LOGINนางเดินเข้ามาในห้องรับรองแขกที่เขานั่งรออยู่ ร่างบอบบางยามนี้สวมเพียงเสื้อตัวใน ทว่ามีผ้าปักลายสวยงามคลุมไหล่บางเอาไว้เพื่อป้องกันคำดุด่าไม่น่าฟัง ผมดำขลับที่มักปล่อยสยายมีผ้าผืนเล็กมัดไว้อย่างหลวม ๆ มองดูแล้วให้ความรู้สึกเย้ายวนไม่ต่างจากนางจิ้งจอกในนิทาน
หากคนภายนอกได้เห็นอาจคิดว่าเสวียนหนิงอันตั้งใจยั่วยุอารมณ์ของสามี แต่สำหรับนางแล้วการแต่งตัวไม่เรียบร้อยเป็นเพียงการกลั่นแกล้งให้เขาโมโหมากขึ้นสักหน่อยก็เท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจ ทั้งยังถามไถ่นางอย่างมีน้ำใจยิ่ง!
“หากไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ สวมใส่ ข้าให้ซุนหยามาวัดตัวเจ้า ดีหรือไม่”
“อย่าสิ้นเปลืองเงินทองเลยเจ้าค่ะ ความจริงข้าพอมีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่บ้าง แต่เพราะกลัวว่าท่านอาจะรอนานจึงผลุนผลันออกมาโดยมิทันคิด… ท่านอาอย่าโกรธที่ข้าแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยนะเจ้าคะ”
“ช่างเถิด เป็นข้าไม่ดีเอง มาหาเจ้าโดยมิได้แจ้งล่วงหน้า… ได้ยินว่าเจ้าดื่มน้ำเต้าหู้ไป ไม่รู้สึกหายใจลำบากหรือมีผื่นแดงตามร่างกายใช่หรือไม่”
หลี่จินหมิงตกตะลึงกับความงามของนางแทบละสายตาไม่ได้ แต่คำถามแฝงความไม่พอใจทำให้เขาได้สติและลนลานออกจากห้องอาบน้ำ หากผู้ใดเห็นคงกล่าวว่าอากัปกิริยามองแล้วไม่สมกับเป็นพ่อค้าสกุลหลี่ที่น่านับถือ ยามนี้เขาจึงพยายามนึกถึงเพียงเรื่องที่ทำให้ต้องมาพบหน้าภรรยาลับตั้งแต่แรกเป็นสำคัญ
เสวียนหนิงอันร่างกายไม่แข็งแรง ถูกลมเย็นนิดเดียวก็ล้มป่วยแล้ว
เขาจำได้ดีว่ามารดาของนางมีภาวะเสี่ยงในยามตั้งครรภ์ ต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงนานหลายสัปดาห์ และหลังจากประคบประหงมดูแลจนกระทั่งอายุครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว ทารกน้อยเสวียนหนิงอันก็ลืมตาออกมาดูโลก เติบโตเป็นสาวงามที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล เผลอไผลยามใดก็รู้สึกราวกับถูกสะกดให้ลุ่มหลงอยู่ในภวังค์อันงดงาม
“ท่านอาเจ้าคะ ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”
“เจ้า… เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลี่จินหมิงตกอยู่ในภวังค์ที่ว่านั่นแทบทุกครั้งที่เจอนาง
“ข้าพูดว่าดีใจที่ท่านอาจำได้ แต่หลังจากอายุสิบขวบข้าก็ไม่ได้แพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างที่ตวนอ๋องพูดไว้จริง ๆ” อาการแพ้ถั่วเหลืองของเสวียนหนิงอันเบากว่าบิดาของนางหลายส่วน ทั้งยังสามารถหายดีได้เองไม่ต่างกัน “หลังสิบขวบจึงกินดื่มได้ไม่ต้องกังวล”
“เจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลแล้ว” เสวียนหนิงอันกลอกตา มิสนใจรักษามารยาทอีก
เขาเห็นว่านางเป็นเด็กอายุสิบขวบอยู่หรอกหรือนี่!
“ว่าแต่เจ้ามีเหตุผลอันใดจึงต้องการส่งจดหมายให้กับท่านหมอหวงเล่า” หลี่จินหมิงเดิมทีต้องทำตัวแข็งกร้าวไร้อารมณ์ แต่เพราะความเป็นห่วงว่านางจะเป็นอันตรายจากเรื่องอาหาร จึงเผลอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจนคล้ายกับตัวเขาคนเดิมในอดีต เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนฟังจึงรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงยิ่งนัก
“ข้ามีนิสัยนอนหลับยาก ไม่ชินกับการนอนคนเดียว เมื่อวานกำยานผ่อนคลายอารมณ์หมดแล้ว จึงตั้งใจว่าจะส่งจดหมายไปขอท่านหมอเพิ่มเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันมิอยากร้องขออันใดมาก แต่เมื่อคืนที่ผ่านมานางนอนไม่หลับจริง ๆ
“หากใช้กำยานจนเป็นนิสัย ในอนาคตจะหลับได้ยากเสียยิ่งกว่าเก่า เจ้าได้คิดหาวิธีอื่นไว้บ้างหรือไม่”
หลี่จินหมิงคลายความวิตกเรื่องสุขภาพของนางแล้ว จึงเริ่มตรองเรื่องที่นางพูดอย่างละเอียด คิดไปคิดมาก็กลัวว่าตนจะตกหลุมพราง พ่ายแพ้ต่อความมากเล่ห์แสนกล หลงเชื่อในเรื่องที่ไม่ควรเชื่อ เผลอทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เฉกเช่นเมื่อหลายปีก่อนที่เขาถูกปั่นหัวโดยบิดาของนาง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางร้ายกาจ บุตรสาวจะแตกต่างกันอยู่หรือ
“ถ้ามิต้องนอนตามลำพังคงดีขึ้น เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านอา…”
“หึ! สุดท้ายก็เปิดเผยสิ่งที่ต้องการออกมาจนได้ แสร้งเรียกหาท่านหมอเรียกร้องความสนใจ นี่คงให้เจียอีจงใจพูดเรื่องน้ำเต้าหู้เพื่อให้ข้าเป็นห่วงกระมัง” หลี่จินหมิงลุกจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบจะชิดกัน
“เสวียนหนิงอัน เหตุใดเจ้าจึงมารยาเก่งยิ่งนัก เรื่องดี ๆ ที่ควรได้รับมาจากมารดาของเจ้าไม่มีเลยหรืออย่างไร เหตุใดจึงทำตัวร้ายลึกเช่นบิดา วางแผนหว่านเสน่ห์ ล่อลวงข้าไม่รู้จักจบสิ้น!”
“ท่านอา!” เสวียนหนิงอันตกใจแทบสิ้นสติ ถอยหลังออกห่างจากร่างสูงโปร่งราวสามก้าว ดวงตากลมโตกะพริบถี่อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง
“อยากนอนกับข้ามากถึงขั้นต้องสร้างเรื่องนอนไม่หลับ! มิแน่ใจว่าตวนอ๋องได้อบรมสั่งสอนบุตรสาวบ้างหรือไม่!”
ชั่วชีวิตเสวียนหนิงอันมิเคยนึกว่าจะมีผู้ใดพูดจาว่าร้ายให้หัวใจรู้สึกปวดร้าวได้มากถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นนางก็ยังรีบตั้งสติ เชิดหน้าตอบโต้กลับอย่างทันทีทันใด
“ข้าแค่จะขออนุญาตให้เจียอีมานอนด้วย หากเรื่องนี้ทำให้ท่านคิดว่าข้าเจ้าแผนการเหมือนท่านพ่อ ข้ายอมนอนเพียงลำพังไม่รบกวนสาวใช้ของท่านอีก กำยานนั่นก็เช่นกัน ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว!”
“นี่เจ้า!” หลี่จินหมิงถึงกับตะลึง มิรู้ว่าควรพูดอย่างไรเลยทีเดียว
“ในสายตาท่าน ข้าคงเป็นสตรีที่ร้ายกาจมาก ทุกครั้งที่พบกันท่านมักเบือนหน้าหนี แสดงทีท่าว่ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ขอถามสักหน่อยเถิดว่าเสวียนหนิงอันผู้นี้ไม่งดงามพอที่จะเป็นภรรยาของท่านหรือเจ้าคะ!”
“ไม่… ไม่ใช่เช่นนั้น” เขาจะตอบได้อย่างไรว่ามิกล้ามองเพราะกลัวว่าจะใจอ่อน ยอมทำทุกอย่างที่นางต้องการ
“แล้วเหตุใดจึงไม่มองล่ะเจ้าคะ!”
เสวียนหนิงอันเสียใจที่เขาอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ ขอบตานางยามนี้ร้อนผะผ่าว คาดเดาได้ว่าอีกไม่นานคงมีหยาดน้ำตาบนดวงหน้าสวยหวานเย้ายวน แต่นางจะไม่ยอมให้คนใจร้ายเห็นมันโดยเด็ดขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงปราดเข้าไปหาเขาและใช้สองมือผลักอกกว้างอย่างไม่เบานัก “หากตอบไม่ได้ท่านก็ออกไป! ข้าไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย ท่านออกไป!”
“เสวียนหนิงอัน!”
“หากยังไม่ไป ข้าจะร้องไห้ใส่ท่าน หรือว่าชอบมองน้ำตาของสตรี อยากเห็นข้าร้องไห้ซ้ำ ๆ เพราะบุรุษที่ไม่รู้จักรักษาสัญญาเช่นท่านอีก!”
“ข้าไปสัญญาอะไรกับเจ้า!”
“บอกว่าจะมาเยี่ยมทุกปี แล้วท่านได้มาหรือไม่!”
หลี่จินหมิงแทบกระอักเลือด ภาพเสวียนหนิงอันในวัยเด็กปรากฏชัดขึ้นในความทรงจำอันเลือนราง นางร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางขอให้เขากลับต่างเมืองไปด้วยกัน แต่หลังจากอธิบายแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ นางก็พลันนิ่งเงียบ ไม่ยิ้มแย้มหรือออดอ้อนเขาดังเดิม
‘อาสัญญาว่าจะไปเยี่ยมบ่อย ๆ’
เขาจำได้ว่าตนพูดคำหวานปลอบใจนาง สัญญาว่าจะไปเยี่ยมให้บ่อย ช่วงแรกก็ไปหาปีละครั้ง แต่หลังจากแต่งงานกลับไม่ได้พบหน้ากันนานกว่าห้าปี
เขาผิดสัญญา ทำนางเสียใจจนถึงขั้นร้องไห้จริงหรือ?
“ไป! สามีใจร้ายออกไปได้แล้ว!” เสวียนหนิงอันผลักเขาแรง ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อร่างสูงใหญ่พ้นประตู นางก็รีบลงกลอนและขังตนเองไว้ตามลำพังทันที
“หนิงเอ๋อร์…”
“ไปให้พ้น!”
หลี่จินหมิงยืนตัวแข็งราวกับถูกสาปอยู่หน้าเรือนเล็กชั่วขณะและทันทีที่เขาตัดสินใจหันหลังหมายใจจะกลับเรือนใหญ่ หัวใจที่ด้านชามานานก็พลันถูกเสียงสะอื้นเบา ๆ บีบรัดจนปวดร้าว ควบคุมอารมณ์ของตนไม่ได้ดีอย่างที่เคย
หรือว่าเขามองนางในแง่ร้ายมากเกินไป?
[1] ยามโหย่ว = ๑๗.๐๐ – ๑๘.๕๙ น.
“ไม่จริงจัง? แต่เจ้าก็บอกว่าชอบมิใช่หรือ” หลี่จินหมิงเห็นนางเอียงอายเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกว่าอยากดื่มสุราหรือกินกับแกล้มแล้วอยากกินภรรยามากกว่า…“พอถูไถไปได้ แต่ก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน”“ลืมไปได้อย่างไรว่าภรรยาของพี่ยังสาวและร้อนแรง… วันนี้คงต้องดูแลเจ้าเต็มที่ ให้สมกับที่ละเลยมานานสักหน่อยแล้ว” หลี่จินหมิงมอบจูบวาบหวามให้กับภรรยาที่น่ารักไม่แปรเปลี่ยน มือใหญ่ลูบไล้บั้นท้ายจนนางต้องร้องห้ามเสียงสั่น“ท่านพี่ทำงานหนัก กลับมาบ้านยังช่วยดูแลลูก ๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก บางอย่างบางเรื่องยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้เจ้าค่ะ”“ร้างรามาเป็นปี กำลังวังชาพี่มีอยู่ล้นเหลือ หนิงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อย” หลี่จินหมิงเห็นนางยิ้มเจื่อนราวกับกำลังหาทางหลีกเลี่ยงจึงรีบสอบถามให้เข้าใจ “ยามอยู่เรือนใหญ่เจ้าอ้างว่ากลัวลูกตื่นกลางดึก วันใดที่พี่อยู่บ้านเจ้าก็อ้างว่าไม่ไว้ใจแม่นม ยามนี้ได้คนคุ้นหน้ากันมาช่วยเหลือดูแล หนิงเอ๋อร์คิดอ้างอันใดอีก… หรือว่าเจ้ารังเกียจสามีชราเช่นพี่เสียแล้ว”“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ! ข้าแค่… แค่ไม่มั่นใจ”“ไม่มั่นใจ?” หลี่จินหมิงงุนงงจนกระทั่งนางนำมือเขาไปวางบนท้อง แต่แค่ครู่เดียวก็ไม่ให้
เสวียนหนิงอันกอดแขนสามีเดินออกจากเรือนใหญ่ที่ย้ายมาอยู่หลังแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ตัวเรือนปีกซ้ายถูกขยับขยายกว้างขวาง ส่วนฝั่งห้องเก็บของซึ่งเคยเป็นที่พำนักของจ้าวฮูหยินยังคงอยู่ตามเดิมเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ล่วงลับ โดยมีซุนหยาคอยดูแล“ไม่มีเรื่องอันใดมาก แค่ขันเรื่องที่ผ่านมาก็เท่านั้น” หลี่จินหมิงหอมแก้มภรรยาแผ่วเบา “นึกถึงวันที่เจ้าให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งทั้งสองด้วย”หวงซิงซวี่เก่งอย่างที่อวดอ้างจริง ๆ เขาจำได้ว่าภรรยาร้องเจ็บได้เพียงหนึ่งเค่อ ทารกแฝดก็ออกมาทักทายมารดา ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากทีเดียว“วันนั้นเจ้าคงเจ็บมาก”“เจ็บจริงเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่นัก” เสวียนหนิงอันยิ้มให้กับสามี “สงสารก็แต่พี่ซิงซวี่ เขาถูกท่านพ่อกับท่านพี่ร่วมมือกันกดดันนานกว่าเจ็ดเดือน หน้าตาทนมองไม่ได้ทีเดียว”“ชอบทดลองยากับผู้อื่นก็สมควรโดนแล้ว ว่าแต่ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เห็นว่ากำลังจะถูกบังคับให้แต่งงานเจ้าค่ะ”“แต่งกับสตรีที่ฝากรอยข่วนไว้บนหน้าของเขาน่ะหรือ?” หลี่จินหมิงนึกได้ว่าลืมเล่าภรรยาจึงรีบชี้แจงโดยเร็ว“วันที่เราแต่งงานกัน เขาแวะมาแสดงความยินดีแล้วก็รีบกลับ ข้า
หนึ่งปีผ่านไป...เสียงอ้อแอ้ของทารกน้อยวัยห้าเดือนทำให้หลี่จินหมิงอดหัวเราะไม่ได้ บุตรชายของเขาเลี้ยงง่ายที่สุด แทบไม่เคยร้องไห้ให้บิดาหรือมารดาต้องเหนื่อยปลอบใจ ต่างจากบุตรสาวที่ส่งเสียงร้องบ่อยกว่ามาก แต่อุ้มไม่นานก็หลับไป นิสัยคล้ายคลึงกับมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยนหลี่จินหมิงมองภรรยาที่เอนตัวพักหลังในช่วงบ่ายด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พลางนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนที่เขาต้องง้อนางอยู่เกือบเดือน พอเข้าใจกันดีกลับมีอีกเรื่องที่ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นคือเรื่องที่ภรรยาตั้งครรภ์ แต่กระนั้นนางก็หมั่นปลอบใจเขาจนคลายความวิตก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องได้อย่างฉลาด ว่าคนที่อาการน่ากังวลกว่ามากก็คือตัวเขาที่ปวดศีรษะเป็นประจำยามนั้นหมอหลวงสกุลหวงงานเข้าจนแทบไม่ได้พักผ่อน สามีของเฟยฮวาอาการบาดเจ็บกำเริบจากการฝืนเดินทางจึงต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากทำความสะอาดบาดแผลในช่วงเช้า หวงซิงซวี่ก็ต้องมาตรวจดูเขาอย่างละเอียดว่าป่วยเป็นโรคอันใด ยังมีเรื่องที่ต้องเดินทางตรวจคนไข้ประจำ รวมทั้งต้องเตรียมตัวเดินทางไปยังนอกเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาด เสวียนหนิงอันจึงเสนอแกมบังคับว่าให
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่จินหมิงพักผ่อนไม่ดีมาหลายวัน ได้หลับสนิทนาน ๆ จึงรู้สึกว่าตนมีกำลังวังชาขึ้นมาก “ยาของหวงซิงซวี่ได้ผลดีเกินคาดจริง ๆ”“อย่าพูดจาเหลวไหลสิเจ้าคะ ยาของเขาอันตรายที่สุด เชื่อถือไม่ได้สักนิด เขาพูดว่าท่านควรได้สติภายในหกชั่วยาม แต่ท่านกลับหลับนานจนข้ากังวล เสียงดังอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้น เขย่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกตัว ข้าตกใจมากเลยนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันตัดพ้อพลางเช็ดน้ำตาแรง ๆ“คงเป็นเพราะกินยาเกินกว่าที่เขาสั่งไว้กระมัง”หลี่จินหมิงไม่คิดว่าตัวยาจะมีฤทธิ์แรงจึงกินไปสองเม็ดในคราวเดียว “หนิงเอ๋อร์ พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้ากังวล แต่ที่ผ่านมาพี่พยายามดูแลตนเองอย่างที่ให้คำสัญญาไว้กับเจ้า เพื่อที่จะได้อยู่ดูแลเจ้าไปนาน ๆ ใช่อยู่ว่าสามวันแรกที่เข้าใจว่าสูญเสียเจ้านั้นพี่ผิดคำพูดไปบ้าง กินเพียงกับแกล้ม ดื่มแค่สุรา แต่พอตั้งสติได้ก็รีบกลับมารักษาสุขภาพ ไม่เลือกกินอาหาร เดินออกกำลังในบ้านวนไปวนมาทุกวัน เพิ่งจะบังคับตนเองให้นอนไม่ได้ก็ราวเจ็ดวันที่ผ่านมานี้เอง”“เพิ่งจะนอนไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันถามอย่างมิเข้าใจนัก“เรื่องการนอนก็ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างจริง ๆ พอไม่ได้ฟังคำข
สาวงามที่ถูกเรียกถึงกับส่ายหน้า นับวันเจียอียิ่งโตยิ่งเอาแต่ใจ บางครั้งก็พูดยากจนน่าตี เช่นบอกให้เรียกว่าคุณหนูเสวียนก็ไม่ยอมเรียก ทั้ง ๆ ที่ตักเตือนหลายหนแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนเล็กในบ้านสกุลหลี่ ควรระมัดระวังกิริยาให้มาก แต่นางก็ยังไม่ยอมรับฟัง ทั้งยังไม่ปรับปรุงตัว มาวันนี้คงต้องดุมากสักหน่อยจะได้รู้ความเสียบ้าง ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำกันแน่ทว่าเสวียนหนิงอันยังมิทันได้สั่งสอนอย่างที่ตั้งใจไว้ สาวใช้คนโปรดก็รีบรายงานเรื่องสำคัญที่ทำให้นางถึงกับต้องเสียกิริยา“นายท่านหมดสติไปตั้งแต่เมื่อวาน ผ่านมาสิบสองชั่วยามแล้วยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!”เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากจวนของบิดาทันที!เสียงตวาดดังลั่นทำให้หวงซิงซวี่สะดุ้งสุดตัว แต่กระนั้นก็ยังไม่น่ากลัวเท่ายามที่เห็นน้องสาวคนงามถลาร่างเข้ามายืนข้าง ๆ บุรุษที่ยังไม่ได้สติ บนใบหน้างามเผยความเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดปัง“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง!” เสวียนหนิงอันเขย่าแขนสามีแรง ๆ ทว่าเขายังคงนอนนิ่งเฉยดังเดิม “ท่านทำอันใดกับเขา บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้!”“หนิงเอ๋อร์ใจเย็นก่อน...”“ท่านจะพูดหรือไม่!” เสวียนหนิงอันเดินเร็ว ๆ ไปยังหวงซิงซวี่ สองตาจ้อง
ยามพ่อบ้านหวังอู่แจ้งว่ามีแขกขอพบ เสวียนหนิงอันฟังแล้วไม่ใส่ใจ คิดไปว่าเป็นเล่ห์กลของสามีที่ต้องการวางแผนให้นางใจอ่อน แต่พอได้ยินชัด ๆ ว่าคนที่มาคือสตรีตั้งครรภ์นามว่าเฟยฮวากับสามี เสวียนหนิงอันก็พลันนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เลือดลมในร่างกายแปรปรวน โทสะร้อนพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเดิม“นางอายุครรภ์ไม่น้อยแล้ว แต่เขากลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้พบข้า! ต่อให้ไม่อยากพบหน้าก็คงต้องพบ พูดคุยให้รู้เรื่องว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ!”เสวียนหนิงอันให้สาวใช้เชิญเฟยฮวาและสามีใจร้ายไปพบกันที่สวน หลายวันมานี้อาการของนางดีขึ้นมากเพราะยอมรับกับตนเองแล้วว่าบางอย่างตัดออกจากชีวิตไปก็ใช่ว่าจะให้ผลดี สวนสวยใกล้เรือนนางในยามนี้จึงมีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวน เชิญชวนให้คนที่ผ่านทางไปมาอารมณ์ดีนางเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังร่างอวบอ้วนที่ยืนรออยู่ในศาลา ระหว่างนั้นก็เตรียมถ้อยคำเสียดสีเอาไว้มอบให้กับบุรุษที่นั่งอยู่ด้วย แต่พอเดินไปใกล้ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งผินหน้าชมดอกไม้โดยรอบ มิใช่บุรุษที่นางคะนึงหาแต่อย่างใดเขาคนนั้นร่างกายผ่ายผอมราวกับคนป่วยหนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนงามที่มองแล้วละสายตา







