แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: ซือซิง SiXing
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-07 08:51:54

บทที่สอง สกุลเฮ่อ (1/2)

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนของฟางอี๋เหนียง เสียงคร่ำครวญเรียกชื่อพลางปลอบใจบุตรชายเพียงคนเดียวหลังฉากกั้นทำโม่ซือเฉินสะอิดสะเอียน เด็กชายกลอกตา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ถัดจากหลังพี่ชาย ครั้นนึกได้ว่าท่าทางแบบนี้ไม่สมวัยสักเท่าไรจึงคิดเลื่อนมือมาประสานด้านหน้า ตอนนั้นเองบุรุษในเสื้อคลุมสีอ่อนดูหรูหราพลันก้าวเร็ว ๆ ผ่านพวกเขาไปสมทบกับอนุของตนหลังฉากกั้น ไม่แม้แต่จะหยุดทักทายทายาทจากภรรยาเอกอีกสองคน

โม่ซือเฉินยิ้มเยาะในใจ

ช่างเถิด จะระวังกิริยาไปไยในเมื่อมิมีผู้ใดใส่ใจ ขอแค่ระวังคำพูดหรือสีหน้ายามอยู่ต่อหน้าท่านย่ากับท่านอาก็พอ

“เหวินเอ๋อร์ท่านพ่อของเจ้ามาแล้ว รีบบอกท่านพ่อเร็วเข้าว่าเจ็บที่ใดบ้าง” อนุคนโปรดสะอื้นกล่าว “โชคร้ายเหลือเกิน ไม่รู้กระทบกระเทือนศีรษะหรือไม่”

คังโหวโม่เทียนฉินขมวดคิ้ว ตวาดถามบ่าวชาย “พวกเจ้าตามหมอหรือยัง”

เป็นบุตรชายคนโตส่งเสียงตอบแทนว่าส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจอาการแล้ว คงอยู่ระหว่างเดินทาง

ม้าแคระตัวไม่สูง ตอนตกลงมาศีรษะมิทันกระแทกพื้นด้วยซ้ำ เนื่องจากคนสนิทเข้าช่วยเหลือทัน เพียงฝ่ามือถลอกเล็กน้อย สาเหตุที่โม่เหวินแหกปากเสียลั่นคงเพราะเสียขวัญ ขนาดตนได้แผลจากสนามรบยังไม่โวยวายเพียงนี้ ใจเสาะจนน่าขัน

โม่ซือเฉินจำฝืนทนชมการแสดงฉากสายสัมพันธ์ในครอบครัวต่อไป อันที่จริงฟางอี๋เหนียงยังไม่ได้เข้ามาวุ่นวายมากนักตั้งแต่ตนฟื้นจากอาการป่วยเมื่อสองเดือนก่อน เพียงนำน้ำแกงบำรุงมาฝากให้เขาผ่านท่านอาพร้อมฝากความห่วงใย ถึงโม่กุ้ยหลันรับไว้ตามมารยาทกลับไม่ได้ให้หลานชายคนรองกิน

“เจ้าดูแลเจ้าสามอย่างไร ไฉนเกิดเรื่องได้?”

ประโยคคำถามลอยมาจากหลังฉากไม้ แน่นอนว่าคนตอบต้องเป็น

พี่ใหญ่ของน้อง ๆ

“ท่านพ่อ ข้าระวังเรื่องความปลอดภัยแล้ว…” โม่หรงอี้อธิบายเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงน้ำเสียงไม่ได้ตะกุกตะกักจากความกลัวบิดา กระนั้นหว่างคิ้วยังปรากฏความกังวลจางๆ “อย่างไรท่านก็ซื้อม้าแคระไว้ด้วยเหตุผลนี้ ม้าตัวนั้นไม่เคยพยศ ข้าเลยให้น้องสามที่ยังไม่คุ้นเคยขี่ ก่อนตามมาที่นี่ข้าได้สอบถามพวกบ่าวในคอก ทุกคนต่างบอกตรงกันว่ามันเร่งฝีเท้ากะทันหันเพราะน้องสามกระทุ้งเท้าใส่ท้องมันค่อนข้างรุนแรง”

ต้องเข้าใจว่าอาชาทั้งหลายไม่ว่ารูปร่างหรือสายพันธุ์ไหนล้วนเป็นสัตว์แสนรู้ ถึงถูกฝึกแล้วยังมีความเย่อหยิ่งอยู่พอสมควร มิหนำซ้ำยังสัมผัสได้ว่าผู้ที่อยู่บนหลังพวกมันมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร ตื่นเต้น หวาดกลัว หรือหงุดหงิด หากเจอม้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเข้า คนไร้ประสบการณ์อาจถูกพวกมันแกล้ง การกระทำเอาแต่ใจประเภทใช้กำลังส่งเดชแบบโม่เหวินคงส่งผลให้ม้าแคระหงุดหงิดจนสะบัดเขาลง

โม่เทียนฉินอาจลำเอียงยามเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับฟางอี๋เหนียงและโม่เหวิน แต่ในสถานการณ์ที่มีพยานแวดล้อมกับที่มาชัดเจน เขาย่อมไม่ติดใจ

เดิมทีม้าแคระตัวนั้นถูกตนซื้อมาเพื่อเอาไว้ให้บุตรชายหญิงฝึกจริงดังที่โม่หรงอี้กล่าวอธิบาย

ต้องบอกสักนิดว่าสกุลโม่ภายใต้การดูแลของโม่เทียนฉินหาได้เคร่งครัดเท่าสมัยก่อน การถูกบิดามารดาบังคับกวดขันเรื่องขี่ม้าและฝึกฝนวิชาป้องกันตัวแต่เล็กทำเอาเขาเข็ดขยาด เพราะมีจุดอ่อนในวัยเยาว์ โม่เทียนฉินจึงชอบส่งเสริมด้านการศึกษาเล่าเรียน เขียนอ่านตำราเสียมากกว่า

“ท่านโหวอย่าโทษคุณชายใหญ่กับคุณชายรองเจ้าค่ะ” สตรีในชุด

สีหวานเอ่ยเสียงเครือ โม่ซือเฉินเห็นผ่านเงาร่างบนฉากกั้นว่าฟางอี๋เหนียงกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “พวกเขาไม่มีเจตนาละเลยเหวินเอ๋อร์แน่”

ฟังผ่านๆ เหมือนหวังดี ความจริงกลับพูดชี้นำว่าโม่หรงอี้ละเลยน้องต่างมารดา

โม่ซือเฉินดวงตาหรี่ลง แน่นอนว่าเรื่องนี้หาได้มาจากความตั้งใจหรือแผนการใด หากเขาเจตนาจริง ๆ โม่เหวินคงปางตายแล้ว

“ท่านพ่อ ข้าใจร้อนเอง” โม่เหวินกระตุกชายแขนเสื้อบิดา ถือโอกาสพูดความในใจ “ข้าแค่อยากขี่ม้าได้เร็วๆ ข้าอยากไปฝึกพร้อมพี่ใหญ่บ้าง เคยได้ยินว่าจวนสกุลเฮ่อ…”

บรรยากาศครอบครัวรักใคร่อบอุ่นจางหายในพริบตา สีหน้าคังโหวมืดครึ้มราวถูกเมฆฝนปกคลุม

ฟางอี๋เหนียงร้องในใจว่าแย่แล้ว ใครในสกุลโม่มิทราบบ้างว่าควรเลี่ยงกล่าวถึงบ้านเดิมของฟูเหรินผู้ล่วงลับ ทว่านางคิดข้อแก้ตัวแทนบุตรชายไม่ทัน ทำได้แค่ถลึงตาให้โม่เหวินหุบปาก

โม่เทียนฉินลุกขึ้นสั่งให้บ่าวไปดูว่าหมอมาหรือยัง จงใจไม่ต่อความกับสิ่งที่ได้ยิน “ประเดี๋ยวให้หมอทำแผลที่มือแล้วตรวจศีรษะเหวินเอ๋อร์ให้ละเอียดสักหน่อย ข้าทิ้งแขกมานาน ต้องกลับไปต้อนรับ หากมีอะไรเร่งด่วนให้คนไปตามก็แล้วกัน”

ตอนสาวใช้ของอนุคนโปรดวิ่งหน้าตาตื่นไปแจ้งว่าคุณชายสามตกม้า

คังโหวอยู่ระหว่างต้อนรับสหาย

“เจ้าค่ะท่านโหว”

โม่เทียนฉินเดินไม่ถึงประตูพลันหันกลับมาสั่งบุตรชายคนโตกับคนรอง

“พวกเจ้าทั้งสองคนไปพบข้าที่ห้องหนังสือหลังมื้อเย็น”

“ขอรับ” โม่ซือเฉินคิดว่าบิดาคงจะบอกเรื่องไปร่วมงานเลี้ยงสกุลเสิ่น

รอกระทั่งร่างสูงหายลับไปพร้อมคนติดตาม คุณชายใหญ่ถึงขอตัวกลับไปรอที่เรือนตนเองพร้อมน้องชาย แม้ไม่อคติกับโม่เหวิน โม่หรงอี้ไม่ใคร่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงอนุของบิดาเท่าไรนัก กระนั้นยังบอกว่าจะให้คนมาสอบถามอาการหลังหมอตรวจเสร็จ

“ไม่รบกวนคุณชายทั้งสองเสียเวลาที่นี่แล้ว” ฟางอี๋เหนียงเดินมาส่งหน้าประตู

“อ้อ” โม่ซือเฉินหยุดเท้า หันกลับมาบอกด้วยท่าทางใสซื่อหวังดี “อี๋เหนียงโปรดบอกน้องสามด้วยว่าการไปฝึกที่จวนสกุลเฮ่อนั้นน่าจะยากสักหน่อย ขออย่าตั้งความหวังจนเกินไปนัก”

ถึงกล่าวว่า ‘ฝาก’ ไปบอก เสียงที่พูดกลับไม่เบาเลย คนหลังฉากกั้นไม่มีทางไม่ได้ยิน ฟางอี๋เหนียงตกตะลึงชั่วขณะ ทั้งยังตกใจที่คนพูดคือคุณชายรอง ไม่ใช่คุณชายใหญ่ซึ่งมองออกว่าไม่ชอบตนสักเท่าไร

“อยากฝึกกับสกุลเฮ่อ จำต้องมีสายเลือดสกุลเฮ่อไหลเวียนในกายเท่านั้น”

ชั่วพริบตาหลังคอของผู้ฟังเย็นวาบ มองแผ่นหลังเล็กแคบของเด็กชายซึ่งหมุนกายก้าวเร็วๆ ตามคนเป็นพี่ไป ฟางอี๋เหนียงกลืนน้ำลาย จู่ ๆ เมื่อครู่น้ำเสียงกับแววตาของเด็กคนนั้นชวนให้ขนลุกอย่างประหลาด

เดิมงานเลี้ยงสกุลเสิ่นคือสถานที่พบกันระหว่างโม่เหวินกับคุณชายเสิ่น ทว่าเหตุการณ์แปรเปลี่ยนเนื่องจากโม่เหวินตกม้า หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แผลถลอกกลางฝ่ามือขวามีจุดที่ลึกอยู่บ้าง ใช้เวลารักษานานสักนิดเพราะอยู่บริเวณสำคัญซึ่งต้องขยับเขยื้อนประจำ

ภายหลังฟางอี๋เหนียงโน้มน้าวจนคังโหวคิดพาไปด้วย โม่ซือเฉินกลับนำเรื่องนั้นมาอ้างว่าน้องสามสมควรพักผ่อนอยู่จวน

‘ถึงเดินเหินคล่องแคล่วแต่มือพันผ้าแผลไว้เช่นนี้ ไม่น่าดูเลยขอรับ ผู้อื่นจะคิดว่าเราดูแลน้องสามไม่ดี’

ความจริงผู้อื่นอาจไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ แต่เมื่อประโยคนี้เข้าหูคนรักษาภาพพจน์ยิ่งชีพเยี่ยงโม่เทียนฉิน เขากลับเออออตามบุตรชายคนรองโดยง่าย เป็นอันว่าเลื่อนระยะเวลาพบปะสานสัมพันธ์ฉันมิตรสำเร็จ ส่วนหนึ่งยกความดีให้โม่เหวินซึ่งเปลี่ยนชะตาตนเองโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นไม่นานเหมันต์ได้มาเยือนนครเยว่หยาง

เสียงประทัดซึ่งดังคึกคักตั้งแต่เช้าซาลงนานแล้ว บริเวณที่จวนสกุลโม่ตั้งอยู่หาได้เป็นทำเลทองของเมืองหลวง อย่างน้อยยังถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างดีเมื่อคำนึงถึงความสงบเป็นระเบียบ เพื่อนบ้านเองยังเป็นครอบครัวขุนนางระดับสูง หัวถนนที่อยู่ถัดไปยังมีจวนเชื้อพระวงศ์อยู่อีกด้วย

“เจ้าไม่ออกไปนั่งเล่นกับคนอื่น ๆ หรือ”

โม่ซือเฉินถาม เขานอนตะแคงกายอ่านตำราเกี่ยวกับการปรุงเครื่องหอมและกำยานอยู่บนตั่งไม้ แก้มใสสุขภาพดีมีสีแดงเรื่อ ยิ่งสวมใส่เสื้อคลุมสีสดยิ่งขับให้ดูน่ารักน่าชัง ส่วนคนอื่นที่เขาพูดหมายถึงลูกหลานคนงานรุ่นราวคราวเดียวกับหวังหย่ง

“บ่าวอยากอยู่ปรนนิบัติคุณชาย” คนสนิทเงยหน้าจากตำราเก่าที่โม่ซือเฉินเคยใช้ศึกษาเมื่อปีก่อน “อีกอย่างบ่าวโง่เขลา อ่านตำรานี้ไม่จบเสียที”

เด็กชายมอบตำราให้อีกฝ่ายเพื่อเอาไว้ทบทวน เนื้อหาเป็นบทกวีไว้เผื่ออ่านทบทวนตัวอักษร ไม่นับพ่อบ้านแล้วบ่าวไพร่ในจวนโหวมีส่วนน้อยที่เขียนอ่านคล่องแคล่ว

หวังหย่งในชีวิตเก่าของโม่ซือเฉินมีความสำคัญเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายอายุมากกว่าตนหนึ่งปี นอกจากติดตามรับใช้ไม่ว่าออกศึกหรือทำการใดล้วนมีบ่าวผู้นี้ร่วมเป็นร่วมตาย จวบจนลมหายใจสุดท้ายหวังหย่งยังคงจงรักภักดี เผชิญหน้ากับความตายอย่างห้าวหาญ เมื่อได้รับโอกาสคืนสู่จุดเริ่มต้น โม่ซือเฉินย่อมไม่พลาดตอบแทน ส่งเสริมให้ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อตน

“เจ้าไม่ได้โง่ อ่านเขียนมากเข้าก็ดีขึ้นเอง”

“บ่าวจะขยันให้มาก”

“อืม”

ช่วงปีใหม่โม่ซือเฉินเข้านอนดึกเป็นพิเศษเกือบทุกคืน ถึงทุกคนยุ่งขิงกับงานในเรือน อีกทั้งอากาศยังหนาวเย็นจนแทบไม่อยากอยู่ห่างเตาไฟ กระนั้นบรรยากาศในจวนโหวกลับค่อนข้างมีชีวิตชีวา ทุกวันห้องครัวทำไส้เกี๊ยวไม่ซ้ำ บรรจงห่ออย่างประณีตเพื่อเอาใจเหล่าฟูเหริน แม้ตอนร่วมโต๊ะมื้อเย็นเด็กชายไม่ได้กินเกี๊ยวมากเท่าโม่หรงอี้ กระนั้นยังเจริญอาหารเป็นพิเศษเพราะท่านย่าคีบอาหารคาวหวานให้ไม่ขาด

“คุณชายสนใจเครื่องหอมหรือขอรับ วันก่อนได้ยินคนส่งผักคุยกับหลิวเหนียงว่าย่านการค้าฝั่งประตูทิศตะวันออกมีร้านค้าเปิดใหม่ ดูเหมือนจะนำเครื่องหอมจากทางใต้และต่างแดนมาขาย”

อย่าคิดประเมินคนส่งผักต่ำไปเชียว คนงานเหล่านี้ต้องส่งวัตถุดิบตามบ้านเรือนผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นจวนขุนนางกับเคหาสน์ของเหล่าคหบดีของเมืองหลวง ตั้งแต่ข่าวสารสำคัญไปจนถึงเรื่องซุบซิบนินทาจากปากบ่าวไพร่จึงรับรู้มาไม่น้อย นับเป็นแหล่งข่าวที่ดีพอสมควร

“ข้าไม่ได้สนใจเครื่องหอม แค่…” โม่ซือเฉินหันมองบานหน้าต่างไม้ซึ่งถูกแง้มไว้เล็กน้อยเนื่องจากข้างนอกหิมะยังละลายไม่หมด

อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ จำได้ว่าตอนเด็กนางร่างกายไม่แข็งแรง

ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

“คุณชาย?”

“ไม่มีอะไร แค่อ่านไว้เพราะอาจได้ใช้ประโยชน์ภายหน้า”

จิตใจของโม่ซือเฉินหาใช่เด็กแปดขวบ เขาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่โดยมีความแค้นท่วมท้น รวมถึงความเสียดายนานัปการ ดังนั้นไม่มีทางวางมีดแล้วเป็นอรหันต์[1] เลือกเส้นทางคนดีขาวสะอาดเพื่อเอาชนะอธรรมแน่ เพียงแต่หลังค้นพบว่าเหตุการณ์อาจไม่ดำเนินตามลิขิตเหมือนตนเคยประสบ การวางแผนจำต้องระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้น เช่นยามพบหน้าบุตรชายใต้เท้าเสิ่นในงานเลี้ยง ถึงกับทักทายทำความรู้จักด้วยรอยยิ้มแม้รู้แก่ใจว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในศัตรูที่สมควรกำจัด

เขาไม่ปรารถนาเสี่ยงต่อเรื่องไม่คาดฝันเพราะมีเดิมพันเป็นชีวิตคนสำคัญหลายคน ครั้นจะปล่อยให้ทุกอย่างไหลตามธารวาสนาหาใช่ทางออกเช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่โม่ซือเฉินยังมีเหนือทุกคนคือเขารู้เท่าทันผู้อื่น

ได้เห็นเนื้อแท้ทั้งมิตรและศัตรู ทราบชัดถึงความปรารถนาที่แผดเผาในใจ นี่เป็นประโยชน์อย่างมากในการพลิกแพลงเอาตัวรอด นั่นเพราะภายนอกต่อให้ประโคมเสริมแต่งเพียงไร ดีชั่วล้วนสลักลงในกระดูก ตัวอย่างเช่นอนุของบิดา ฟางอี๋เหนียงในความทรงจำชีวิตเก่าโม่ซือเฉินเป็นเยี่ยงไร นางในชีวิตนี้ยังคงชอบแสดงความอาทร แสดงตัวเป็นสตรีอ่อนหวานไร้พิษภัย

เหตุการณ์เปลี่ยนได้ สันดานกลับคงเดิม

หากตนยังประเมินความคิดคนเหล่านั้นไม่ออก พบจุดจบซ้ำรอยเดิม เกรงว่าคงต้องยอมจำนนในความขาดเขลา ก้มหน้าเดินสู่ปรโลกโดยดี

“หวังหย่ง”

“ขอรับ”

“หากพบคนส่งผักอีกเมื่อใด เจ้าลองถามเขาว่าสกุลไป๋แห่งตรอกอิ๋นซิ่ง[2]รับหลานสาวที่อยู่ต่างเมืองกลับเมืองหลวงแล้วหรือยัง”

- - - - - - - - - - -

เชิงอรรถ

[1] วางมีดลงกลายเป็นอรหันต์ สำนวน หมายถึง กลับใจไม่ทำเรื่องชั่วร้าย

[2] อิ๋นซิ่ง แปลว่าต้นแปะก๊วย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 34

    เสิ่นจื่อเหลยนิ่งไปคล้ายกำลังตรึกตรองบางสิ่ง“มีสิ่งใดอยากพูดหรือ”คนโดนถามส่ายหน้าในท้ายที่สุด เห็นเช่นนั้นหลี่หงหมิงเลยไม่เซ้าซี้ เพียงเอ่ยสั้น ๆ “วันนี้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ หากเห็นว่าอะไรไม่ชอบมาพากลพรุ่งนี้บอกข้าก็ยังไม่สาย”“พ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของเสิ่นจื่อเหลยชำเลืองมองไปยังทิศที่คนสกุลโม่นั่ง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 33

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (2/2)ดวงหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนหวาน แม้อยู่ท่ามกลางสหายหลายคนยังโดดเด่น ไม่ว่ามองจากมุมใดโจวเจินอวี่นับว่าดูเป็นมิตรไร้พิษภัย ไป๋อวี้เสวียนแปลกใจว่าไฉนเด็กหนุ่มซึ่งชะลอการเดินลงจนตีคู่กับตนคล้ายนิ่งอึ้งอยู่หลายอึดใจ ถ้าบอกว่าเป็นอาการตกตะลึงในรูปลักษณ์ของคุณหนูโจวก็ดูไม่เป็น

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 32

    ลูกศรดอกต่อมาถูกโยนลงอย่างแม่นยำราวจับวางในแถวห้า หนนี้ผู้ที่คิดดูถูกเริ่มพากันยิ้มไม่ออก ต่างจากโม่หลิงจูซึ่งตบมือเสียงดังพลางยิ้มกว้างจนตาหยีเคร้ง!ศรดอกสุดท้ายลงเป้าง่ายดายในแถวที่ห้าอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี“ยอดเยี่ยม!” ผู้ครองอันดับหนึ่งปรบมือเสียงดังพลางเดินเข้ามาหาเขา น้ำเสี

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 31

    ไป๋อวี้เสวียนเคยเป็นคนไม่มั่นใจและค่อนข้างขี้อายเก็บตัว ทว่าการได้กลับมาเมืองหลวงและพำนักข้างกายท่านย่าช่วยปลอบประโลม ขจัดความคิดแง่ลบทีละนิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลุดพ้นจากอนุชั่วร้ายกับแม่นมที่ทรยศนางอย่างเลือดเย็น การเติบโตของนางเลยราบรื่น ได้ร่ำเรียนสิ่งที่สตรีพึงรู้ ศิลปะ ดนตรี กิริยามารยาท การเข้

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 30

    บทที่เก้า คุณหนูสามสกุลโจว (1/2)“คุณหนูไป๋” โม่หลิงจูกล่าวทักด้วยความยินดีที่ได้พบคนคุ้นเคย เสิ่นจื่อเหลยได้ยินเช่นนั้นพลันหันไปสบตาไป๋อวี้เสวียนคล้ายขอคำอธิบาย“ข้ารู้จักกับนาง พวกเราเคยพบกัน” คุณหนูสกุลไป๋เอ่ยคล้ายมีแววตาพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าผู้ฟังชั่วอึดใจ เพียงแต่นอกจากโม่ซือเฉินก็ไม่มีผู้ใดสัง

  • ภรรยาที่ดีคือภรรยาใหม่   บทที่ 29

    พี่ชายยกมือป้องแดดให้น้องสาว ไม่ทันเรียกพี่เลี้ยงของโม่หลิงจูให้ส่งร่มมาพลันได้ยินเสียงพรึบพร้อมเงาทาบลงมาเหนือศีรษะร่างเล็กข้างตัว เป็นเสิ่นจื่อเหลยมือไว ฉวยร่มจากบ่าวกางให้เด็กหญิง โม่ซือเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยยามพบว่าร่มเงาหาได้เผื่อแผ่มาถึงตนหรือโม่เหวิน“ขออภัย ข้ามัวสนทนาจนลืมว่าเจ้าอาจจะร้อน”“ไ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status