอบรมจึงมีความรู้กว้างขวาง ไม่อับอายใคร เวลานี้เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิต ไม่อาจเก็บตัวอยู่ในจวนคังโหวจนอายุสิบห้าถึงเริ่มจับอาวุธ ดังนั้นจำต้องบอกลาอาจารย์

“ซือเฉิน อาจารย์อยากตักเตือนเจ้าสักสองประโยค”

“เชิญอาจารย์กล่าว”

ชายวัยกลางคนลูบเคราตนเอง หลุบตาลงมองม้วนตำราอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง “จงพึงระลึกเอาไว้เสมอว่าเวลามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก จงถนอมเวลา ดื่มด่ำกับมันยามเผชิญความทุกข์ เมื่อความสุขมาหาเจ้าจะได้รู้จักรักษา เร็วไปไม่ดี ช้าไปไม่ดี สรรพสิ่งมีจังหวะ จุดเริ่มต้น และจุดจบของมันเอง”

โม่ซือเฉินอึ้งอยู่หลายอึดใจ พอคิดได้ว่านอกอาจารย์แตกฉานเรื่องปรัชญา ยังเลื่อมใสหลักธรรมของศาสนาพุทธซึ่งเผยแพร่คำสอนเข้ามาในดินแดนแถบนี้ได้ราวร้อยกว่าปี จิตใจที่ว้าวุ่นพลันสงบลง เมื่อครู่เพราะนึกว่าอาจารย์ล่วงรู้ถึงความลับของตนเข้าถึงได้ตื่นตระหนก

“ที่สอนไปเข้าใจหรือไม่?”

“ศิษย์จะจดจำไว้คอยเตือนตัวเองขอรับ”

ผู้ฟังพยักหน้าพอใจ จากนั้นถึงเปิดกล่องไม้ขนาดกลางข้างตัว ในนั้นมีกระดาษซึ่งถูกพับไว้วางซ้อนกันเป็นปึก อาจารย์ซ่งสุ่มหยิบออกมาก่อนส่งให้ศิษย์ของตน

“ของเหล่านี้อยู่กับคนแก่ไปก็ไร้ประโยชน์ สหายคนหนึ่งของอาจารย์เป็นยอดนักเดินทาง ซ้ำยังคลั่งไคล้เกี่ยวกับอาวุธต่างๆ เสียดายเขาร่างกายไม่แข็งแรงเท่าไรนัก มักล้มป่วยบ่อยครั้งช่วงฤดูหนาว ก่อนจากไปเขาได้มอบตำรากับบันทึกไว้ให้เมื่อหลายสิบปีก่อน บางม้วนเป็นการจดบันทึกด้วยตนเอง ไม่ได้คัดลอกจากที่ใด ขอมอบให้เจ้าเอาไว้ศึกษา”

ชายวัยกลางคนไปยังหีบขนาดใหญ่ใกล้ชั้นหนังสือ

“แต่ว่านี่…” โม่ซือเฉินคลี่กระดาษสีเหลืองสากออก พบว่าเป็นภาพวาดกระบวนทัพขนาดย่อม สำหรับคุณชายรองโม่ซึ่งผ่านมาหนึ่งชีวิตแล้ว สมควรรู้จักวิธีตั้งค่ายกลหรือจัดกองกำลังแบบต่างๆ มากมาย กลับไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน “สิ่งเหล่านี้ล้ำค่ามากจริง ๆ”

โม่ซือเฉินทั้งประหลาดใจ ทั้งระแวง นั่นเพราะชีวิตก่อนของเหล่านี้อาจารย์ซ่งไม่ได้มอบให้เขา จำได้ว่าตอนอาจารย์หมดหน้าที่และเดินทางกลับบ้านเกิดได้นำหนังสือตำรากลับไปด้วยทั้งหมด

“คุณค่าของมันอยู่ที่ผู้ใช้ หากวันหน้าซือเฉินเติบใหญ่แล้วได้นำมันสร้างประโยชน์ต่อแผ่นดินเทียนเหริน ทั้งอาจารย์และสหายย่อมตายตาหลับ”

“อาจารย์”

“เอาละ ประเดี๋ยวขนของพวกนี้กลับไป วันนี้ไม่ต้องเข้าเรียน”

“ข้าจะกลับมาเยี่ยมอาจารย์บ่อยๆ ขอรับ”

“อืม นอกจากมาเยี่ยมก็ช่วยพูดให้อาเหวินขยันกว่านี้สักหน่อย ทั้งเจ้าและหรงอี้ต่างเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เจ้าที่เป็นพี่ชายโน้มน้าวคงพอเชื่อฟังอยู่บ้าง”

โม่ซือเฉินค้อมศีรษะประสานมือเพื่อบอกลาแต่ไม่รับปากเรื่องโม่เหวิน กับน้องชายต่างมารดาผู้นี้เขาไร้ความปรารถนาดีให้อย่างสิ้นเชิง หากวันหน้ามีโอกาสล้างแค้นก็จะไม่ลังเล

หวังหย่งกับบ่าวอีกคนถูกเรียกเข้ามาช่วยยกหีบคนละข้าง ภายในนั้นมีตำราไม้ไผ่กับสมุดจดมากมาย รวมถึงกระดาษอีกหลายร้อยแผ่น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเหตุการณ์จริงในเหตุสู้รบตามชายแดนรวมถึงการแย่งชินพื้นที่ระหว่างเผ่าของชนนอกด่าน นอกจากนั้นยังมีพิชัยสงครามกับตำรากลไก ขณะเดินครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ ตอนเลี้ยวตรงหัวมุมเรือนรับรองของอาจารย์โม่ซือเฉินกลับพบเข้ากับโม่เหวินซึ่งกำลังเดินมาพอดี

“พี่รอง”

“อาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่”

โม่เหวินผงกศีรษะก่อนชะงักเมื่อเห็นหีบไม้ที่ถูกยกตามหลังโม่ซือเฉินมา

“นั่นคืออะไรหรือ?”

“อาจารย์ยกตำราให้ข้านำติดตัวไปอ่านตอนไปสกุลเฮ่อ ดูเหมือนจะเป็นตำราหายากล้ำค่า”

แววตาคุณชายสามสกุลโม่วูบไหวด้วยความริษยาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงรับคำและขอตัว คล้อยหลังอีกฝ่ายโม่ซือเฉินมุมปากกดลึก ส่ายหน้าให้กับการลองใจเล็กน้อยซึ่งได้รับผลดีเกิดคาด

โม่เหวินยังคงเป็นโม่เหวินที่มีจิตใจทะเยอทะยาน ร้อนรุ่มยามเห็นผู้อื่นได้ดีกว่า ไม่เปลี่ยนแปลงจากความทรงจำของตนในอีกชีวิตเลย

“น้องรอง” ตอนเดินผ่านประตูคั่นสวน โม่หรงอี้ส่งเสียงเรียกน้องชายจากศาลาไม้ “มากินของว่างด้วยกันเร็วเข้า”

เดิมทีโม่ซือเฉินคิดกลับไปหมกตัวในเรือนนอนเพื่อรื้ออ่านตำราและบันทึกที่อาจารย์มอบให้ ทว่าพอถูกเรียกตัวทั้งพี่ชายได้ส่งไม้ตายเป็นเด็กหญิงในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนวิ่งมาออดอ้อน โม่ซือเฉินพลันคลี่ยิ้ม ยอมให้น้องสาวต่างมารดาจับจูงโดยดี

“เอาไปเก็บที่เรือนแล้วรีบมา” หวังหย่งรับคำสั่ง ช่วยบ่าวชายยกหีบไป

“พี่ใหญ่กำลังเล่าเรื่องหรูหวัง[1]ก่อตั้ง…ตั้ง” ดวงตากลมโตคู่นั้นราวกับลูกกวาง แก้มแดงระเรื่อเมื่ออยู่ท่ามกลางอากาศเย็น โม่หลิงจูมุ่นคิ้วเมื่อนึกคำไม่ออก

“ตั้งราชวงศ์” โม่ซือเฉินกล่าวแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายจูงมืออีกฝ่ายแทน

ภายในศาลามีคนอยู่แค่ไม่กี่คน คุณชายใหญ่กับบ่าวคนสนิท คุณชายรอง แม่นมของโม่หลิงจู สาวใช้ยกของว่างจากห้องครัวมาหลังโม่ซือเฉินนั่งลงได้ไม่นาน ครู่หวังหย่งก็ตามมาสมทบ

“จากนั้นเป็นอย่างไรต่อเจ้าคะ”

ความสนุกล่อลวงให้โม่หลิงจูตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องเล่าของโม่หรงอี้ ไม่วอกแวกไปทางอื่น เมื่อประวัติศาสตร์ถูกนำมาถ่ายทอดคล้ายนิทานเรื่องหนึ่งย่อมถูกใจเด็ก ๆ เป็นธรรมดา

“หลังได้รับความช่วยเหลือจากสกุลหลาน หรูหวังสามารถเอาชนะศัตรูสำเร็จ ทรงก่อตั้งราชวงศ์ แผ่นดินเทียนเหรินได้ถือกำเนิดขึ้น”

โม่ซือเฉินนั่งอยู่ข้างน้องสาว เขายกถ้วยขึ้นเป่าไล่ความร้อน กลิ่นหอมลอยแตะจมูกเล็กน้อยยามส่งช้อนเข้าปาก ความเผ็ดร้อนของน้ำขิงบางเบาพอให้ร่างกายอบอุ่นในช่วงอากาศเย็น ไม่ถึงขั้นลิ้นเด็กชายวัยแปดปีรับไม่ไหว ความจริงห้องครัวทำของว่างสองอย่างตามคำสั่งท่านอา นางอยากเอาใจหลานชาย ห้องครัวจึงทำมันเทศต้มน้ำขิงของโปรดคุณชายใหญ่

โม่ซือเฉินนั้นไม่มีปัญหา ทว่าดูเหมือนมันไม่ค่อยถูกปากโม่หลิงจูสักเท่าไรนัก เด็กหญิงเลยกินขนมแป้งอบไส้ถั่วแทน

“จากนั้นทั้งสองได้ครองคู่กันหรือไม่?”

โม่หรงอี้หัวเราะเบา ๆ “ตัวเท่าต้นถั่วงอกเจ้ารู้จักคำว่าครองคู่เสียด้วย”

เด็กหญิงไม่ยอมแพ้ ทวนคำถามซ้ำ “พี่ใหญ่ คุณหนูหลานได้เป็นหวงโฮ่ว[2]ใช่หรือไม่?”

หนุ่มน้อยส่ายหน้า “คุณหนูหลานแต่งกับแม่ทัพใหญ่”

ความจริงหรูหวังมีชายาเอกคู่ทุกข์คู่ยากอยู่แล้ว เมื่อก่อตั้งราชวงศ์สำเร็จนางจึงถูกอวยยศเป็นมารดาของแผ่นดิน สำหรับคุณหนูหลานที่บังเอิญพบหน้าในงานเทศกาลโคมไฟ ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับสงครามซึ่งปะทุขึ้นแทบทุกหย่อมหญ้าในเวลานั้นเป็นมิตรภาพเยี่ยงสหาย ทั้งยังเป็นการเกื้อกูลในแง่ผลประโยชน์ของตระกูล ภายหลังคุณหนูหลานได้แต่งให้แม่ทัพคนสนิทของพระองค์แทน

“แม่ทัพผู้นั้นหล่อเหลาคู่ควรกับคุณหนูหลาน? ไหนพี่ใหญ่บอกว่าคุณหนูหลานเป็นโฉมสะคราญ เหตุใดไม่ได้อยู่กับคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเล่า”

“เรื่องนั้น…” โม่หรงอี้เกิดอึกอักเมื่อน้องสาวมีท่าทางผิดหวัง

ความคิดของเด็กหกขวบแน่นอนว่าหญิงงามต้องคู่กับยอดบุรุษ ไม่ว่านิทานหรือตำนานเรื่องใดสมควรจบลงอย่างมีความสุข โม่ซือเฉินที่รู้เรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งดีอยู่แล้วเคี้ยวมันเทศในปาก ชำเลืองมองไปรอบ ๆ พบว่าแม่นม สาวใช้ หรือแม้แต่บ่าวของตนล้วนแต่ตั้งใจฟังพี่ใหญ่เล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแผ่นดินเมื่อสองร้อยปีก่อนชนิดตาไม่กะพริบ

“จูจู ความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง” โม่ซือเฉินวางถ้วยของว่าง ช่วยเหลือพี่ใหญ่ซึ่งตกที่นั่งลำบาก

เรื่องนี้เขาพูดจากประสบการณ์ตรงของตน แน่นอนว่าไม่ใช่ประสบการณ์โม่ซือเฉินวัยแปดขวบ ทว่าเป็นแม่ทัพโม่ช่วงวัยหนุ่ม ครั้งหนึ่งเคยมองข้ามสตรีแสนดีเพียงเพราะอคติบังตา จนทุกอย่างสายเกินแก้ถึงกล้ายอมรับกับตนเองว่านางนั้นเฉิดฉายเหนือผู้ใด ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือจิตใจ

“อยู่ที่ผู้มอง?”

“ใช่” เด็กชายลูบศีรษะทุย อธิบายอย่างใจเย็นชนิดแทบเรียกว่าผิดวิสัย “หากถามผู้อื่นว่าเจ้างดงามหรือไม่ พวกเขาอาจตอบแตกต่างกันไป”

เขาใคร่มอบความรักและเมตตาเพื่อชดเชยแก่น้องสาว เนื่องจากอีกชีวิตของตนตอนเจ้าไข่มุกเม็ดงามเพิ่งปักปิ่น[3]ได้ปีเดียวก็ต้องแต่งเข้าสกุลเสิ่น บิดาเขาสนิทสนมกับใต้เท้าเสิ่นเสียขนาดนั้น ตอนเสิ่นฟูเหรินจับคู่ให้โม่หลิงจูกับคุณชายเสิ่นจึงส่งเสริม ทุกอย่างอาจฟังดูไม่เสียหาย หากมิใช่คุณชายเสิ่นเวลานั้นถูกวางตัวเป็นผู้สืบทอด ยกให้กลายเป็นบุตรของภรรยาเอกเพื่อความเหมาะสม ดังนั้นบุตรสาวอนุเช่นน้องสาวของเขาถึงเป็นได้แค่อนุ

“แล้วพี่ใหญ่กับพี่รองคิดว่าข้างามหรือไม่?”

โม่หรงอี้สบตาโม่ซือเฉิน ขณะคนอื่นในศาลาหัวเราะเบา ๆ กับคำถามชวนเอ็นดูนั่น

“แน่นอนว่าจูจูของพวกเรางดงามไม่แพ้ใคร” โม่หรงอี้ตอบชัดถ้อยชัดคำ

“เอาละ รีบกินของว่างให้เสร็จแล้วรีบกลับเรือน ประเดี๋ยวข้ากับพี่รองของเจ้าต้องไปรับแขก”

“เจ้าค่ะ”

โม่ซือเฉินมองน้องสาวซึ่งตั้งหน้าตั้งตากินแป้งอบก่อนลุกไปหาพี่ชาย “ผู้ใดจะมาเยี่ยมที่จวนหรือ”

ทว่าอีกฝ่ายไม่ทันตอบ บ่าวที่ติดตามบิดากลับวิ่งกระหืดกระหอบมาตามพวกเขาไปยังโถงรับแขกของเรือนชั้นนอก

“ท่านโหวให้มาตามคุณชายทั้งสองไปต้อนรับเจิ้งเป่าโหวขอรับ”

- - - - - - - - - - -

เชิงอรรถ

[1] หวังหรืออ๋องมีความแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย เช่น ยุคชุนชิว หวังคือผู้ครองแคว้นหรือรัฐ เทียบได้กับกษัตริย์ เช่น ฉู่จวงหวังแห่งรัฐฉู่ ภายหลังในยุคที่ราชวงศ์ต่างๆ ปกครองแผ่นดินจีน ตำแหน่งหวังได้กลายเป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายชาย เป็นรองเพียงหวงตี้หรือฮ่องเต้ อย่างไรก็ตามผู้นำของประเทศราช เผ่า หรือดินแดนที่อยู่นอกด่านไปถูกเรียกกันว่าหวังเช่นกัน

[2] หวงโฮ่ว หมายถึงฮองเฮา

[3] พิธีปักปิ่นเป็นพิธีที่จัดขึ้นสำหรับหญิงที่มีอายุครบสิบห้าปี แสดงให้รู้ว่าได้ก้าวเข้าสู่วัยสาวเต็มตัว พร้อมออกเรือน
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 34

    เสิ่นจื่อเหลยนิ่งไปคล้ายกำลังตรึกตรองบางสิ่ง“มีสิ่งใดอยากพูดหรือ”คนโดนถามส่ายหน้าในท้ายที่สุด เห็นเช่นนั้นหลี่หงหมิงเลยไม่เซ้าซี้ เพียงเอ่ยสั้น ๆ “วันนี้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ หากเห็นว่าอะไรไม่ชอบมาพากลพรุ่งนี้บอกข้าก็ยังไม่สาย”“พ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของเสิ่นจื่อเหลยชำเลืองมองไปยังทิศที่คนสกุลโม่นั่ง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 33

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (2/2)ดวงหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนหวาน แม้อยู่ท่ามกลางสหายหลายคนยังโดดเด่น ไม่ว่ามองจากมุมใดโจวเจินอวี่นับว่าดูเป็นมิตรไร้พิษภัย ไป๋อวี้เสวียนแปลกใจว่าไฉนเด็กหนุ่มซึ่งชะลอการเดินลงจนตีคู่กับตนคล้ายนิ่งอึ้งอยู่หลายอึดใจ ถ้าบอกว่าเป็นอาการตกตะลึงในรูปลักษณ์ของคุณหนูโจวก็ดูไม่เป็น

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 32

    ลูกศรดอกต่อมาถูกโยนลงอย่างแม่นยำราวจับวางในแถวห้า หนนี้ผู้ที่คิดดูถูกเริ่มพากันยิ้มไม่ออก ต่างจากโม่หลิงจูซึ่งตบมือเสียงดังพลางยิ้มกว้างจนตาหยีเคร้ง!ศรดอกสุดท้ายลงเป้าง่ายดายในแถวที่ห้าอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี“ยอดเยี่ยม!” ผู้ครองอันดับหนึ่งปรบมือเสียงดังพลางเดินเข้ามาหาเขา น้ำเสี

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 31

    ไป๋อวี้เสวียนเคยเป็นคนไม่มั่นใจและค่อนข้างขี้อายเก็บตัว ทว่าการได้กลับมาเมืองหลวงและพำนักข้างกายท่านย่าช่วยปลอบประโลม ขจัดความคิดแง่ลบทีละนิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลุดพ้นจากอนุชั่วร้ายกับแม่นมที่ทรยศนางอย่างเลือดเย็น การเติบโตของนางเลยราบรื่น ได้ร่ำเรียนสิ่งที่สตรีพึงรู้ ศิลปะ ดนตรี กิริยามารยาท การเข้

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 30

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (1/2)“คุณหนูไป๋” โม่หลิงจูกล่าวทักด้วยความยินดีที่ได้พบคนคุ้นเคย เสิ่นจื่อเหลยได้ยินเช่นนั้นพลันหันไปสบตาไป๋อวี้เสวียนคล้ายขอคำอธิบาย“ข้ารู้จักกับนาง พวกเราเคยพบกัน” คุณหนูสกุลไป๋เอ่ยคล้ายมีแววตาพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าผู้ฟังชั่วอึดใจ เพียงแต่นอกจากโม่ซือเฉินก็ไม่มีผู้ใดสัง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 29

    พี่ชายยกมือป้องแดดให้น้องสาว ไม่ทันเรียกพี่เลี้ยงของโม่หลิงจูให้ส่งร่มมาพลันได้ยินเสียงพรึบพร้อมเงาทาบลงมาเหนือศีรษะร่างเล็กข้างตัว เป็นเสิ่นจื่อเหลยมือไว ฉวยร่มจากบ่าวกางให้เด็กหญิง โม่ซือเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยยามพบว่าร่มเงาหาได้เผื่อแผ่มาถึงตนหรือโม่เหวิน“ขออภัย ข้ามัวสนทนาจนลืมว่าเจ้าอาจจะร้อน”“ไ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status