เข้าสู่ระบบเสียงหัวเราะของแพรวยังคงดังคลอไปกับบรรยากาศในห้าง มาลินีพยายามยิ้มตาม แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและว่างเปล่า แต่เธอก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนอยู่ด้วยทำให้โลกไม่เงียบเหงาเหมือนเคย
ทั้งคู่เดินทอดน่องเรื่อยๆ เดินผ่านโซนอาหารของห้าง กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านต่าง ๆ ลอยมาแตะจมูก ผู้คนมากมายจับจองโต๊ะ บางคนหัวเราะ บางคู่จับมือกันแน่น เสียงเหล่านั้นบาดลึกลงไปในหัวใจของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว สายตาของหญิงสาวเผลอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างเลื่อนลอย ทว่าในเสี้ยววินาทีหนึ่ง เธอกลับชะงักฝีเท้าลงแทบจะทันที ที่มุมหนึ่งของร้านอาหารตกแต่งหรู โต๊ะริมกระจกซึ่งมีแสงไฟอุ่นส่องกระทบ เธอเห็นร่างสูงสง่าของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามหญิงสาวอีกคน... 'พี่เหนือ' หัวใจของหญิงสาวแทบหยุดเต้น ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกตรึงเอาไว้ เธอไม่จำเป็นต้องกะพริบตาซ้ำก็รู้แน่ว่าเป็นเขา สามีในนามของเธอและผู้หญิงคนนั้น...ก็คือ ปริม หญิงสาวที่เขารักหมดใจ ปริมกำลังยิ้มอย่างสดใส ดวงตาทอประกายความสุขเมื่อมองชายหนุ่มตรงหน้า เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเธอเล็ดลอดออกมา ขณะที่เหนือเองก็ยกมือขึ้นตักอาหารป้อนปริมด้วยท่าทีอ่อนโยน แววตาที่เขาใช้มองผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นจนแทงใจคนที่ยืนมองอยู่จากไกล ๆ โลกของมาลินีราวกับหยุดหมุน เสียงรอบกายพร่ามัว กลายเป็นเพียงความเงียบงันที่กดทับจนหูอื้อ เธอไม่เคยได้รับสายตาแบบนั้นเลย...แม้แต่ครั้งเดียว “...ลิน” แพรวเอ่ยเรียกเบา ๆ เมื่อเห็นเพื่อนสาวยืนตัวแข็ง น้ำเสียงสั่นเครือ หญิงสาวรีบเบือนสายตาหนี แต่ก็ไม่ทันซ่อนประกายเจ็บปวดที่ไหลผ่านดวงตาคู่สวย น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หัวใจปวดหนึบจนแทบขาดหายใจ “แก...เห็นใช่มั้ย” น้ำเสียงแผ่วเบาของเธอสั่นระริก แพรวหันไปตามสายตา ก่อนจะเห็นภาพตรงหน้าเช่นเดียวกัน หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความสะเทือนใจแทนเพื่อน “ลิน...อย่ามองเลยนะ ไปเถอะ” แพรวรีบเอื้อมมือมากุมแขนเพื่อนสาวแน่น ดึงให้ก้าวเดินออกมาแต่มาลินีกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายเธอสั่นเทาเล็กน้อย ขอบตาร้อนผ่าว ความจริงตรงหน้ามันชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้ เขาไม่เคยมีเธออยู่ในใจเลย...แม้แต่วินาทีเดียว เสียงหัวเราะของปริมที่ดังลอดออกมาจากโต๊ะนั้นเหมือนคมมีดกรีดลงกลางอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาลินีเผลอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “แพรว...ทำไมฉันถึงไม่เคยรับความอ่อนโยนแบบนี้จากเขาบ้าง” เธอพึมพำแผ่ว ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่าจะถามใคร “ไม่เอานะลิน...อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการมองภาพนั้นอีก เธอไม่ผิดเลย อย่าโทษตัวเอง” แพรวไม่รอช้า โอบกอดเพื่อนสาวเอาไว้ทันที หญิงสาวพยายามหายใจลึก ๆ กลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก่อนจะปล่อยให้แพรวประคองเธอเดินออกจากโซนร้านอาหารช้า ๆ ราวกับทุกก้าวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่แม้จะพยายามหลบหนี ภาพสายตาอ่อนโยนของเหนือที่มอบให้ปริมก็ยังคงตามหลอกหลอนในใจเธอไม่หาย... ด้านทิศเหนือ เสียงหัวเราะใสของปริมก้องกังวานอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางแสงไฟอุ่นในร้านอาหารหรูที่เขาเลือกมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ ปริมยังคงเป็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม “พี่เหนือ...ป้อนหน่อยสิคะ” ปริมยื่นช้อนมาตรงหน้า ดวงตาคู่สวยฉายประกายอ้อนอย่างที่เขาคุ้นเคยชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางตักอาหารในจาน ยื่นให้เธอด้วยท่าทีเอาใจอ่อนโยน “อ้าปากสิ” ปริมทำตามอย่างเชื่อฟัง แววตาเปล่งประกายความสุขทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของเขาสำหรับเหนือ...นี่คือความสุขเดียวที่เขาต้องการ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการได้อยู่กับผู้หญิงตรงหน้า กระทั่ง...ดวงตาคมเข้มของเขาเหลือบไปยังมุมหนึ่งโดยไม่ตั้งใจเพียงชั่วขณะเดียว เขาเห็นร่างบางคุ้นตากับหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่นอกโซนร้านอาหาร ดวงตาเธอแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริกเหมือนกำลังกลั้นบางสิ่งไว้เต็มที่ มาลินี ชายหนุ่มชะงักไปเพียงวูบเดียว ก่อนจะเบือนสายตากลับมาที่ปริมในทันที ราวกับไม่เคยเห็นอะไรเลยไม่มีความรู้สึกใด ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของเขา...ไม่มีแม้แต่ความสงสาร สำหรับเขา ผู้หญิงคนนั้นคือ “พันธะ” ที่ถูกยัดเยียด เป็นเพียงเงาที่เขาไม่เคยคิดจะเหลียวแล ในหัวใจของเหนือ มีเพียงปริมเท่านั้น เขายกมือขึ้นลูบเส้นผมของหญิงสาวตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ราวกับย้ำเตือนตัวเองซ้ำอีกครั้งว่าเขาเลือกแล้ว และจะไม่ปล่อยมือจากเธออีก “กินเยอะ ๆ นะปริม เดี๋ยวผอมไปพี่จะหวงเอา” เสียงทุ้มของเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ปริมยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแห่งความรัก ความสุขของเธอถูกสะท้อนกลับมาในสายตาของเหนืออย่างชัดเจน ตรงกันข้าม...ภาพหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งเดินจากไปนั้น ชายหนุ่มไม่ได้เก็บมาแม้แต่เศษเสี้ยวความคิด ราวกับว่า...มาลินีไม่เคยมีอยู่ในโลกของเขาเลย ด้านมาลินี "ขึ้นเดี๋ยวฉันไปที่คอนโด" แพรวหันไปบอกหญิงสาวี่ยืนนิ่งอยู่บนใบหน้ายังมีความเศร้าจากเหตุการณ์เมื่อครู่ "ลิน...ขึ้นเถอะ" แพรวจับแขนหญิงสาวกระตุกเบาๆ เรียกสติหญิงสาว "อืม..." หญิงสาวพยักหน้าให้แพรวก่อนจะเดินขึ้นไปด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง "เมื่อไหร่แกจะรักตัวเองบ้าง" เมื่อรถแล่นออกจากห้างได้สักพัก แพรวหันไปมองหญิงสาวที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา จึงเอ่ยคำพูดที่เตือนสติเพื่อน "แกควรออกมาได้แล้ว...เขาไม่สนใจแกเลยนะ" แพรวแอบรู้สึกผิดที่เอ่ยประโยคนั้นไปแต่แค่อยากเตือนเพื่อน เธออยากให้เพื่อนมีความสุข "แกก็รู้ว่าฉันรักเขา...ขอเวลาให้ฉันหน่อยนะถ้ามันไม่ได้ขึ้นฉันจะออกจากชีวิตเขาทันที" หญิงสาวหันไปมองเพื่อนก่อนจะออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ฉันเป็นกำลังใจให้นะ...ถ้าเหงาอยากไปเที่ยวที่ไหนบอกฉันได้นะฉันจะมาหาเธอทันที" แพรวกุมมือหญิงสาวแน่นก่อนจะยิ้มบางๆ "ขอบใจนะ" หญิงสาวหันไปยิ้มให้แพรวทั้งที่ดวงตาที่น้ำตาคลออยู่ "อยากแวะที่ไหนอีกมั้ย...ฉันมีเวลาอยู่กับเธอทั้งวันเลย" "อยากฉันไปหาคุณพ่อ.." แพรวพยักหน้าให้หญิงสาวทันที "ได้เลย...ฉันอยากไปเยี่ยมคุณลุงเหมือนกัน" คฤหาสน์ ปริ๊น ปริ๊น รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดตรงประตูรั้วพร้อมกับกดเสียงแตรรถทำให้แม่บ้านที่ไม่คุ้นเคยวิ่งมาด้วยความสงสัย "คุณลิน..." แม่บ้านสาวยิ้มออกมาด้วยดีใจเมื่อกีะจกรถเลื่อนลงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย แม่บ้านรีบเปิดประตูรั้วทันที เมื่อรถจอดนิ่งสนิทตรงหน้าคฤหาสน์ใหญ่โต หญิงสาวเปิดประตูลงรถด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้มเบาๆ เพราะไม่อยากให้คุณพ่อเห็นว่าเธอกำลังทุกข์ใจ "คุณพ่อ...สวัสดีค่ะ" หญิงสาวเดินตรงไปที่ห้องรับแขกทันทีเมื่อเข้ามาก็คุณพ่อของเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ "ลิน..." คุณอภิสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมาด้วยดีใจ รีบลุกขึ้นเดินไปกอดลูกสาว "สวัสดีค่ะ คุณลุง" แพรวยกมือไหว้อย่างสุภาพ "สวัสดีครับ..หนูแพรวใช่มั้ยกลับมาเมื่อไหร่เนี่ย" คุณอภิสิทธิ์มองหน้าแพรวก่อนจะหยุดคิดอยู่แวบหนึ่ง เมื่อคิดออกว่าหญิงสาวตรงหน้าคือ แพรว เพื่อนสนิทของลูกสาวที่เคยมาที่นี้บ่อยๆ "ใช่ค่ะคุณลุง...แพรวเพิ่งกลับมาวันนี้เลยค่ะ" คุณอภิสิทธิ์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะพาหญิงสาวทั้งคู่ไปนั่งที่โซฟา "คุณลุงสบายดีนะคะ" แพรวถามเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสดใส "สบายดีตามวัยคนแก่นั้นลูก" คุณอภิสิทธิ์พูดจบก็หันมาสนใจลูกสาวที่กอดตนแน่น "มาบ้านทำไมไม่บอกพ่อก่อน พ่อจะได้ให้แม่บ้านเตรียมขนมที่ลูกชอบ" คุณอภิสิทธิ์ลูบผมหญิงสาวด้วยความรักความเอ็นดู "...ไม่เซอร์ไพรส์สิคะ" หญิงสาวซบหน้าลงที่หน้าอกของผู้เป็นพ่ออย่างออดอ้อน "หึๆ เมื่อไหร่จะโตสักทีลูกสาวพ่อขี้อ้อนจริงๆ'" คุณอภิสิทธิ์หัวเราะภายในลำคอกับความน่ารักของลูกสาว "อยู่ทานข้าวเย็นกันก่อนนะ...หนูแพรวด้วยนะลูก" คุณอภิสิทธิ์ก็มาบอกลูกสาวก่อนจะหันไปบอกเพื่อนสนิทของลูกสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ได้ค่ะ คุณลุง" แพรวตอบกลับทันที "คุณพ่อค่ะ...ลินขอค้างที่นี่ได้มั้ยคะ" หญิงสาวเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อก่อนจะทำสายตาออดอ้อนอย่างกับลูกแมวตัวน้อย "ได้สิ...บ้านหลังนี้ต้อนรับลูกสาวคนนี้เสมอ" หญิงสาวที่ได้ยินประโยคนั้นจะผู้เป็นพ่อ น้ำตาเธอแทบจะไหลออกมา "แล้วพี่เหนือเขาไม่ว่าเหรอลูก..ลูกมีสามีแล้วนะ" หญิงสาวส่ายหน้าไปมา เธออยากพูดออกไปว่า เขาไม่สนใจเธอหรอก แต่เธอไม่อยากให้พ่อรู้ว่าเธอกำลังมีปัญหาชีวิตคู่ "เดี๋ยวหนูคอยบอกพี่เขาค่ะ" หญิงสาวบอกพ่อไปแบบนั้น แต่เธอคงไม่กล้าส่งข้อความไปบอกเขาหรอก เพราะมันไม่จำเป็นสำหรับเขา "ตามใจลูก" แพรวมองภาพที่อบอุ่นด้วยความดีใจที่เพื่อนของเธอมีที่พักพิงใจเวลา 20:30 น.เรือนหอภายในห้องครัวที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงน้ำไหลจากก๊อกและเสียงจานกระทบกันเบา ๆ หญิงสาวร่างบางกำลังล้างจานอย่างเพลิดเพลิน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยในหัวใจ… เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่แทรกตัวขึ้นมาโดยไม่คาดคิดทันใดนั้น เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอรีบล้างมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายทันที เมื่อเห็นชื่อเพื่อนสนิทโชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ“ฮัลโหล… แพรว มีอะไรรึเปล่า” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใส“เปล่าหรอก แค่จะชวนแกไปเที่ยวทะเลด้วยกัน… อีกอย่าง พรุ่งนี้วันเกิดแกไม่ใช่เหรอ”น้ำเสียงปลายสายแฝงความสงสัยเล็กน้อยหญิงสาวชะงักไปชั่วครู่ เธอรีบหันไปมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางอยู่ไม่ไกล ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ“จริงด้วย… ฉันลืมวันเกิดตัวเองไปได้ยังไงเนี่ย…” เธอพึมพำออกมาแผ่วเบา ราวกับเพิ่งตระหนักว่าเธอเศร้าจนหลงลืมแม้แต่วันสำคัญของตัวเอง“แกไม่มีนัดใช่มั้ย? พรุ่งนี้ฉันไปรับสิบโมงนะ โอเค บ๊ายบาย”“เดี๋ยว… ยัยแพรว”เธอยังพูดไม่ทันจบดี เพื่อนสาวก็วางสายไปเสียแล้ว“ก็ดีเหมือนกัน… ไม่ได้ไปทะเลนานแล้ว” หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะน้อย ๆ
เรือนหอรุ่งเช้า เสียงนาฬิกาดิจิทัลที่หัวเตียงดังแผ่ว ๆ บอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ร่างสูงที่นอนตะแคงอยู่พลิกตัวช้า ๆ เปลือกตาคมค่อย ๆ เปิดขึ้นรับแสงแดดยามเช้าที่ลอดเข้ามาทางผ้าม่านสีอ่อนชายหนุ่มถอนหายใจยาว มือหนายกขึ้นกดขมับ ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างยังคงวนเวียนอยู่ในอกตั้งแต่เมื่อคืน ความว่างเปล่าในห้องของเธอ ภาพห้องที่ถูกเก็บเรียบร้อยแต่ไร้ร่างของมาลินี ยังติดตาอยู่ไม่หาย เขาไม่ควรจะคิดอะไรเลยด้วยซ้ำไม่ควรจะใส่ใจ…แต่ก็หงุดหงิดอยู่อย่างบอกไม่ถูก“จะไปไหนก็เรื่องของเธอสิ…ฉันไม่จำเป็นต้องรู้” เขาพึมพำกับตัวเองเสียงต่ำ แต่พอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ความเงียบที่รายล้อมกลับก่อให้เกิดความรำคาญเล็ก ๆ ราวกับข้างในมันคอยย้ำว่ามีบางอย่างขาดหายชายหนุ่มพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียงในที่สุด เขาเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลานานกว่าปกติในการล้างหน้า แช่ตัวอยู่กับสายน้ำเหมือนต้องการไล่ความคิดฟุ้งซ่าน แต่กลับไม่สำเร็จเมื่อออกมาแต่งตัวเรียบร้อย เขาไม่ได้ตรงไปบริษัทเหมือนเช่นทุกวัน แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหาเลขา“เอางานทั้งหมดของวันนี้มาส่งที่คอนโด ฉันจะทำที่นี่”เสียงทุ้มเอ่ยสั้น ๆ 'ครับท่านประธาน' เลขาหนุ่
เวลา 19 : 30 น.ห้องอาหารแสงไฟอุ่นในห้องอาหารขนาดใหญ่ถูกเปิดขึ้น โต๊ะยาวไม้สักถูกจัดวางอาหารที่แม่บ้านตั้งใจทำอย่างประณีต กลิ่นหอมของกับข้าวที่มาลินีชอบตั้งแต่เด็ก ๆ ลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง“คุณลุงคะ กลิ่นหอมมากเลยค่ะ ดูก็รู้ว่าเป็นอาหารโปรดของลินทั้งนั้น” แพรวพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางช่วยแม่บ้านจัดจานเพิ่ม“ก็ต้องสิ…ลูกสาวพ่อกลับมาทั้งที จะให้พลาดได้ยังไง” คุณอภิสิทธิ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่นั่งเงียบ ยกช้อนตักแกงจืดรสอ่อนที่เธอเคยโปรดปรานใส่ถ้วยของเธอ“กินเยอะ ๆ นะลูก ช่วงนี้ผอมไปหรือเปล่า พ่อเห็นแล้วไม่สบายใจเลย” คุณอภิสิทธิ์มองลูกสาวด้วยสายตาที่เป็นห่วง“ค่ะคุณพ่อ ลินจะกินเยอะ ๆ เลย” หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ฝืนยิ้มรับ แพรวนั่งมองเพื่อนพลางยิ้มบาง ๆ เธอเห็นได้ชัดว่าลินพยายามฝืนเก็บความเศร้าไว้ข้างใน แต่ต่อหน้าคุณอภิสิทธิ์ เธอก็ยังคงเป็น “ลูกสาวที่สดใส” ของคุณพ่ออยู่เสมอ“แพรวก็ทานเยอะ ๆ นะลูก อยู่เมืองนอกไม่ค่อยได้กินอาหารไทยแท้ ๆ แบบนี้ใช่ไหม” คุณอภิสิทธิ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“ใช่เลยค่ะคุณลุง…ห่างบ้านทีไรก็คิดถึงอาหารฝีมือแม่บ้านที่นี่ทุกที” แพรวตอบด้วยความจริงใจ พลางเ
เสียงหัวเราะของแพรวยังคงดังคลอไปกับบรรยากาศในห้าง มาลินีพยายามยิ้มตาม แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและว่างเปล่า แต่เธอก็รู้สึกว่าการมีเพื่อนอยู่ด้วยทำให้โลกไม่เงียบเหงาเหมือนเคยทั้งคู่เดินทอดน่องเรื่อยๆ เดินผ่านโซนอาหารของห้าง กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านต่าง ๆ ลอยมาแตะจมูก ผู้คนมากมายจับจองโต๊ะ บางคนหัวเราะ บางคู่จับมือกันแน่น เสียงเหล่านั้นบาดลึกลงไปในหัวใจของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว สายตาของหญิงสาวเผลอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างเลื่อนลอย ทว่าในเสี้ยววินาทีหนึ่ง เธอกลับชะงักฝีเท้าลงแทบจะทันทีที่มุมหนึ่งของร้านอาหารตกแต่งหรู โต๊ะริมกระจกซึ่งมีแสงไฟอุ่นส่องกระทบ เธอเห็นร่างสูงสง่าของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามหญิงสาวอีกคน...'พี่เหนือ' หัวใจของหญิงสาวแทบหยุดเต้น ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกตรึงเอาไว้ เธอไม่จำเป็นต้องกะพริบตาซ้ำก็รู้แน่ว่าเป็นเขา สามีในนามของเธอและผู้หญิงคนนั้น...ก็คือ ปริม หญิงสาวที่เขารักหมดใจปริมกำลังยิ้มอย่างสดใส ดวงตาทอประกายความสุขเมื่อมองชายหนุ่มตรงหน้า เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเธอเล็ดลอดออกมา ขณะที่เหนือเองก็ยกมือขึ้นตักอาหารป้อนปริมด้วยท่าทีอ่อนโยน แววตาที่เขาใช้มองผู้หญิงคนน
ร้านอาหารย่านใจกลางเมืองบรรยากาศยามบ่ายหญิงสาวมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เธอเลือกโต๊ะริมกระจกที่มองออกไปเห็นถนนที่รถพลุกพล่านตรงหน้า หญิงสาวนั่งเงียบ ๆ พลางกอดแขนตัวเองไว้หลวม ๆ ราวกับต้องการที่พึ่งทางใจ เสียงช้อนส้อมกระทบกันและเสียงพูดคุยจอแจรอบข้างไม่สามารถกลบความเหงาลึก ๆ ในใจได้ไม่นานนัก ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทีร่าเริง ผมยาวสลวยปลิวไหวตามแรงก้าวเดิน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสดใสจนมาลินีเผลอลุกขึ้นยืนต้อนรับทันที“แพรว” น้ำเสียงของมาลินีสั่นเครือ แต่เต็มไปด้วยความดีใจ“ลิน” เพื่อนสาวโผเข้ามากอดทันที แรงกอดแน่นนั้นทำให้หัวใจที่แหลกสลายของมาลินีอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ราวกับได้รับกำลังใจที่ไม่เคยมีในบ้านหลังนั้น“คิดถึงเธอที่สุดเลย...แกสบายดีมั้ย” แพรวเอ่ยพลางผละออกมามองหน้าเพื่อนอย่างสำรวจ "อืม...ฉันสบายดี" หญิงสาวตอบกลับเพื่อนสาวด้วยรอยยิ้มแต่ภายในใจเธอแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี"แต่ฉันดูออกว่าแกไม่มีความสุข..แกไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน" แพรวมองหญิงสาวด้วยสายตากังวล สีหน้าเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่อยากรู้ แต่ก็พยายามไม่จี้จุดจนเกินไปหญิงสาวไม่ตอบ เพียงแค่ก้มลงมองแก้วน
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเวลาที่ล่วงเลยไปเหมือนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมาลินี ทุกเช้าเธอยังคงตื่นขึ้นมาเจอเพียงความเชยชาของผู้เป็นสามี ทุกคืนยังคงจบลงด้วยน้ำตาที่ซึมเปื้อนผ้าห่ม ทุกวันเหมือนถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหอที่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีสถานะว่าเป็น 'ภรรยา' แต่ในความจริงแล้วเธอไม่ต่างอะไรกับแขกที่ไร้ตัวตนเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่พูดกับเธอเลยสักคำ วันหยุดเขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลยเพราะเขาจะพาคนรักของเขาเที่ยวไปดินเนอร์ ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบที่กัดกินใจทีละน้อย เธอคิดว่าตัวเองคงชินแล้ว แต่ความเจ็บปวดบางอย่างต่อให้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่เคยเบาบางลง มีแต่ทับถมจนหนาแน่นขึ้นทุกทีและวันนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนทุกวันเพราะครอบครัวของเขานัดให้เธอและเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านเสียงล้อรถบดไปบนถนนราวกับเคลื่อนช้าเป็นพิเศษในความรู้สึกของเธอ หญิงสาวนั่งเบียดชิดประตูอีกฝั่ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งรถ ร่างสูงที่นั่งข้างเธอขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องถนนตรงหน้าโดยไม่เหลือบมามองแม้แต่น้อยหญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามควบคุมแรงสั่นของปลายนิ้ว วันนี้เธอต้องทำเหมือนท