บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนของฟางอี๋เหนียง เสียงคร่ำครวญเรียกชื่อพลางปลอบใจบุตรชายเพียงคนเดียวหลังฉากกั้นทำโม่ซือเฉินสะอิดสะเอียน เด็กชายกลอกตา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ถัดจากหลังพี่ชาย ครั้นนึกได้ว่าท่าทางแบบนี้ไม่สมวัยสักเท่าไรจึงคิดเลื่อนมือมาประสานด้านหน้า ตอนนั้นเองบุรุษในเสื้อคลุมสีอ่อนดูหรูหราพลันก้าวเร็ว ๆ ผ่านพวกเขาไปสมทบกับอนุของตนหลังฉากกั้น ไม่แม้แต่จะหยุดทักทายทายาทจากภรรยาเอกอีกสองคน
โม่ซือเฉินยิ้มเยาะในใจ
ช่างเถิด จะระวังกิริยาไปไยในเมื่อมิมีผู้ใดใส่ใจ ขอแค่ระวังคำพูดหรือสีหน้ายามอยู่ต่อหน้าท่านย่ากับท่านอาก็พอ
“เหวินเอ๋อร์ท่านพ่อของเจ้ามาแล้ว รีบบอกท่านพ่อเร็วเข้าว่าเจ็บที่ใดบ้าง” อนุคนโปรดสะอื้นกล่าว “โชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้กระทบกระเทือนศีรษะหรือไม่”
คังโหวโม่เทียนฉินขมวดคิ้ว ตวาดถามบ่าวชาย “พวกเจ้าตามหมอหรือยัง”
เป็นบุตรชายคนโตส่งเสียงตอบแทนว่าส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจอาการแล้ว คงอยู่ระหว่างเดินทาง
ม้าแคระตัวไม่สูง ตอนตกลงมาศีรษะมิทันกระแทกพื้นด้วยซ้ำ เนื่องจากคนสนิทเข้าช่วยเหลือทัน เพียงฝ่ามือถลอกเล็กน้อย สาเหตุที่โม่เหวินแหกปากเสียลั่นคงเพราะเสียขวัญ ขนาดตนได้แผลจากสนามรบยังไม่โวยวายเพียงนี้ ใจเสาะจนน่าขัน
โม่ซือเฉินจำฝืนทนชมการแสดงฉากสายสัมพันธ์ในครอบครัวต่อไป อันที่จริงฟางอี๋เหนียงยังไม่ได้เข้ามาวุ่นวายมากนักตั้งแต่ตนฟื้นจากอาการป่วยเมื่อสองเดือนก่อน เพียงนำน้ำแกงบำรุงมาฝากให้เขาผ่านท่านอาพร้อมฝากความห่วงใย ถึงโม่กุ้ยหลันรับไว้ตามมารยาทกลับไม่ได้ให้หลานชายคนรองกิน
“เจ้าดูแลเจ้าสามอย่างไร ไฉนเกิดเรื่องได้?”
ประโยคคำถามลอยมาจากหลังฉากไม้ แน่นอนว่าคนตอบต้องเป็น
พี่ใหญ่ของน้อง ๆ
“ท่านพ่อ ข้าระวังเรื่องความปลอดภัยแล้ว…” โม่หรงอี้อธิบายเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงน้ำเสียงไม่ได้ตะกุกตะกักจากความกลัวบิดา กระนั้นหว่างคิ้วยังปรากฏความกังวลจางๆ “อย่างไรท่านก็ซื้อม้าแคระไว้ด้วยเหตุผลนี้ ม้าตัวนั้นไม่เคยพยศ ข้าเลยให้น้องสามที่ยังไม่คุ้นเคยขี่ ก่อนตามมาที่นี่ข้าได้สอบถามพวกบ่าวในคอก ทุกคนต่างบอกตรงกันว่ามันเร่งฝีเท้ากะทันหันเพราะน้องสามกระทุ้งเท้าใส่ท้องมันค่อนข้างรุนแรง”
ต้องเข้าใจว่าอาชาทั้งหลายไม่ว่ารูปร่างหรือสายพันธุ์ไหนล้วนเป็นสัตว์แสนรู้ ถึงถูกฝึกแล้วยังมีความเย่อหยิ่งอยู่พอสมควร มิหนำซ้ำยังสัมผัสได้ว่าผู้ที่อยู่บนหลังพวกมันมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร ตื่นเต้น หวาดกลัว หรือหงุดหงิด หากเจอม้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเข้า คนไร้ประสบการณ์อาจถูกพวกมันแกล้ง การกระทำเอาแต่ใจประเภทใช้กำลังส่งเดชแบบโม่เหวินคงส่งผลให้ม้าแคระหงุดหงิดจนสะบัดเขาลง
โม่เทียนฉินอาจลำเอียงยามเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับฟางอี๋เหนียงและโม่เหวิน แต่ในสถานการณ์ที่มีพยานแวดล้อมกับที่มาชัดเจน เขาย่อมไม่ติดใจ
เดิมทีม้าแคระตัวนั้นถูกตนซื้อมาเพื่อเอาไว้ให้บุตรชายหญิงฝึกจริงดังที่โม่หรงอี้กล่าวอธิบาย
ต้องบอกสักนิดว่าสกุลโม่ภายใต้การดูแลของโม่เทียนฉินหาได้เคร่งครัดเท่าสมัยก่อน การถูกบิดามารดาบังคับกวดขันเรื่องขี่ม้าและฝึกฝนวิชาป้องกันตัวแต่เล็กทำเอาเขาเข็ดขยาด เพราะมีจุดอ่อนในวัยเยาว์ โม่เทียนฉินจึงชอบส่งเสริมด้านการศึกษาเล่าเรียน เขียนอ่านตำราเสียมากกว่า
“ท่านโหวอย่าโทษคุณชายใหญ่กับคุณชายรองเจ้าค่ะ” สตรีในชุด
สีหวานเอ่ยเสียงเครือ โม่ซือเฉินเห็นผ่านเงาร่างบนฉากกั้นว่าฟางอี๋เหนียงกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “พวกเขาไม่มีเจตนาละเลยเหวินเอ๋อร์แน่”
ฟังผ่านๆ เหมือนหวังดี ความจริงกลับพูดชี้นำว่าโม่หรงอี้ละเลยน้องต่างมารดา
โม่ซือเฉินดวงตาหรี่ลง แน่นอนว่าเรื่องนี้หาได้มาจากความตั้งใจหรือแผนการใด หากเขาเจตนาจริง ๆ โม่เหวินคงปางตายแล้ว
“ท่านพ่อ ข้าใจร้อนเอง” โม่เหวินกระตุกชายแขนเสื้อบิดา ถือโอกาสพูดความในใจ “ข้าแค่อยากขี่ม้าได้เร็วๆ ข้าอยากไปฝึกพร้อมพี่ใหญ่บ้าง เคยได้ยินว่าจวนสกุลเฮ่อ…”
บรรยากาศครอบครัวรักใคร่อบอุ่นจางหายในพริบตา สีหน้าคังโหวมืดครึ้มราวถูกเมฆฝนปกคลุม
ฟางอี๋เหนียงร้องในใจว่าแย่แล้ว ใครในสกุลโม่มิทราบบ้างว่าควรเลี่ยงกล่าวถึงบ้านเดิมของฟูเหรินผู้ล่วงลับ ทว่านางคิดข้อแก้ตัวแทนบุตรชายไม่ทัน ทำได้แค่ถลึงตาให้โม่เหวินหุบปาก
โม่เทียนฉินลุกขึ้นสั่งให้บ่าวไปดูว่าหมอมาหรือยัง จงใจไม่ต่อความกับสิ่งที่ได้ยิน “ประเดี๋ยวให้หมอทำแผลที่มือแล้วตรวจศีรษะเหวินเอ๋อร์ให้ละเอียดสักหน่อย ข้าทิ้งแขกมานาน ต้องกลับไปต้อนรับ หากมีอะไรเร่งด่วนให้คนไปตามก็แล้วกัน”
ตอนสาวใช้ของอนุคนโปรดวิ่งหน้าตาตื่นไปแจ้งว่าคุณชายสามตกม้า
คังโหวอยู่ระหว่างต้อนรับสหาย
“เจ้าค่ะท่านโหว”
โม่เทียนฉินเดินไม่ถึงประตูพลันหันกลับมาสั่งบุตรชายคนโตกับคนรอง
“พวกเจ้าทั้งสองคนไปพบข้าที่ห้องหนังสือหลังมื้อเย็น”
“ขอรับ” โม่ซือเฉินคิดว่าบิดาคงจะบอกเรื่องไปร่วมงานเลี้ยงสกุลเสิ่น
รอกระทั่งร่างสูงหายลับไปพร้อมคนติดตาม คุณชายใหญ่ถึงขอตัวกลับไปรอที่เรือนตนเองพร้อมน้องชาย แม้ไม่อคติกับโม่เหวิน โม่หรงอี้ไม่ใคร่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงอนุของบิดาเท่าไรนัก กระนั้นยังบอกว่าจะให้คนมาสอบถามอาการหลังหมอตรวจเสร็จ
“ไม่รบกวนคุณชายทั้งสองเสียเวลาที่นี่แล้ว” ฟางอี๋เหนียงเดินมาส่งหน้าประตู
“อ้อ” โม่ซือเฉินหยุดเท้า หันกลับมาบอกด้วยท่าทางใสซื่อหวังดี “อี๋เหนียงโปรดบอกน้องสามด้วยว่าการไปฝึกที่จวนสกุลเฮ่อนั้นน่าจะยากสักหน่อย ขออย่าตั้งความหวังจนเกินไปนัก”
ถึงกล่าวว่า ‘ฝาก’ ไปบอก เสียงที่พูดกลับไม่เบาเลย คนหลังฉากกั้นไม่มีทางไม่ได้ยิน ฟางอี๋เหนียงตกตะลึงชั่วขณะ ทั้งยังตกใจที่คนพูดคือคุณชายรอง ไม่ใช่คุณชายใหญ่ซึ่งมองออกว่าไม่ชอบตนสักเท่าไร
“อยากฝึกกับสกุลเฮ่อ จำต้องมีสายเลือดสกุลเฮ่อไหลเวียนในกายเท่านั้น”
ชั่วพริบตาหลังคอของผู้ฟังเย็นวาบ มองแผ่นหลังเล็กแคบของเด็กชายซึ่งหมุนกายก้าวเร็วๆ ตามคนเป็นพี่ไป ฟางอี๋เหนียงกลืนน้ำลาย จู่ ๆ เมื่อครู่น้ำเสียงกับแววตาของเด็กคนนั้นชวนให้ขนลุกอย่างประหลาด
เดิมงานเลี้ยงสกุลเสิ่นคือสถานที่พบกันระหว่างโม่เหวินกับคุณชายเสิ่น ทว่าเหตุการณ์แปรเปลี่ยนเนื่องจากโม่เหวินตกม้า หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แผลถลอกกลางฝ่ามือขวามีจุดที่ลึกอยู่บ้าง ใช้เวลารักษานานสักนิดเพราะอยู่บริเวณสำคัญซึ่งต้องขยับเขยื้อนประจำ
ภายหลังฟางอี๋เหนียงโน้มน้าวจนคังโหวคิดพาไปด้วย โม่ซือเฉินกลับนำเรื่องนั้นมาอ้างว่าน้องสามสมควรพักผ่อนอยู่จวน
‘ถึงเดินเหินคล่องแคล่วแต่มือพันผ้าแผลไว้เช่นนี้ ไม่น่าดูเลยขอรับ ผู้อื่นจะคิดว่าเราดูแลน้องสามไม่ดี’
ความจริงผู้อื่นอาจไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ แต่เมื่อประโยคนี้เข้าหูคนรักษาภาพพจน์ยิ่งชีพเยี่ยงโม่เทียนฉิน เขากลับเออออตามบุตรชายคนรองโดยง่าย เป็นอันว่าเลื่อนระยะเวลาพบปะสานสัมพันธ์ฉันมิตรสำเร็จ ส่วนหนึ่งยกความดีให้โม่เหวินซึ่งเปลี่ยนชะตาตนเองโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นไม่นานเหมันต์ได้มาเยือนนครเยว่หยาง
เสียงประทัดซึ่งดังคึกคักตั้งแต่เช้าซาลงนานแล้ว บริเวณที่จวนสกุลโม่ตั้งอยู่หาได้เป็นทำเลทองของเมืองหลวง อย่างน้อยยังถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างดีเมื่อคำนึงถึงความสงบเป็นระเบียบ เพื่อนบ้านเองยังเป็นครอบครัวขุนนางระดับสูง หัวถนนที่อยู่ถัดไปยังมีจวนเชื้อพระวงศ์อยู่อีกด้วย
“เจ้าไม่ออกไปนั่งเล่นกับคนอื่น ๆ หรือ”
โม่ซือเฉินถาม เขานอนตะแคงกายอ่านตำราเกี่ยวกับการปรุงเครื่องหอมและกำยานอยู่บนตั่งไม้ แก้มใสสุขภาพดีมีสีแดงเรื่อ ยิ่งสวมใส่เสื้อคลุมสีสดยิ่งขับให้ดูน่ารักน่าชัง ส่วนคนอื่นที่เขาพูดหมายถึงลูกหลานคนงานรุ่นราวคราวเดียวกับหวังหย่ง
“บ่าวอยากอยู่ปรนนิบัติคุณชาย” คนสนิทเงยหน้าจากตำราเก่าที่โม่ซือเฉินเคยใช้ศึกษาเมื่อปีก่อน “อีกอย่างบ่าวโง่เขลา อ่านตำรานี้ไม่จบเสียที”
เด็กชายมอบตำราให้อีกฝ่ายเพื่อเอาไว้ทบทวน เนื้อหาเป็นบทกวีไว้เผื่ออ่านทบทวนตัวอักษร ไม่นับพ่อบ้านแล้วบ่าวไพร่ในจวนโหวมีส่วนน้อยที่เขียนอ่านคล่องแคล่ว
หวังหย่งในชีวิตเก่าของโม่ซือเฉินมีความสำคัญเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายอายุมากกว่าตนหนึ่งปี นอกจากติดตามรับใช้ไม่ว่าออกศึกหรือทำการใดล้วนมีบ่าวผู้นี้ร่วมเป็นร่วมตาย จวบจนลมหายใจสุดท้ายหวังหย่งยังคงจงรักภักดี เผชิญหน้ากับความตายอย่างห้าวหาญ เมื่อได้รับโอกาสคืนสู่จุดเริ่มต้น โม่ซือเฉินย่อมไม่พลาดตอบแทน ส่งเสริมให้ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อตน
“เจ้าไม่ได้โง่ อ่านเขียนมากเข้าก็ดีขึ้นเอง”
“บ่าวจะขยันให้มาก”
“อืม”
ช่วงปีใหม่โม่ซือเฉินเข้านอนดึกเป็นพิเศษเกือบทุกคืน ถึงทุกคนยุ่งขิงกับงานในเรือน อีกทั้งอากาศยังหนาวเย็นจนแทบไม่อยากอยู่ห่างเตาไฟ กระนั้นบรรยากาศในจวนโหวกลับค่อนข้างมีชีวิตชีวา ทุกวันห้องครัวทำไส้เกี๊ยวไม่ซ้ำ บรรจงห่ออย่างประณีตเพื่อเอาใจเหล่าฟูเหริน แม้ตอนร่วมโต๊ะมื้อเย็นเด็กชายไม่ได้กินเกี๊ยวมากเท่าโม่หรงอี้ กระนั้นยังเจริญอาหารเป็นพิเศษเพราะท่านย่าคีบอาหารคาวหวานให้ไม่ขาด
“คุณชายสนใจเครื่องหอมหรือขอรับ วันก่อนได้ยินคนส่งผักคุยกับหลิวเหนียงว่าย่านการค้าฝั่งประตูทิศตะวันออกมีร้านค้าเปิดใหม่ ดูเหมือนจะนำเครื่องหอมจากทางใต้และต่างแดนมาขาย”
อย่าคิดประเมินคนส่งผักต่ำไปเชียว คนงานเหล่านี้ต้องส่งวัตถุดิบตามบ้านเรือนผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นจวนขุนนางกับเคหาสน์ของเหล่าคหบดีของเมืองหลวง ตั้งแต่ข่าวสารสำคัญไปจนถึงเรื่องซุบซิบนินทาจากปากบ่าวไพร่จึงรับรู้มาไม่น้อย นับเป็นแหล่งข่าวที่ดีพอสมควร
“ข้าไม่ได้สนใจเครื่องหอม แค่…” โม่ซือเฉินหันมองบานหน้าต่างไม้ซึ่งถูกแง้มไว้เล็กน้อยเนื่องจากข้างนอกหิมะยังละลายไม่หมด
อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ จำได้ว่าตอนเด็กนางร่างกายไม่แข็งแรง
ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“คุณชาย?”
“ไม่มีอะไร แค่อ่านไว้เพราะอาจได้ใช้ประโยชน์ภายหน้า”
จิตใจของโม่ซือเฉินหาใช่เด็กแปดขวบ เขาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่โดยมีความแค้นท่วมท้น รวมถึงความเสียดายนานัปการ ดังนั้นไม่มีทางวางมีดแล้วเป็นอรหันต์[1] เลือกเส้นทางคนดีขาวสะอาดเพื่อเอาชนะอธรรมแน่ เพียงแต่หลังค้นพบว่าเหตุการณ์อาจไม่ดำเนินตามลิขิตเหมือนตนเคยประสบ การวางแผนจำต้องระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้น เช่นยามพบหน้าบุตรชายใต้เท้าเสิ่นในงานเลี้ยง ถึงกับทักทายทำความรู้จักด้วยรอยยิ้มแม้รู้แก่ใจว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในศัตรูที่สมควรกำจัด
เขาไม่ปรารถนาเสี่ยงต่อเรื่องไม่คาดฝันเพราะมีเดิมพันเป็นชีวิตคนสำคัญหลายคน ครั้นจะปล่อยให้ทุกอย่างไหลตามธารวาสนาหาใช่ทางออกเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่โม่ซือเฉินยังมีเหนือทุกคนคือเขารู้เท่าทันผู้อื่น
ได้เห็นเนื้อแท้ทั้งมิตรและศัตรู ทราบชัดถึงความปรารถนาที่แผดเผาในใจ นี่เป็นประโยชน์อย่างมากในการพลิกแพลงเอาตัวรอด นั่นเพราะภายนอกต่อให้ประโคมเสริมแต่งเพียงไร ดีชั่วล้วนสลักลงในกระดูก ตัวอย่างเช่นอนุของบิดา ฟางอี๋เหนียงในความทรงจำชีวิตเก่าโม่ซือเฉินเป็นเยี่ยงไร นางในชีวิตนี้ยังคงชอบแสดงความอาทร แสดงตัวเป็นสตรีอ่อนหวานไร้พิษภัย
เหตุการณ์เปลี่ยนได้ สันดานกลับคงเดิม
หากตนยังประเมินความคิดคนเหล่านั้นไม่ออก พบจุดจบซ้ำรอยเดิม เกรงว่าคงต้องยอมจำนนในความขาดเขลา ก้มหน้าเดินสู่ปรโลกโดยดี
“หวังหย่ง”
“ขอรับ”
“หากพบคนส่งผักอีกเมื่อใด เจ้าลองถามเขาว่าสกุลไป๋แห่งตรอกอิ๋นซิ่ง[2]รับหลานสาวที่อยู่ต่างเมืองกลับเมืองหลวงแล้วหรือยัง”
- - - - - - - - - - -
เชิงอรรถ
[1] วางมีดลงกลายเป็นอรหันต์ สำนวน หมายถึง กลับใจไม่ทำเรื่องชั่วร้าย
[2] อิ๋นซิ่ง แปลว่าต้นแปะก๊วย