Share

บทที่ 5 ไม่ยอมพบหน้า

last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-04 18:17:33

ยามถูกบิดาว่ากล่าวตักเตือนเสวียนหนิงอันมักหนีไปกอดมารดาอย่างเงียบ ๆ ไม่ต่อความยืดยาวเพราะทราบดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทบทุกครั้งนางเอนตัวนอนนิ่งเฉยข้างมารดาหลายชั่วยาม พิจารณาว่าเหตุใดจึงทำผิด สำนึกได้แล้วจริงหรือไม่ ควรทำอย่างไรเพื่อบรรเทาโทษของตนเอง

ตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิได้ตามใจบุตรสาวอย่างที่คนร่ำลือ หลายครั้งถึงขั้นกักบริเวณและไม่พูดด้วยนานกว่าเจ็ดวัน แต่กระนั้นนางกลับไม่นึกกังวลเพราะทราบดีว่าบิดารักตนมาก อย่างไรก็ต้องได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอน

เสวียนหนิงอันเคยคิดว่าท่านพ่อคงไม่รู้สึกอันใดมากเพราะเป็นฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดกับนางเอง แต่พอพบเจอกับสถานการณ์เดียวกัน โกรธเคืองคนที่ตนรักจนไม่อยากสนทนาด้วย เสวียนหนิงอันจึงเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมานางไม่ใช่บุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายสักเท่าใดนัก

‘ท่านพ่อคงเหนื่อยใจมากเป็นแน่’

ยามนั้นนางไม่รู้สึกว่าการถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง ทำเพียงรออย่างใจเย็นสักสามวันแล้วค่อยเข้าไปคุกเข่าขอรับโทษ ร่ายความผิดของตนให้ฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หลังจากนั้นตวนอ๋องผู้เป็นบิดาก็จะเผยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย โคลงศีรษะอย่างไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก่อนโบกมือให้นางกลับไปพักผ่อน ทำตัวปกติตามเดิม

‘เพราะพ่อไม่ดีเอง ไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าตั้งแต่แรก’

เสวียนหนิงอันเฉลียวฉลาดและมีความจำเป็นเลิศ เรื่องที่บิดาและมารดามีเรื่องไม่เข้าใจกัน แยกจากนานหลายปีก่อนจะกลับมารักกันดังเดิมนางจำได้ดีเยี่ยม แม้ไม่รู้รายละเอียดชัดเจน แต่ก็รู้ว่าที่บิดาเข้มงวดกับนางมากเป็นพิเศษเพราะต้องการให้บุตรสาวที่มิได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกเกิดเติบโตไปเป็นสตรีที่ดี

‘สุดท้ายข้าก็ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง คนใจร้ายผู้นั้นด่าว่าข้าไม่เป็นไร แต่นี่เขากลับกล่าวกระทบถึงท่านด้วย’

เสวียนหนิงอันโกรธบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางอย่างมาก จากที่ตั้งใจว่าจะยอมทุกอย่าง เอาความจริงใจเข้าสู้ แต่พอได้ยินเขาดูถูกบิดาก็ถึงกับทนมิได้ น้อยใจกว่ายามที่ตนถูกด่าพันเท่าทวีคูณ

แต่กระนั้นนางก็ยังคิดถึงเขา...

อยากพูดคุยด้วยใจแทบขาด แต่ก็ต้องข่มความต้องการเพื่อสั่งสอนคนที่กระทำความผิดให้ตระหนักรู้ว่าเหตุใดจึงถูกลงโทษ ว่าแต่คนที่นางต้องการลงโทษจะใส่ใจสำนึกผิดหรือไม่?

“อ๊ะ!” เสวียนหนิงอันยืนชมสวนดอกเหมยกุ้ยอยู่พลันเซไปครึ่งก้าว สาวใช้เจียอีที่ยืนอยู่ไม่ห่างจึงตรงเข้ามาประคองทันที

“อากาศเริ่มเย็นแล้ว ฮูหยินน้อยกลับเข้าเรือนเถิดนะเจ้าคะ” เจียอีกล่าวกับนายหญิงคนใหม่อย่างนอบน้อม ในวันนั้นนางเฝ้ารออยู่หน้าเรือนเล็กเผื่อฮูหยินน้อยต้องการเรียกใช้ จึงได้ยินบทสนทนาแทบทุกประโยค ความจริงที่ว่าฮูหยินน้อยมิใช่บุตรสาวของพ่อค้าก็เช่นกัน

“ข้าเบื่อ ไม่อยากอยู่ในเรือน” เสวียนหนิงอันพ่นลมหายใจยาวเมื่อเห็นท่าทางสุภาพเกินกว่าเหตุของเจียอี “บอกว่าให้ทำตัวเช่นเดิม บิดาของข้าเป็นใครหาสำคัญไม่ สำคัญว่าข้าในวันนี้คือภรรยาของผู้ใดต่างหาก”

“โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ มีใครในเมืองหลวงไม่รู้บ้างว่าท่านอ๋องมีอิทธิพลมากเพียงใด ฮ่องเต้รักใคร่ราวกับพี่น้องร่วมอุทร ส่วนองค์ชายรัชทายาทก็เกรงพระทัยท่านอ๋องยิ่งนัก”

“คนก็พูดไปอย่างนั้นเอง พี่อวิ๋นฝู… เอ่อ องค์ชายรัชทายาทเกรงพระทัยที่ใดกัน ส่งงานให้ท่านพ่อข้าช่วยทำอยู่เรื่อย ๆ เอาเถิด ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หากเจ้าทำตัวปกติไม่ได้ก็ไม่ต้องมาดูแลข้า” เสวียนหนิงอันตัดบท เตรียมกลับเข้าเรือนที่เปรียบได้ดั่งที่จองจำอิสรภาพ แต่ก้าวขาได้เพียงสิบก้าวก็ต้องหยุดพักหอบหายใจ

เสวียนหนิงอันนอนหลับไม่สนิทสามวันแล้ว

“ฮูหยินน้อยอย่าเดินเร็วสิเจ้าคะ!” ความตกใจทำให้เจียอีมิสนใจเรื่องมารยาทอีก

“เสียงดังฉะฉานเช่นนี้ค่อยสมเป็นเจียอี สงสัยข้าจะต้องหน้ามืดให้บ่อย เจ้าจึงจะกลับมาสนิทสนมกับข้าเหมือนที่ผ่านมา” เสวียนหนิงอันมองดูสาวใช้ของนางทำหน้ากระเง้ากระงอดอย่างเอ็นดู แต่ยังมิทันได้กลับเรือนอย่างที่ตั้งใจไว้ ซุนหยาก็เข้ามาแจ้งนางด้วยเรื่องเดิม ๆ ที่ได้ยินมาสามวันแล้ว

“นายท่านเชิญฮูหยินน้อยไปพบเจ้าค่ะ บอกด้วยว่าหากไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

“บอกเขาไปว่าข้าไม่สะดวก” ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายผิดก็ควรมาขอโทษนางเองมิใช่หรือ

“แต่นายท่านเชิญฮูหยินน้อยถึงแปดครั้งแล้วนะเจ้าคะ มีเรื่องไม่พอใจอันใดก็ควรคุยกัน มิใช่หลบหน้า ปล่อยให้ปัญหาค้างคาเช่นนี้” ซุนหยาอดตำหนิมิได้

“นายท่านใจร้ายกับฮูหยินน้อยมาก ท่านป้าไม่รู้ก็อย่าเพิ่งพูดเลย” เจียอีสอดปากปกป้องนายหญิงของตนสุดกำลัง

“เจียอี!” ซุนหยาตวาด

“จริง ๆ นะเจ้าคะท่านป้า นายท่านพูดจาไม่ดีจนฮูหยินน้อยร้องไห้ทั้งคืน”

“เจียอี เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” เสวียนหนิงอันตัดบทรวดเร็วดียิ่ง “ท่านป้าไปแจ้งเขาเถิดว่าข้าไม่ไป”

“หากแจ้งว่าไม่ไป อีกครึ่งชั่วยามนายท่านก็ต้องส่งข้ามาเชิญฮูหยินน้อยอีก… ฮูหยินน้อยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอันใดหรือเจ้าคะ เผื่อว่าคนแก่อย่างข้าจะช่วยให้คำแนะนำได้บ้าง” ซุนหยาอายุมากแล้วย่อมไม่สะดวกเดินไกล ๆ จึงอยากกำจัดปัญหาเพื่อมิให้ข้อเข่าของนางเสื่อมก่อนเวลาอันสมควร

“ท่านป้ายินดีช่วยข้าจริงหรือ” เสวียนหนิงอันถามเสียงเบา พออีกฝ่ายรับคำก็พลันยิ้มกว้าง ทำให้บรรยากาศในสวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถึงแปดส่วน นางชักชวนให้หญิงสูงวัยตามไปสนทนาต่อที่เรือนเพราะเรื่องที่ต้องการปรึกษามิสมควรแพร่งพรายให้ผู้ใดได้ยิน

ซุนหยาเห็นด้วยจึงเดินตามโดยไม่ปริปากบ่น พอเห็นนายหญิงคนใหม่ก้าวเดินเชื่องช้า ดูเหนื่อยล้าอ่อนแรงผิดวิสัย นางจึงรู้สึกมิค่อยสบายใจนัก

ซุนหยาปากมีดใจเต้าหู้[1] คนในบ้านล้วนทราบกันดี

เรือนหลังเล็กของเสวียนหนิงอันมีระเบียงยาวทางด้านทิศตะวันตกที่เหมาะกับการนั่งเล่น ยิ่งหลายวันที่ผ่านมานางนอนหลับมิค่อยดี หลังกินมื้อเช้าแล้วจึงพักเอนหลังที่นี่ แต่ในวันนี้นางกลับใช้เป็นสถานที่สำหรับปรึกษาปัญหาสำคัญ

“ต้องปฏิบัติตนเช่นใดจึงจะได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่ไร้มารยา” เสวียนหนิงอันถามอย่างอาย ๆ หลังจากหย่อนร่างนั่งบนตั่งไม้ริมระเบียงแล้ว

“เหตุใดฮูหยินน้อยจึงถามเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” ซุนหยาไม่เข้าใจนัก

“ท่านอากล่าวหาว่าข้าเป็นสตรีมากมารยา หว่านเสน่ห์ล่อลวงบุรุษ ท่านป้าเห็นข้าเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่”

เสวียนหนิงอันมองอย่างคาดหวัง กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ไม่ต้องการ

“ข้าไม่ได้ใกล้ชิดกับฮูหยินน้อยมากพอ เรื่องนี้ควรต้องถามเจียอีมิใช่หรือเจ้าคะ”

ซุนหยาพยักพเยิดไปยังสาวใช้อายุน้อย ปรากฏว่านางรีบให้คำตอบอย่างกระตือรือร้น ดวงตาทอประกายระยิบระยับราวกับรับรู้เรื่องสำคัญอันใดมา

“ฮูหยินน้อยมีเสน่ห์หาสตรีใดเทียบได้ยาก ผิวพรรณขาวกระจ่างดุจไข่มุกเรืองแสง ใบหน้าเล็กสวยงามราวกับภาพวาด ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวน แม้ไม่ทาขี้ผึ้งก็ยังมีสีสันดุจผลอิงเถา[2] แต่ความงามเหล่านั้นล้วนมิใช่มารยา เป็นพรจากสวรรค์โดยแท้”

เจียอีพอทราบความว่าบิดาของฮูหยินน้อยคือผู้ใดก็กล่าวชมนางต่อเนื่องจนแทบหายใจไม่ทัน “แม้ในหีบมีอาภรณ์งดงามมากมาย แต่ยามออกนอกเรือนฮูหยินน้อยแต่งตัวเรียบง่าย ยามเจอหน้านายท่านก็มิเคยออดอ้อนเกินสมควร จึงสรุปได้ว่าฮูหยินน้อยจริงใจกับนายท่าน ไร้มารยาโดยสิ้นเชิงเจ้าค่ะ”

“ขนาดเจ้ายังมองออกว่าข้าพยายามจริงใจกับเขาอย่างที่สุดแล้ว ไม่เคยแสดงกิริยาเฉกเช่นเหล่าสาวงามที่อยู่กับเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่กระนั้นข้าก็ยังถูกกล่าวหา… เรื่องนั้นมิเป็นไร แต่ลามปามถึงท่านพ่อ ข้าบอกตามตรงว่าทำใจพบหน้าเขามิได้จริง ๆ”

“ลามปามถึงท่านพ่อ ฮูหยินน้อยหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” ซุนหยาอดถามมิได้

“ถูกเขาดุด่าอย่างไรข้าไม่เคยโอดครวญ แต่ครั้งนี้กลับกล่าวหาว่าท่านพ่อไม่เคยอบรมข้า… ท่านป้า ข้าอาจเป็นสตรีที่ไม่ได้ความเพราะถูกตามใจตั้งแต่จำความยังไม่ได้ แต่ข้าทนฟังผู้อื่นพูดจาไม่เคารพบิดาของตนมิได้จริง ๆ”

เสวียนหนิงอันพูดมากเข้าก็หมดแรงจนแทบหน้ามืด แต่กระนั้นก็ยังโบกมือบอกเจียอีว่าไม่ต้องกังวล

“คืนนี้ฮูหยินน้อยให้ข้านอนเป็นเพื่อนเถิดนะเจ้าคะ เผื่อจะนอนหลับสนิทขึ้นมาบ้าง”

“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอ อดทนอีกไม่กี่วันร่างกายก็ปรับได้ นอนหลับโดยไม่ใช้กำยานอย่างที่เขาต้องการ นอนคนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาอยู่เป็นเพื่อน เจียอี ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงข้ามาก แต่เรื่องนี้หากไม่หัดให้ชิน อนาคตคงเป็นที่ขบขันของผู้คนที่ทราบเรื่องแล้ว”

ซุนหยามิทราบเรื่องราวทั้งหมด แต่พอจับใจความได้ว่านายท่านสกุลหลี่ดุภรรยาอายุน้อยและกล่าวกระทบไปถึงบิดาของนางด้วย ฮูหยินน้อยมิยอมไปพบหน้านายท่านจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก

หากสามีที่ล่วงลับกล่าวลบหลู่บิดาของนาง ผลก็คงออกมาไม่ต่างกัน

“ช่วงนี้อากาศแปรปรวนฮูหยินน้อยควรดูแลสุขภาพและพักผ่อนให้เพียงพอนะเจ้าคะ” ซุนหยากระแอมเบา ๆ รู้สึกขัดเขินที่ต้องแสดงความห่วงใยต่อภรรยาใหม่ของนายท่านอยู่พอสมควร

“ท่านป้าพูดถูก คืนนี้ข้าจะพยายามไม่คิดมากและเข้านอนเร็วขึ้นสักหน่อย” เสวียนหนิงอันรับคำอย่างว่าง่าย แม้สนทนาแล้วไม่ได้ประโยชน์อันใดมาก แต่การได้ระบายความอึดอัดออกมาบ้างก็ทำให้นางรู้สึกดีไม่น้อย

“เรื่องความรู้สึกล้วนเข้าใจยาก เอาไว้ข้าจะแจ้งต่อนายท่านว่าฮูหยินน้อยยังมิพร้อมสนทนา มีเรื่องเร่งด่วนอันใดก็ให้รอไปก่อน แต่เรื่องนอนไม่หลับนั้นต้องแก้ไขเป็นการด่วน” ซุนหยาตัดสินใจแล้วว่าจะยอมเดินไกลอีกสักหลายรอบ ไม่บังคับใจฮูหยินน้อยให้ไปพบหน้าสามีอีก

“เจียอีเจ้าไปที่ครัวกับข้า จัดเครื่องดื่มรสหวานให้กับฮูหยินน้อยได้ดื่มให้สดชื่นสักหน่อย”

“เจ้าค่ะ ท่านป้า”

“ยามใกล้ค่ำให้ฮูหยินน้อยดื่มชาดอกหอมหมื่นลี้ ชาชนิดนี้มีกลิ่นหอมและช่วยให้หลับสนิทดียิ่ง... หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวไปแจ้งนายท่านก่อนนะเจ้าคะ” ซุนหยาขยับตัวจะลุกขึ้น เสวียนหนิงอันเห็นดังนั้นก็รีบตรงเข้าไปประคองทันที

“ขอบคุณท่านป้ามาก เสวียนหนิงอันติดค้างท่านแล้ว”

เจ็ดวันแล้วที่ซุนหยาแจ้งว่าฮูหยินน้อยมิต้องการพบหน้า

นับตั้งแต่แต่งสาวงามในวัยสิบหกปีเข้ามาเป็นภรรยาลับ หลี่จินหมิงก็ทำใจไว้แล้วว่าชีวิตของตนคงไม่เหมือนเดิม ที่ผ่านมาเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องราวอันใดมาก ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า หลังกินมื้อเย็นเรียบร้อยจึงกลับมาพักผ่อนในเรือนใหญ่ ทว่าหลายวันมานี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม

หลี่จินหมิงกลับบ้านในต้นยามเซิน[3]ได้หลายวันแล้ว

แม้อยากเข้าไปพูดคุยและขอโทษ แต่ด้วยความที่เขาอายุมากกว่าถึงยี่สิบปี กอปรกับตอนนี้มีฐานะเป็นสามีของนาง เรื่องออดอ้อนเอาใจจึงไม่สมควรทำ

เสวียนหนิงอันมิใช่เจ้าตัวเล็กที่เขาจำได้ นางไม่เข้าหาเขาเหมือนในอดีต โกรธแล้วเก็บตัวเงียบไม่ยอมพูดจา ให้ซุนหยาตามตัวหลายครั้งก็ไม่ยอมมาพบ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้เขาจะทำความเข้าใจกับนางได้อย่างไร

“นายท่านเจ้าคะ ฮูหยินน้อยแจ้งว่าไม่สะดวกมาพบเจ้าค่ะ” ซุนหยากล่าวเสียงเรียบ นางแจ้งเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองของวัน แต่โชคดีที่ไม่ต้องเดินไกลเพราะฮูหยินน้อยให้ตอบได้เลยว่าไม่ต้องการพบ หรือหากต้องการถามจริง ๆ ก็มิต้องเดินไกล เพราะฮูหยินน้อยมิได้กักขังตนเองอยู่ในเรือนเล็กหรือนั่งเล่นอยู่ในสวนดังที่ผ่านมาแล้ว

“ตามใจนาง! ไม่อยากพบก็ไม่ต้องมา!” หลี่จินหมิงตะคอกเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนโบกมือไล่ซุนหยา แต่นางกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ปรากฏว่านางต้องการให้เขาสั่งชาจากร้านค้าสกุลหลี่

“หลายวันก่อนข้าเห็นฮูหยินน้อยร่างกายอ่อนล้า สอบถามจากเจียอีพบว่านางมีอาการนอนไม่หลับ จึงแนะนำให้ดื่มชาดอกหอมหมื่นลี้เจ้าค่ะ” ซุนหยาเล่าต่อว่าชาใกล้หมดแล้ว จึงต้องรบกวนนายท่านสั่งจากร้านค้าเพิ่มเติม

“แล้วตอนนี้นางเป็นเช่นใดบ้าง”

“ฮูหยินน้อยไม่ได้ใช้กำยานตามที่นายท่านสั่ง ทั้งยังไม่ได้รบกวนสาวใช้ให้มานอนด้วย ทำเพียงดื่มชาก่อนเข้านอน ช่วงแรกยังปรับตัวไม่ได้ แต่สามวันที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเรื่องการนอนแล้วเจ้าค่ะ”

“นางมีนิสัยนอนยาก กินยากตั้งแต่เด็ก ให้นางดื่มชานับว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมแล้ว”

“ฟังดูแล้วนายท่านรู้จักฮูหยินน้อยมานาน ย่อมทราบดีว่าต้องจัดการเช่นใดมิใช่หรือเจ้าคะ” ซุนหยาแสร้งถาม

“ไม่ถูกต้องนัก ข้าเคยดูแลนางเพียงสามปีกว่า หลังจากนั้นก็แทบมิได้พบหน้า” หลี่จินหมิงหลับตาคำนวณอย่างละเอียด “หากไม่นับงานปักปิ่นเมื่อปีก่อนก็พูดได้เต็มปากว่าข้าไม่เจอนางกว่าหกปี ระยะเวลานานเช่นนั้นคงเรียกว่ารู้จักกันมิได้แล้ว”

“ฮูหยินน้อยก็กล่าวเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”

“นางพูดว่าอย่างไรเล่า”

“พูดว่า... นายท่านไม่ใช่ท่านอาหลี่ของนางแล้วเจ้าค่ะ”

“นางพูดเช่นนั้นจริงหรือ” หลี่จินหมิงถามต่อ

“ฮูหยินน้อยพูดว่าหากย้อนเวลาได้จะแต่งงานกับผู้อื่น ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับนายท่านเจ้าค่ะ” ซุนหยากล่าวจบก็ขอตัวทันที

หลี่จินหมิงอยากปิดตาอุดหู ไม่รับรู้เรื่องราวที่ไม่เกี่ยวกับงาน แต่คำของซุนหยาทำให้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ดังปรารถนา หัวใจที่เคยด้านชานี่ก็น่ารำคาญเหลือเกิน อยู่ ๆ ก็เต้นไม่เป็นจังหวะเพราะคำพูดไม่รู้จักคิดของเจ้าตัวเล็กแท้ ๆ

‘หึ หากย้อนเวลาได้จะไม่แต่งกับข้า?! แล้วผู้ใดเล่าที่วางแผนรวบรัดข้าไปเป็นสามี!’

หลี่จินหมิงโกรธจนหน้าแดงอยู่พักใหญ่ ก่อนค่อย ๆ คิดได้ว่าที่นางรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิดเป็นเรื่องสมควรแล้ว ในเมื่อแผนการของเขาคือทำให้ภรรยาลับลำบากใจจนทนอยู่ด้วยไม่ได้ นางเสียใจจนอยากย้อนเวลาก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วมิใช่หรือ

เหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกยินดีกับมันเล่า!

‘ไม่ได้ เจ้าจะใจอ่อนเพราะนางไม่ได้ ตกลงกับตวนอ๋องไว้แล้วจะผิดสัญญาไม่ได้เด็ดขาด!’

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หลี่จินหมิงก็ตัดสินใจแล้วว่าต้องตีเหล็กตอนร้อน ในเมื่อนางไม่อยากยุ่งเกี่ยว เขาก็จะไปให้เห็นหน้า พูดจาไม่น่าฟังอีกสักสองสามประโยค ตอกย้ำให้ชัดเจนว่าการแต่งงานกับเขานั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแท้จริง

หลี่จินหมิงบอกตนเองว่าให้ใจเย็นระหว่างเดินไปยังเรือนเล็ก แต่ยังมิทันไปถึงครึ่งทางก็พบสาวใช้เจียอีถือกล่องใบหนึ่ง เดินกึ่งวิ่งอย่างรีบร้อนตรงไปยังโรงครัว

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดจึงรีบร้อนนัก”

“ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ! ฮูหยินน้อยถูกสะเก็ดไฟ ท่านป้าซุนจึงให้ข้ามาเอากล่องยาเจ้าค่ะ!”

“เป็นได้อย่างไรกัน!”

“เมื่อครู่อยู่ ๆ ก็มีลมแรงพัดมา ฮูหยินน้อยกำลังตรวจดูอาหารอยู่หน้าเตาจึงมิทันระวังเจ้าค่ะ”

“ฉิบหายแล้ว!”

หลี่จินหมิงวิ่งไปยังโรงครัวทันที

[1] ปากร้าย ใจอ่อน

[2] เชอร์รี

[3] ยามเซิน = ๑๕.๐๐ – ๑๖.๕๙ น.

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ภรรยาลับพ่อค้าสกุลหลี่   บทที่ 8 สามีชรา 1

    ลูกค้าประจำของร้านซิงเยียนทยอยออกจากร้านในช่วงปลายยามอู่[1]เนื่องจากทราบดีว่าในทุก ๆ สิบห้าวันร้านจะเปิดเพียงครึ่งวันและปิดในช่วงบ่ายเพื่อตรวจรับสินค้าจากต่างเมือง ส่วนลูกค้าใหม่ที่ยังไม่ทราบก็ยังคงเลือกดูสินค้าต่อไปเรื่อย ๆ เสวียนหนิงอันที่เข้ามาสืบความเองก็เช่นกันนางมั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่มีผู้ใดจำได้ มิใช่เพราะสวมเสื้อผ้าธรรมดาหรือทำผมต่างไปจากเดิม แต่เป็นเพราะหมวกที่สวมอยู่มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า ช่วยพรางตัวให้พ้นจากสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดีเสวียนหนิงอันคิดผิด…เจ้าของร่างสูงเอ่ยลาลูกค้าสตรีอย่างมีมารยาท ก่อนเบือนหน้าหนีเหล่าแม่สื่อที่ขยันแวะเวียนมาบ่อยจนน่ารำคาญ แต่กระนั้นพวกนางกลับมิใช่สาเหตุที่ทำให้เขาปวดหัวจนแทบกุมขมับ แต่เป็นสาวงามในวัยสิบหกปีที่แสร้งทำเป็นเลือกสินค้าอยู่ต่างหากเล่าหลี่จินหมิงอยากตรงเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนนาง แล้วพากลับบ้านเพื่อลงโทษให้หลาบจำ แต่สายตาสอดรู้สอดเห็นในร้านนั้น

  • ภรรยาลับพ่อค้าสกุลหลี่   บทที่ 7 ไม่อยากขอโทษ 2

    “แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอโทษ นายท่านก็จะโกรธฮูหยินน้อยต่อไปเรื่อย ๆ ไม่แวะมาหาที่เรือนให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติ ไม่นอนร่วมเตียง ไม่ผูกสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา…”“พอแล้วเจียอี ข้าไม่อยากฟัง”“ไม่อยากฟังก็ต้องฟังเจ้าค่ะ” เจียอีทราบดีว่าบิดาของฮูหยินน้อยน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังทำใจกล้า กล่าวขัดใจออกไปอีกหลายคำ “หากไม่ทำความเข้าใจกันในเร็ววัน นายท่านอาจเบื่อหน่ายและเลือกบุปผางามที่ว่านอนสอนง่ายมาประดับเรือน”“เจ้าหมายความว่า…” เสวียนหนิงอันหัวใจเต้นเร็ว เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่เข้าใจเรื่องที่สาวใช้ต้องการสื่อชัดเจนดี“โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ม่ายหนุ่มรูปงามฐานะร่ำรวยอย่างนายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ”“เจ้าคิดว่าเขาจะมีคนอื่นอย่างนั้นหรือ”“หากฮูหยินน้อยยังดีกับนายท่านก็คงไม่น่ากังวลใจ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ดี ยังไม่เข้าใจกัน โอกาสที่นายท่านจะสานสัมพันธ์กับสตรีอื่น…”“ไม่ต้องพูดแล้ว” นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อ “เจียอี วันนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นข

  • ภรรยาลับพ่อค้าสกุลหลี่   บทที่ 7 ไม่อยากขอโทษ 1

    บาดแผลเล็ก ๆ ของเสวียนหนิงอันจางลงจนแทบมองไม่เห็น แม้ก่อนหน้าจะแสดงทีท่าว่าไม่สนใจหากต้นแขนของตนต้องมีตำหนิ แต่ความจริงแล้วนางใส่ใจอย่างมาก ช่วงแรกถึงขั้นตรวจเกือบทุกสองเค่อเพื่อดูว่าแผลแห้งแล้วหรือยัง จนกระทั่งถูกขู่ว่ามองมากไปแผลอาจหายช้า เสวียนหนิงอันจึงได้ยอมปล่อยวางคนขู่ให้กลัวก็มิใช่ใครอื่น เป็นหลี่จินหมิงหรือท่านอาใจร้ายของนางนั่นเอง นอกจากจะไม่ให้มองแผลบ่อย ๆ แล้ว เขายังยืนยันว่าต้องทาขี้ผึ้งให้ตรงเวลาและขอเป็นคนดูแลด้วยตนเองเสวียนหนิงอันปฏิเสธ ทว่าคนหน้าไม่อายกลับไม่ยอมรับฟัง นางจึงต้องยกเอาเรื่องที่ถูกหยิกแก้มจนช้ำมาต่อรอง ขอร้องว่าหากยอมให้เจียอีช่วยดูแลแทนแล้วนางจะไม่โกรธเขาอีก หลังจากเจรจาอยู่นานเขาก็ยอมแพ้ แต่ก็ไม่ลืมเตือนว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ หากครบเจ็ดวันแล้วก็ต้องมาให้ตรวจดูอีกครั้งเมื่อครบกำหนดเสวียนหนิงอันจึงสวมเสื้อคลุมตัวสวยเพราะอากาศค่อนข้างเย็น เดินไปยังห้องหนังสือเพื่อให้เขาตรวจสอบดูว่าผิวของนางไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ“ท่านอาเจ้าคะ…”เสวียนหนิงอันเอ่ยเรียกเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงตอบรับก็เปิดประตูห้องหนังสือและสาวเท้าตรงเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งตรวจบัญชี นางเห็นเขายกม

  • ภรรยาลับพ่อค้าสกุลหลี่   บทที่ 6 เสียใจเกินทน

    ยามอยู่ตำหนักเยว่ฉีเสวียนหนิงอันชอบทำอาหารอย่างมาก ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนชมว่ารสชาติดีกว่าโรงเตี๊ยมชื่อดัง แม้กระทั่งขนมนางก็ยังทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนบิดาต้องขอร้องว่าให้เลิกเข้าครัวเพราะกลัวว่ารูปร่างของตนจะไม่งดงาม กลัวว่าพระชายาเสวียนจะไม่รัก‘ท่านพี่จะอ้วนหรือผอม ซือชิงก็รักเจ้าค่ะ’‘เรื่องนั้นทราบแล้ว แต่พี่อยากดูดีในสายตาเจ้า…’ตวนอ๋องเฉินฟาหยางแสดงความรักต่อพระชายาอย่างไม่ปิดบัง หลายครั้งกอดและหอมอย่างไม่เกรงใจ เพิ่งลดลงก็ตอนที่เสวียนหนิงอันเติบโตเป็นสาวน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีหลุดพูดจาหยอกเย้าให้ท่านแม่แก้มแดงอยู่เรื่อย ๆแรก ๆ เสวียนหนิงอันก็เบื่อหน่ายอยู่บ้างที่ไม่ได้ทำอาหาร แต่หลังจากรับหน้าที่ดูแลร้านค้าเต็มตัว นางก็ยุ่งวุ่นวายจนลืมการเข้าครัว แต่นาน ๆ ครั้งก็ยังต้องแสดงฝีมือ เอาใจบิดาที่ขุ่นเคืองนางให้อารมณ์ดี หรือไม่ก็ยามที่น้องชายตัวน้อยเฉินหรานโอดครวญว่าอยากกินขนม โดยไม่ลืมกระซิบว่าอย่าลืมชงชาดอกโมลี่ฮวา[1]ให้ท่านแม่ด้วยยามซุนหยาชวนเข้าครัว นางที่คิดถึงครอบครัวอย่างมากจึงไม่ปฏิเสธเสวียนหนิงอันมีความสุขจนลืมปัญหากวนใจ ไม่นึกถึงบุรุษที่ทำให้ตนเองต้องเสียน้ำตาอีก นางทั

  • ภรรยาลับพ่อค้าสกุลหลี่   บทที่ 5 ไม่ยอมพบหน้า

    ยามถูกบิดาว่ากล่าวตักเตือนเสวียนหนิงอันมักหนีไปกอดมารดาอย่างเงียบ ๆ ไม่ต่อความยืดยาวเพราะทราบดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทบทุกครั้งนางเอนตัวนอนนิ่งเฉยข้างมารดาหลายชั่วยาม พิจารณาว่าเหตุใดจึงทำผิด สำนึกได้แล้วจริงหรือไม่ ควรทำอย่างไรเพื่อบรรเทาโทษของตนเองตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิได้ตามใจบุตรสาวอย่างที่คนร่ำลือ หลายครั้งถึงขั้นกักบริเวณและไม่พูดด้วยนานกว่าเจ็ดวัน แต่กระนั้นนางกลับไม่นึกกังวลเพราะทราบดีว่าบิดารักตนมาก อย่างไรก็ต้องได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอนเสวียนหนิงอันเคยคิดว่าท่านพ่อคงไม่รู้สึกอันใดมากเพราะเป็นฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดกับนางเอง แต่พอพบเจอกับสถานการณ์เดียวกัน โกรธเคืองคนที่ตนรักจนไม่อยากสนทนาด้วย เสวียนหนิงอันจึงเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมานางไม่ใช่บุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายสักเท่าใดนัก‘ท่านพ่อคงเหนื่อยใจมากเป็นแน่’ยามนั้นนางไม่รู้สึกว่าการถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง ทำเพียงรออย่างใจเย็นสักสามวันแล้วค่อยเข้าไปคุกเข่าขอรับโทษ ร่ายความผิดของตนให้ฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หลังจากนั้นตวนอ๋องผู้เป็นบิดาก็จะเผยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย โคลงศีรษะอย่างไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก่อนโบกมือให้นางกลับไปพักผ่อน

  • ภรรยาลับพ่อค้าสกุลหลี่   บทที่ 4 หว่านเสน่ห์ล่อลวง

    บ้านสกุลหลี่ที่ตั้งอยู่ตลาดฝั่งตะวันออกมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนเล็กใหญ่มากกว่าห้าเรือน เรือนที่ใหญ่ที่สุดเป็นของหลี่จินหมิงอย่างมิต้องสงสัย เรือนที่อยู่ถัดไปนั้นมีไว้สำหรับต้อนรับแขก อีกสองเรือนปิดตายไร้ผู้คนอยู่อาศัย ส่วนเรือนสุดท้ายซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กที่สุดนั้นเสวียนหนิงอันคือผู้ครอบครองตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งข้าวของเครื่องใช้ของบุตรสาวมายังบ้านสกุลหลี่หลังจากเกิดเรื่องได้เพียงวันเดียว ในยามนั้นเขาเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางแล้วรู้สึกเกรี้ยวกราด มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้สาวใช้นำข้าวของไปให้พ้นตา นึกไม่ถึงว่าหีบห้าใบจะอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนอีกสองใบที่สาวใช้นำไปไว้ในเรือนเล็กนั้นล้วนมีแต่ของเก่าที่ใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ปริปากบ่น หรือพูดให้ถูกต้องคือเขาจงใจหลบหน้านาง กอปรกับต้องเดินทางอย่างกะทันหัน ความลำบากเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นจึงถูกแก้ไขช้าไปสักหน่อยหลี่จินหมิงจำได้ดีว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากเพียงใดยามที่นางบอกว่ามิได้สวมบังทรง ยังจำได้อีกด้วยว่าตนตวาดเสียงดังจนนางหนีเตลิดจากห้องหนังสือ แต่หลังจากรวบรวมสติกลับมาสุขุมดังเดิมได้แล้ว เขาก็สั่งใ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status