ก๊อกๆๆ
"ใคร?" "ฉันเอง" แกร้ก! ฉันลุกออกไปเปิดประตูให้กับเขา ปกติหลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันเข้าห้องแล้ว ก็จะไม่ได้มารบกวนอะไรกันอีกมีเรื่องอะไรก็จะคุยกันตอนเช้าอีกทีเลย "มีอะไร?" "เพ็ญเขาจะขอนอนที่นี่สักคืนนึง เธอไม่ว่าอะไรใช่ไหม ฉันให้ภาจัดห้องนอนเอาไว้ให้แล้วอยู่ฝั่งโน้น" "เรื่องของคุณสิบ้านหลังนี้ไม่ใช่ของฉันสักหน่อยจะมาถามฉันทำไม" "....." "แค่นี้ใช่ไหมที่จะมาพูด ฉันจะได้นอน" "เดี๋ยว..." "อะไรของคุณอีก?" "เมื่อกลางวันได้ทะเลาะอะไรกับเพ็ญหรือเปล่า" "คุณก็ไปถามคนของคุณเอาเองสิ ฉันพูดอะไรไปคุณจะเชื่อหรือไง" "ก็ยังไม่ทันได้พูดเลย ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ" "คนที่จะเชื่อฉันอยู่แล้วนี่" "...." "ฉันไม่อยากยุ่งอะไรกับใครทั้งนั้น แค่นี้แหละที่คุณจะได้ยินจากฉัน" ปัง! ฉันปิดประตูใส่หน้าเขาทันที ฉันไม่ชอบพูดอะไรให้มันยืดเยื้อในเมื่อเรื่องมันจบไปแล้ว คนอย่างฉันถ้าจะเอาเรื่องจริงๆ ฉันเอาเรื่อง ณ ตอนนั้นเวลานั้นไปแล้ว ไม่ปล่อยผ่านมาจนถึงตอนนี้หรอก ************ สายๆ ของวันถัดมา ฉันตื่นตามเวลาปกติซึ่งน่าจะเป็นเวลาสายๆ ของที่นี่เลย แต่พอลงมาแล้วก็เจอเรื่องน่าเบื่อเลยล่ะ "ตื่นสายนะคะคุณเขม" "เรื่องของฉันมาสาระแนอะไรด้วย?" "เขม..." "...." ฉันหันไปมองเขาตาขวาง ดูเหมือนว่าเขากำลังปรามฉันไม่ให้ฉันพูดจาไม่ดีใส่ผู้หญิงคนนี้ เขาคงไม่รู้หรอกเพราะผู้ชายแบบเขาคงจะมองมารยาผู้หญิงไม่ออก "กินข้าวเช้าไหมจ๊ะคุณนาย" "ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบร่วมวงกินกับใคร เดี๋ยวไปกินในครัวด้วยละกัน" "เดี๋ยวสิ ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ ก็นั่งกินข้าวมันตรงนี้เลย ให้ภามากินข้าวตรงนี้ด้วย" "นึกว่าคุณอยากอยู่กันสองต่อสองซะอีก" "....." "อ้อ...ลืมไปว่าฉันเป็นภรรยานี่นา ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายซะด้วย แหม่..ลืมไปเลยนะเนี่ย ภรรยาก็ต้องกินข้าวกับสามีสิจะให้คนอื่นมากินข้าวกับสามีตัวเองได้ยังไง" ฉันพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม แต่คำพูดของฉันมันแดกดันไปที่ใครบางคนจนหน้าของเธอถอดสีไปเลย ต่อหน้าอีตาบ้านี่หล่อนคงไม่กล้าแผลงฤทธิ์สินะ คงคิดว่าจะเอาคืนฉันหลังจากที่เขาไปทำงานแล้วล่ะสิ "นี่คุณ..." "อะไร?" "ครอบครัวของเรารบเร้ามากันแล้วนะว่าเมื่อไหร่เราจะมีลูกด้วยกันสักที นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนะ เราก็ทำกันอยู่ทุกวัน แต่ทำไมถึงยังไม่ท้องได้นะ" ถ้าฉันท้องได้ก็คงแปลกแล้วล่ะ ฉันไม่เคยมีอะไรกับเขาเลยนี่นา ขนาดนอนยังนอนแยกห้องกันเลย ฉันจะให้อีตาบ้านี่เปิดความบริสุทธิ์ฉันง่ายๆ ได้ยังไงกัน "เอ่อ...ว่าแต่นายหัวจะเข้าไปในเมืองอีกเมื่อไหร่หรอ?" "น่าจะเดือนหน้ามั้ง ถ้าไม่ได้ออกไปซื้ออะไรที่จำเป็นก็คงไม่ออกไป" "ถ้าอย่างนั้นแวะไปรับเพ็ญที่บ้านหน่อยนะคะ" "บ้านก็อยู่ใกล้ๆ นี่ นั่งรถไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้วแบบนั้นไม่สะดวกกว่าหรอ" "พอดีว่าต้องนั่งรถต่อไปในเมืองอีกที่นึงอ่ะ เลยจะให้นายหัวไปส่งที่สถานีรถไฟ" "เดือนหน้าเลยนะ" "อื้ม..." "โอเค" ทำไมฉันได้เห็นท่าทีอิดออดของผู้หญิงคนนี้แล้วรู้สึกหมั่นไส้จริงๆ เลยนะ ต่อหน้าฉันไม่ใช่ผู้หญิงดีวางตัวเรียบร้อยแบบที่ทำอยู่ตอนนี้เลย แต่พออยู่ต่อหน้านายหัวพูดเสียงอ่อนเสียงหวานสายตาที่ใช้จับจ้องก็หยาดเยิ้ม ผ่านไปไม่นาน "ฉันจะออกไปทำงานแล้วนะ" "อือ" "อะไรของเธอเนี่ยเป็นไบโพล่าหรอ ตอนกินข้าวยังคุยกับฉันอย่างกับ..." "มันก็แค่การแสดง ฉันแค่หมั่นไส้คน" "อยู่บ้านดีๆ ล่ะห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด บ้านของฉันยังไม่อยากสร้างใหม่เพราะงั้นไม่ต้องเผาล่ะ" "จิ๊ อีตาบ้า!" "....." เขารีบเดินไปขึ้นรถทันที จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับคนงานนั่งท้ายกระบะอีกหลายสิบคน "นายหัวเขารักเธอจริงๆ หรอ?" "ถามทำไม?" เดินมาตอนไหนเนี่ย ไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย ตกใจหมดนึกว่าผี "เปล่าฉันก็แค่อยากรู้ ตั้งแต่ที่รู้จักกับนายหัวมาเขาไม่คิดที่จะหาคนรักไม่คิดที่จะมีครอบครัวเลย ก็เลยแอบสงสัยน่ะว่าไปคบกันตอนไหนแล้วแต่งงานกันเร็วจัง" "เรื่องของครอบครัวคนอื่น ไม่ต้องยุ่งบ้างก็ได้ เอาเวลาไปใส่ใจนิสัยของตัวเองดีกว่า" พูดจบฉันก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที และนี่ก็เป็นอีกวันที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเดินไปเดินมา หาของกินบ้าง นอนบ้างนั่งเล่นบ้าง ไม่รู้สิฉันเป็นคนที่ไม่มีงานอดิเรกทำกับเขา แต่ฉันไม่ชอบอยู่เบื่อๆ แบบนี้ แถวนี้ก็มีแต่ป่าที่ฉันเดินไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ เพราะภาบอกเอาไว้ว่าแถวสวนงูจะค่อนข้างเยอะแต่งูจะไม่เข้าบ้านเพราะนายหัวเขาป้องกันเอาไว้แล้ว "เธอไม่ใช่คนแถวนี้หรอ?" "ใช่" "ถึงว่า ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย ว่าแต่ไปคบกับนายหัวตอนไหน คบกันมานานเท่าไรถึงตัดสินใจแต่งงานกัน" "อืม...คบกันมายี่สิบกว่าปีได้แล้วนะ นับตั้งแต่ฉันเกิดน่ะ พ่อกับแม่ของนายหัวเขาจองตัวฉันเป็นลูกสะใภ้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้วล่ะ" "จะบอกว่า ที่แต่งงานกันเพราะพ่อกับแม่หมั้นหมายเอาไว้ให้งั้นหรอ" "ก็ไม่เชิงหรอก ที่ฉันยอมมาอยู่กับเขาก็เพราะว่าฉันชอบเขา และก็มีแพลนจะมีลูกแล้วด้วยล่ะ แต่งงานกันเพราะถูกหมั้นใหม่กันไว้ก็จริง แต่เรามาอยู่ด้วยกันเพราะความรู้สึกดีๆ ต่อกันต่างหาก" "คิดหรอว่านายหัวจะรักเธอจริงๆ" "อย่างน้อยฉันก็มีสิทธิ์แหละน่า รักหรือไม่รักจริงๆ ฉันก็ได้ครอบครองเขาอยู่ดี ใครที่กำลังคิดจะมาเป็นเมียน้อยหรือจะมาเป็นมือที่สาม ก็คิดให้มันดีๆ เพราะถ้าเมียหลวงเขาจับได้แล้วเอาเรื่องขึ้นมา เขาจะฟ้องเอาได้" "เหอะ! ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง ฉันว่าคนอย่างเธอคงรู้ไม่ทันหรอก บางทีเขาอาจจะแอบกินกันลับๆ ก็ได้ ใบทะเบียนสมรสมันก็ไม่ช่วยอะไรหรอก ของแบบนี้มันอยู่ที่ใจ" "ถ้าเป็นแบบนั้นเขาเรียกว่าผู้หญิงหน้าด้านต่างหากล่ะ" "เอ๊ะนังนี่!" "มาดิ!" "อย่าคิดว่าตัวเองดีเลิศเลอขนาดนั้น ถูกแย่งไปได้เมื่อไหร่ ขอให้รู้เอาไว้ว่าฉันนี่แหละคือคนที่แย่งของรักของหวงของเธอไปเอง" "ถ้ามีความสามารถขนาดนั้นก็ไปสิ แต่ก็นะ คิดไปเองฝ่ายเดียวมันก็เท่านั้น ผู้ชายไม่เล่นด้วยเธอจะทำอะไรได้" "เดี๋ยวเธอก็รู้ว่าทำได้หรือทำไม่ได้" "ฉันจะรอดูผู้หญิงหน้าด้านก็แล้วกัน สงสัยจะเป็นเปรตถึงได้มายืดตัวร้องขอส่วนบุญอยู่แถวนี้" ผลั่ก!! "อีบ้า!" จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วผลักฉันจนหลังกระแทกกับเก้าอี้ ข้อศอกกระแทกเข้ากับไม้พอดี เลยทำเอาแขนของฉันรู้สึกเจ็บจี๊ดมาก "คิดหรอว่าฉันจะยอม!" ปัก!สองปีต่อมา ตอนนี้ผมได้ลูกสาวดั่งใจหวังจริงๆ แล้ว แกเป็นน้องเล็กที่สุดในบ้าน ตอนนี้ก็อายุขวบนึง ส่วนพี่ๆ ก็โตขึ้นมากแต่ก็ยังซุกซนเหมือนเดิม ลูกสาวคนเล็กผมตั้งชื่อให้ว่าน้องกอหญ้า แกเป็นเด็กที่น่ารักและไม่ได้ซุกซน นิสัยนิ่งเงียบเหมือนกับแม่ของแกไม่มีผิดเลย ไม่ได้ซุกซนเหมือนกับพวกพี่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกพี่ๆ ก็รักและหวงน้องสาวเอามากๆ "มาหาแม่มากอหญ้า" "มีอะไรหรือเปล่า?" "คุณไปดูลูกชายตัวแสบของคุณเถอะ พากันเล่นอะไรอยู่หลังบ้านโน้น" ผมรีบยื่นกอหญ้าให้เขมอุ้ม ก่อนจะรีบเดินไปที่หลังบ้านและก็ได้พบว่าเจ้าลูกชายกำลังใช้ดินสอและเมจิกที่มีขีดเขียนวาดลวดลายบนรถกระบะของผม "ขุนพล! ขุนทัพ!""พ่อ/พ่อ" "หยุดยืนอยู่ตรงนั้นเลย ใครวิ่งหนีพ่อจะตี" พวกแกหยุดในทันที สองคนนี้ซุกซนกันมาก เผลอเป็นไม่ได้ถ้าได้จับปากกาหรือเมจิกอะไรสักอย่างก็จะวาดไปซะทุกที่เลย "พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามมาวาดรถแบบนี้" "ขอโทษครับ" "พรุ่งนี้ตื่นมาตั้งแต่เช้าล้างรถให้พ่อให้สะอาด และห้ามเอาปากกาเมจิกมาเขียนอีกถ้าพ่อเห็นอีกครั้งพ่อจะตีจริงๆ ด้วย" "ครับพ่อ" ผมก็พูดร่ำไปอย่างนั้นแหละอันที่จริงก็ไม่กล้าตีหรอก ตั้งแต่พวกแกโตมาผ
หลังจากที่คลอดขุนทัพออกมาที่บ้านก็วุ่นวายมากขึ้นเพราะสองพี่น้องคู่นี้ทั้งดื้อและก็ซนมาก ทำเอาฉันกับภาปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน ตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะทำหมันทันทีที่คลอดขุนทัพออกมา แต่คุณไกรเขาอยากจะมีลูกผู้หญิงอีกสักคนฉันก็เลยยังไม่รีบทำหมัน บางทีลูกคนที่สามของเราอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันก็ปล่อยผ่านมาร่วมสองปีได้แล้วล่ะ ขุนพลอายุสามขวบเกือบจะสี่ขวบแล้ว ส่วนขุนทัพก็เพิ่งจะสองขวบหมาดๆ ไม่รู้ว่าสองพี่น้องเขาโตทันๆ กันด้วยหรือเปล่า ที่บ้านก็เลยวุ่นวายเอามากๆ เพราะมีผู้นำอย่างที่ชายน้องชายเลยกล้า ส่วนที่ชายก็มีพ่อเป็นผู้นำอีกที พวกนี้ทำอะไรกันเป็นทอดๆ หลายปีก่อนคุณไกรเขาเคยพูดเอาไว้ว่าอยากให้บ้านของเขามีเด็กตัวเล็กๆ ออกมาวิ่งเล่นสร้างสีสันให้กับบ้านมันจะได้ไม่ต้องเงียบเหงาแบบนี้ ตอนนี้น่าจะสมใจเขาแล้วล่ะ เพราะตอนนี้มีเด็กออกมาวิ่งเล่นจนวุ่นวายตามที่เขาต้องการแล้ว มันวุ่นวายมากจริงๆ นะ ไม่รู้เป็นเพราะเด็กผู้ชายด้วยหรือเปล่า พอโตทันๆ กันก็มักจะพากันวิ่งเล่นซุกซน รื้อข้าวของโน่นนี่ บ้างก็ไปเล่นจนข้าวของของคุณไกรเสียหายไป แต่เขาจะไปว่าอะไรลูกเขาล่ะตามใจกันขนาดนี้ "ขุนพล ขุนทัพ มากินข
พอท้องเริ่มโตก็แน่นอนว่าฉันทำอะไรลำบากขึ้น ลูกคนนี้ก็ดื้อตั้งแต่อยู่ในท้องเลยไม่ต่างอะไรจากลูกคนแรกเลย และพอฉันท้องใหญ่แบบนี้คนที่ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกชายตัวแสบก็คือคุณไกร บางครั้งปู่กับย่าก็จะมารับไปเล่นที่บ้านเหมือนอย่างเคย ถามว่าแต่ละวันฉันเหนื่อยบ้างไหม กับลูกฉันไม่ค่อยเหนื่อยสักเท่าไรเพราะแกไม่ค่อยเข้าใกล้ฉัน จะเหนื่อยกับการที่ต้องแบกท้องใหญ่ๆ มากกว่า บรืน~ เสียงรถกระบะแล่นเข้ามาจอดในบ้าน พร้อมกับได้ยินเสียงของลูกชายตะโกนด้วยความดีใจ เขาจะชอบมากเวลาที่พ่อกลับมาจากทำงาน เพราะคุณไกรเขาจะคอยเป็นเพื่อนเล่น "พ่อ!" "หืม วิ่งมารับเร็วเชียวนะตัวแสบ พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่งออกมาเดี๋ยวรถจะเหยียบเอา" "ขุนพลลูก ลงมาก่อนให้พ่อไปอาบน้ำก่อน""ไม่เอา" "พ่อเพิ่งทำงานมาเหนื่อยๆ นะมีแต่เหงื่อเต็มตัวเลย" "ไม่เอา ไปอาบน้ำกับพ่อ" "อะๆ โอเค ไปอาบน้ำด้วยกันก็ได้" พ่อลูกคู่นี้ตามใจกันยิ่งกว่าอะไรดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้เหนื่อยแทบตายเพราะลูกชายแสนดื้อ แต่ตอนนี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลย ฉันปล่อยให้เขาพากันไปอาบน้ำ จนกระทั่งพากันเดินลงมา ซึ่งฉันกับภาก็เตรียมอาหารตอนเย็นเสร็จพอดี "กินข้า
เขมิกา Talk "สองขีด!" ฉันร้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อคือที่ตรวจครรภ์เข้ามาตรวจในห้องน้ำ ตั้งแต่ที่คลอดลูกฉันกับคุณไกรเรามีอะไรกันแค่สามครั้งเอง และก็มีแค่ครั้งเดียวที่เราไม่ได้ป้องกัน และก็เป็นครั้งล่าสุดด้วย ไม่คิดว่าจะมีลูกคนที่สองได้ง่ายขนาดนี้ เขาจะว่ายังไงนะที่เรากำลังจะมีลูกคนที่สองด้วยกันแบบนี้ แถมเจ้าขุนพลก็เพิ่งจะอายุขวบกว่าๆ เองด้วย รายนั้นก็ทั้งดื้อทั้งซนใช่ย่อยเล่นเอาคุณไกรเหนื่อยจนแทบเป็นลมทุกวัน "แม่!" "ว่าไงตัวแสบ" แกเริ่มพูดได้เป็นประโยคแล้วล่ะนะ "มีอะไรหรือเปล่าทำไมวันนี้ลงมาช้า" "ไม่มีอะไรค่ะ แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนกันคะ""ไปหาปู่กับย่า" "อ๋อ..." ขุนพลแกติดปู่กับย่ามาก ตอนเด็กๆ ปู่กับย่าชอบมารับไปเล่นที่บ้านโน้นด้วยบ่อยๆ ส่วนตากับยายก็แวะมาหาบ้างเป็นครั้งคราวเพราะอยู่ไกล "แล้วนี่คุณจะไปกับลูกด้วยหรอ" ฉันถามคุณไกรเพราะเขาเองก็แต่งตัวหล่อเหมือนกับจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน "ครับ จะไปด้วยไหม""มีหรอที่ตัวแสบจะให้ฉันอยู่บ้าน" ไม่ว่าจะออกไปไหนก็ตามจะเอาลูกชายตัวแสบจะชอบให้ฉันตามติดไปด้วยตลอด จนกว่าจะได้เจอปู่กับย่าแกถึงจะยอมให้ฉันกลับได้ แกติดฉันมากเลยล่ะ พอจัดการอะไร
หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมา นายหัวไกรก็เป็นคนดูแลลูกเองเพราะภรรยายังไม่แข็งแรงดี เขาเป็นคุณพ่อมือใหม่ที่แน่นอนว่าการเลี้ยงเด็กทารกแรกเกิดคนนึงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเขา แต่เขาก็ยังทำได้ดีทุกอย่าง เอาใจใส่ลูกและภรรยาเป็นอย่างดี ลูกชายคนแรก ได้ชื่อว่า ขุนพล ชื่อนี้เขมิกาเป็นคนตั้งให้ลูกชายเอง เพราะเป็นลูกชายคนแรกนายหัวไกรจึงให้ภรรยาเป็นคนตั้งชื่อให้กับลูกเอง แกเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย ไม่ค่อยร้องไห้งอแงสักเท่าไร "เขม..." ชายหนุ่มเรียกภรรยาของตัวเอง เมื่อเห็นเธอเดินออกมาจากห้องที่ต้องอยู่ไฟ "คุณไกร""ออกมาทำไม?""ฉันแค่อยากออกมาสูดอากาศบ้างอยู่แต่ในห้องแบบนั้นมันน่าเหนื่อย""ออกมาแค่แป๊บเดียวก็พอนะ""ค่ะ" นายหัวไกรเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรเกี่ยวกับความเชื่อสักเท่าไร แต่เรื่องที่ภรรยาจะต้องอยู่ไฟเขาเชื่อมาก จึงให้คนงานผู้หญิงที่มีความรู้ด้านนี้มาช่วยดูแลสักระยะนึง หมับ!"อะไรคะเนี่ย?""อยากกอดจังเลย" ตั้งแต่ลูกคลอดออกมาทั้งสองก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย เพราะเขมิกาจะต้องอยู่ไฟจึงไม่ค่อยได้เจอหน้ากับสามีสักเท่าไร เขาเองก็ต้องคอยดูแลลูกที่เพิ่งจะคลอดออกมาได้ไม่กี่อาทิตย์ "ฉัน
เขมิกา Talk เวลาดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบ้านของเราที่กำลังต่อเติมเสร็จไปได้ด้วยดีเสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่างรวมถึงการตกแต่งด้วย เขาคาดการณ์เอาไว้ว่าอยากจะให้บ้านที่กำลังต่อเติมเสร็จก่อนที่ลูกของเราจะคลอดออกมา และก็เป็นไปตามที่เราคาดเอาไว้จริงๆ ตอนนี้ฉันท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว และลูกของเราก็เป็นลูกผู้ชายด้วยล่ะ ท้องใหญ่ขึ้นมากการเดินเหินก็เลยค่อนข้างจะลำบาก และฉันก็ไม่ได้ไปทำงานที่สวนอีกเลยตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองท้อง ส่วนเขาก็ไปบ้างเป็นบางครั้งนานๆ จะไปทีนึง "โอ๊ะ!" ฉันร้องอุทานออกมาเมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในท้อง ช่วงนี้ลูกดิ้นแรงมากๆ ถีบทีจุกไปยันลิ้นปี่ "เป็นอะไร เจ็บท้องหรอ!?" "ปะ เปล่าค่ะ ลูกดิ้นแรงไปหน่อย""หืม คนเก่งครับ อย่าทำแม่เขาแรงนักสิแม่เจ็บนะ" "สงสัยลูกอยากจะออกมาวิ่งเล่นแย่แล้วนะคะ""ตอนนี้ยังไม่ครบกำหนดรอให้ครบกำหนดก่อนแล้วค่อยออกมานะตัวแสบ" คุณไกรเขาลูบท้องของฉันไปมาเบาๆ จนลูกหยุดดิ้นไป ไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ทุกครั้งที่เขาเข้ามาลูบท้องแล้วพูดกับลูก แกจะหยุดถีบท้องฉันทันทีอย่างกับรู้ว่าพ่อของเขาพูดอะไร "อึดอัดหรือเปล่า" "ก็อึดอัดอยู่เหมือนกันค่ะ ท้องใหญ่ขึ