LOGINยามอยู่ตำหนักเยว่ฉีเสวียนหนิงอันชอบทำอาหารอย่างมาก ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนชมว่ารสชาติดีกว่าโรงเตี๊ยมชื่อดัง แม้กระทั่งขนมนางก็ยังทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนบิดาต้องขอร้องว่าให้เลิกเข้าครัวเพราะกลัวว่ารูปร่างของตนจะไม่งดงาม กลัวว่าพระชายาเสวียนจะไม่รัก
‘ท่านพี่จะอ้วนหรือผอม ซือชิงก็รักเจ้าค่ะ’
‘เรื่องนั้นทราบแล้ว แต่พี่อยากดูดีในสายตาเจ้า…’
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางแสดงความรักต่อพระชายาอย่างไม่ปิดบัง หลายครั้งกอดและหอมอย่างไม่เกรงใจ เพิ่งลดลงก็ตอนที่เสวียนหนิงอันเติบโตเป็นสาวน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีหลุดพูดจาหยอกเย้าให้ท่านแม่แก้มแดงอยู่เรื่อย ๆ
แรก ๆ เสวียนหนิงอันก็เบื่อหน่ายอยู่บ้างที่ไม่ได้ทำอาหาร แต่หลังจากรับหน้าที่ดูแลร้านค้าเต็มตัว นางก็ยุ่งวุ่นวายจนลืมการเข้าครัว แต่นาน ๆ ครั้งก็ยังต้องแสดงฝีมือ เอาใจบิดาที่ขุ่นเคืองนางให้อารมณ์ดี หรือไม่ก็ยามที่น้องชายตัวน้อยเฉินหรานโอดครวญว่าอยากกินขนม โดยไม่ลืมกระซิบว่าอย่าลืมชงชาดอกโมลี่ฮวา[1]ให้ท่านแม่ด้วย
ยามซุนหยาชวนเข้าครัว นางที่คิดถึงครอบครัวอย่างมากจึงไม่ปฏิเสธ
เสวียนหนิงอันมีความสุขจนลืมปัญหากวนใจ ไม่นึกถึงบุรุษที่ทำให้ตนเองต้องเสียน้ำตาอีก นางทักทายพ่อครัวอย่างสุภาพ บอกไปตามตรงว่าตนชอบทำอาหารและขอรบกวนใช้พื้นที่ในครัวสักหน่อย
พ่อครัวติงหรง มักทำหน้าตาบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ หลายครั้งโบกมือไล่เจียอีที่บ่นเรื่องรสชาติของอาหาร แต่กับฮูหยินน้อยที่มีใบหน้างดงามดั่งสวรรค์บรรจงสร้าง กิริยามารยาทน่าชื่นชมแล้ว เขาไม่เพียงไม่ทำหน้าบึ้ง ทว่าผายมือเชิญนางอย่างยินดี
‘รบกวนท่านพ่อครัวติงหรงแล้ว’
เสวียนหนิงอันทำตามคำสั่งสอนของมารดา เคร่งครัดเรื่องการให้เกียรติคนให้มาก แสดงความเกรงใจให้มากยิ่งกว่า นางเอ่ยเรียกชื่อของติงหรงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน กล่าวว่าหากสะดวกยามใดก็ขออนุญาตใช้ครัวด้วย การที่นางมิเอ่ยเรียกเขาว่าพ่อครัวใบ้เช่นผู้อื่น ทำให้นางได้ครอบครองโรงครัวในชั่วจิบน้ำชา
บางเรื่องก็แก้ไขได้ง่ายดายเช่นนี้เอง
เสวียนหนิงอันมักเข้าครัวในปลายยามเซิน พูดคุยกับพ่อครัววัยห้าสิบห้าปีที่ฟังทุกอย่างเข้าใจแต่พูดไม่ได้ ขอเตรียมอาหารสองสามอย่าง โดยไม่ลืมแบ่งให้ทุกคนได้ลองชิมด้วย
พ่อครัวติงหรงเดิมทีก็เป็นคนมีความสามารถ ได้ชิมเพียงสองสามคำก็เข้าใจว่าฮูหยินน้อยชอบอาหารรสชาติเช่นใด
เมื่อเขาทำอาหารรสชาติที่ฮูหยินน้อยชื่นชอบได้แล้ว นางจึงแยกไปทำขนมอีกฝั่งหนึ่งของโรงครัวที่เปิดโล่ง นึกไม่ถึงว่าจะมีลมพัดแรงจนทำให้สะเก็ดไฟจากถ่านที่กำลังปะทุกระเด็นใส่นาง
“ฮูหยินน้อยยังแสบร้อนอยู่หรือไม่เจ้าคะ” ซุนหยาถามอย่างกังวล ขณะเทน้ำผ่านแผลเล็ก ๆ บนต้นแขนเรียว
สะเก็ดไฟทะลุอาภรณ์ของฮูหยินน้อยจนเป็นรู ต้องถกแขนเสื้อกันพัลวัน ส่วนพ่อครัวติงหรงก็รู้ความดียิ่ง รีบถอยให้พ้นระยะสายตา ยืนทำหน้าสำนึกผิดอยู่ไม่ไกลนัก
“บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากผิวของฮูหยินน้อยมีแผลเป็น…”
“ข้ามีขี้ผึ้งรักษาแผลชั้นดี พี่อวิ๋นฝู… พี่ชายข้ามอบให้เมื่อปีก่อน เป็นแผลอันใดก็หายขาดได้ไม่ทิ้งร่องรอย ท่านป้าจึงไม่ต้องกังวล” เสวียนหนิงอันแสบแผลอย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังพยายามกัดฟันทนไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็น นางยิ้มกว้างให้กับซุนหยาและมองไปยังทิศทางที่เจียอีเดินจากไปได้สักพักแล้ว
ปรากฏว่ามิใช่เจียอีที่เดินกึ่งวิ่งตรงเข้ามา ทว่าเป็นหลี่จินหมิง บุรุษที่นางไม่อยากพบหน้าอย่างที่สุด
“หนิงเอ๋อร์! เจ้าเจ็บที่ใด!”
“ท่านอา!” เสวียนหนิงอันรีบดึงแขนเสื้อลง นิ่วหน้าเล็กน้อยยามมือเรียวปัดถูกแผลเล็ก ๆ บนต้นแขนของตนเอง
หลี่จินหมิงเห็นเช่นนั้นก็ดุนางทันที “เหตุใดจึงปล่อยแขนเสื้อลง ไม่กลัวเจ็บแล้วหรือ!”
“ข้ามีทางเลือกด้วยหรือเจ้าคะ หากไม่ปิดบังร่างกายให้เรียบร้อย ท่านอาจะมิกล่าวหาว่าข้ามากมารยา ใช้เสน่ห์ล่อลวงหรือเจ้าคะ”
“เด็กดื้อ! ไม่ต้องพูดแล้ว!” หลี่จินหมิงสอดแขนอุ้มสาวงามท่ามกลางเสียงกรีดร้องของซุนหยาและเจียอีที่เพิ่งตามมาถึง ทว่าเสวียนหนิงอันกลับไม่ส่งเสียงเลยสักคำ
นางกำเสื้อของเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก ดวงตากลมโตปิดสนิท ทว่าขนตาเป็นแพหนายังขยับน้อย ๆ คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มบางและเริ่มหอบหายใจแรง
หลี่จินหมิงทราบในทันทีว่าเด็กดื้อของเขากำลังตกใจ
“ไม่ต้องกลัว อาเคยปล่อยให้เจ้าตกสักครั้งหรือ?”
หลี่จินหมิงจำได้ว่าเจ้าตัวเล็กในวัยเด็กซุกซนอย่างมาก นางเคยแอบปีนต้นไม้ในสวนและลงมาเองไม่ได้ กว่าสาวใช้จะเจอก็ผ่านไปเกือบสองเค่อ หลังจากนั้นนางจึงกลัวความสูงมาโดยตลอด
“ไม่… ไม่เคยเจ้าค่ะ”
“อีกอย่างความสูงเพียงเท่านี้ ตกลงไปก็ไม่เจ็บหรอก”
หลี่จินหมิงก้าวขายาว ๆ เขาทราบแล้วว่าแผลของนางอยู่บนไหล่เนียนใต้ร่มผ้า จึงควรหาสถานที่ที่มิดชิดเพื่อทำความสะอาดแล้วค่อยทายา ทว่าเรือนของนางอยู่ไกลเกินไป
“ท่านอา เรือนข้าไปทางนั้น”
“ไกลเกินไป…”
หลี่จินหมิงกระชับร่างบางในอ้อมแขนแน่น ก่อนเดินตรงไปยังเรือนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านสกุลหลี่
เสวียนหนิงอันขอให้เขาปล่อยนางถึงสามครั้งสามครา ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่มีหนังไม่มีหน้า[2] เขาไม่สนใจคำกระซิบกระซาบของเหล่าสาวใช้ กระทั่งพ่อครัวมาใหม่อย่างติงหรงก็มิได้อยู่ในสายตา นางจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ จนกระทั่งถูกวางบนตั่งไม้ในห้องหนังสือแล้วก็ยังไม่เอ่ยอันใดออกไป
คนประเภทนี้เถียงด้วยก็ไม่ชนะ เอาความจริงใจเข้าแลกเปลี่ยนก็ไม่ชนะ แม้ถอดใจไม่อยากพบหน้าแล้ว นางก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงเขาได้อยู่ดี
“รออยู่ตรงนี้ก่อน” หลี่จินหมิงรับกล่องยาจากเจียอีที่เดินตามมาไม่ห่าง ก่อนปิดประตูลงกลอน ป้องกันมิให้ผู้ใดเข้ามารบกวนขณะทำธุระสำคัญ
“เจ็บมากหรือไม่” เขาถามขณะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ มือใหญ่เปิดกล่องสำรวจดูว่ามียาอันใดใช้การได้บ้าง
“หากพูดว่าไม่เจ็บ ท่านอาจะยอมปล่อยข้ากลับเรือนหรือไม่”
“ไม่ปล่อย ต้องทายาให้เรียบร้อยเสียก่อน”
“แผลของข้าอยู่บริเวณต้นแขน ควรเรียกเจียอีเข้ามาช่วย…”
“แต่ข้ามือเบากว่ามาก หรือว่าหนิงเอ๋อร์…จำไม่ได้แล้ว”
หลี่จินหมิงทราบดีว่าคนเจ็บมักดื้อรั้น ยิ่งคนที่เจ็บคือบุตรสาวของตวนอ๋องเฉินฟาหยางที่ไม่เคยมีผู้ใดขัดใจได้ด้วยแล้ว ความดื้อรั้นก็น่าจะอยู่ในระดับที่รับมือยาก นึกไม่ถึงว่านางจะทำเพียงผินหน้ามองไปทางอื่น ก่อนค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างช้า ๆ แต่กระนั้นเนื้อผ้าก็ยังเสียดสีกับแผลจนนางเผลอสูดปากออกมาเบา ๆ
“แผลเล็กมาก แต่ไม่แน่ใจว่าลึกหรือไม่”
“ขี้ผึ้งอยู่ในตลับทองเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันยังคงไม่หันมามองหน้าคนใจร้าย “ทายาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะได้กลับเรือนเสียที”
“เช่นนั้นก็ทนเจ็บสักนิดเถิด”
หลี่จินหมิงปลอบใจสาวงาม ก่อนใช้นิ้วเรียวปาดขี้ผึ้งจากตลับทองและป้ายบนแผลพุพองที่ถูกสะเก็ดไฟอย่างเบามือ แต่กระนั้นนางก็ยังสะดุ้งอยู่ดี
เรือนร่างบอบบางไหวสะท้านเพราะขี้ผึ้งที่สัมผัสกับผิวนั้นให้ความรู้สึกเย็นจัดราวกับน้ำแข็ง มือเรียวที่รั้งเสื้อให้อยู่เหนือแผลกระตุกเล็กน้อย นางอยากหันไปตัดพ้อต่อว่าเขาสักหลายประโยค ทว่าลมอุ่นร้อนที่เป่าลงมาบนต้นแขนกลับทำให้นางพูดอันใดไม่ออก
ใกล้... ใกล้มากเกินไปแล้ว
“ขี้ผึ้งที่มีฤทธิ์เย็นขนาดนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าไปได้มาจากที่ใดหรือ” หลี่จินหมิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลังจากเป่าแผลของนาง ทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระรัว
“ไม่จริงจัง? แต่เจ้าก็บอกว่าชอบมิใช่หรือ” หลี่จินหมิงเห็นนางเอียงอายเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกว่าอยากดื่มสุราหรือกินกับแกล้มแล้วอยากกินภรรยามากกว่า…“พอถูไถไปได้ แต่ก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน”“ลืมไปได้อย่างไรว่าภรรยาของพี่ยังสาวและร้อนแรง… วันนี้คงต้องดูแลเจ้าเต็มที่ ให้สมกับที่ละเลยมานานสักหน่อยแล้ว” หลี่จินหมิงมอบจูบวาบหวามให้กับภรรยาที่น่ารักไม่แปรเปลี่ยน มือใหญ่ลูบไล้บั้นท้ายจนนางต้องร้องห้ามเสียงสั่น“ท่านพี่ทำงานหนัก กลับมาบ้านยังช่วยดูแลลูก ๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก บางอย่างบางเรื่องยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้เจ้าค่ะ”“ร้างรามาเป็นปี กำลังวังชาพี่มีอยู่ล้นเหลือ หนิงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อย” หลี่จินหมิงเห็นนางยิ้มเจื่อนราวกับกำลังหาทางหลีกเลี่ยงจึงรีบสอบถามให้เข้าใจ “ยามอยู่เรือนใหญ่เจ้าอ้างว่ากลัวลูกตื่นกลางดึก วันใดที่พี่อยู่บ้านเจ้าก็อ้างว่าไม่ไว้ใจแม่นม ยามนี้ได้คนคุ้นหน้ากันมาช่วยเหลือดูแล หนิงเอ๋อร์คิดอ้างอันใดอีก… หรือว่าเจ้ารังเกียจสามีชราเช่นพี่เสียแล้ว”“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ! ข้าแค่… แค่ไม่มั่นใจ”“ไม่มั่นใจ?” หลี่จินหมิงงุนงงจนกระทั่งนางนำมือเขาไปวางบนท้อง แต่แค่ครู่เดียวก็ไม่ให้
เสวียนหนิงอันกอดแขนสามีเดินออกจากเรือนใหญ่ที่ย้ายมาอยู่หลังแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ตัวเรือนปีกซ้ายถูกขยับขยายกว้างขวาง ส่วนฝั่งห้องเก็บของซึ่งเคยเป็นที่พำนักของจ้าวฮูหยินยังคงอยู่ตามเดิมเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ล่วงลับ โดยมีซุนหยาคอยดูแล“ไม่มีเรื่องอันใดมาก แค่ขันเรื่องที่ผ่านมาก็เท่านั้น” หลี่จินหมิงหอมแก้มภรรยาแผ่วเบา “นึกถึงวันที่เจ้าให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งทั้งสองด้วย”หวงซิงซวี่เก่งอย่างที่อวดอ้างจริง ๆ เขาจำได้ว่าภรรยาร้องเจ็บได้เพียงหนึ่งเค่อ ทารกแฝดก็ออกมาทักทายมารดา ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากทีเดียว“วันนั้นเจ้าคงเจ็บมาก”“เจ็บจริงเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่นัก” เสวียนหนิงอันยิ้มให้กับสามี “สงสารก็แต่พี่ซิงซวี่ เขาถูกท่านพ่อกับท่านพี่ร่วมมือกันกดดันนานกว่าเจ็ดเดือน หน้าตาทนมองไม่ได้ทีเดียว”“ชอบทดลองยากับผู้อื่นก็สมควรโดนแล้ว ว่าแต่ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เห็นว่ากำลังจะถูกบังคับให้แต่งงานเจ้าค่ะ”“แต่งกับสตรีที่ฝากรอยข่วนไว้บนหน้าของเขาน่ะหรือ?” หลี่จินหมิงนึกได้ว่าลืมเล่าภรรยาจึงรีบชี้แจงโดยเร็ว“วันที่เราแต่งงานกัน เขาแวะมาแสดงความยินดีแล้วก็รีบกลับ ข้า
หนึ่งปีผ่านไป...เสียงอ้อแอ้ของทารกน้อยวัยห้าเดือนทำให้หลี่จินหมิงอดหัวเราะไม่ได้ บุตรชายของเขาเลี้ยงง่ายที่สุด แทบไม่เคยร้องไห้ให้บิดาหรือมารดาต้องเหนื่อยปลอบใจ ต่างจากบุตรสาวที่ส่งเสียงร้องบ่อยกว่ามาก แต่อุ้มไม่นานก็หลับไป นิสัยคล้ายคลึงกับมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยนหลี่จินหมิงมองภรรยาที่เอนตัวพักหลังในช่วงบ่ายด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พลางนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนที่เขาต้องง้อนางอยู่เกือบเดือน พอเข้าใจกันดีกลับมีอีกเรื่องที่ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นคือเรื่องที่ภรรยาตั้งครรภ์ แต่กระนั้นนางก็หมั่นปลอบใจเขาจนคลายความวิตก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องได้อย่างฉลาด ว่าคนที่อาการน่ากังวลกว่ามากก็คือตัวเขาที่ปวดศีรษะเป็นประจำยามนั้นหมอหลวงสกุลหวงงานเข้าจนแทบไม่ได้พักผ่อน สามีของเฟยฮวาอาการบาดเจ็บกำเริบจากการฝืนเดินทางจึงต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากทำความสะอาดบาดแผลในช่วงเช้า หวงซิงซวี่ก็ต้องมาตรวจดูเขาอย่างละเอียดว่าป่วยเป็นโรคอันใด ยังมีเรื่องที่ต้องเดินทางตรวจคนไข้ประจำ รวมทั้งต้องเตรียมตัวเดินทางไปยังนอกเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาด เสวียนหนิงอันจึงเสนอแกมบังคับว่าให
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่จินหมิงพักผ่อนไม่ดีมาหลายวัน ได้หลับสนิทนาน ๆ จึงรู้สึกว่าตนมีกำลังวังชาขึ้นมาก “ยาของหวงซิงซวี่ได้ผลดีเกินคาดจริง ๆ”“อย่าพูดจาเหลวไหลสิเจ้าคะ ยาของเขาอันตรายที่สุด เชื่อถือไม่ได้สักนิด เขาพูดว่าท่านควรได้สติภายในหกชั่วยาม แต่ท่านกลับหลับนานจนข้ากังวล เสียงดังอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้น เขย่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกตัว ข้าตกใจมากเลยนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันตัดพ้อพลางเช็ดน้ำตาแรง ๆ“คงเป็นเพราะกินยาเกินกว่าที่เขาสั่งไว้กระมัง”หลี่จินหมิงไม่คิดว่าตัวยาจะมีฤทธิ์แรงจึงกินไปสองเม็ดในคราวเดียว “หนิงเอ๋อร์ พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้ากังวล แต่ที่ผ่านมาพี่พยายามดูแลตนเองอย่างที่ให้คำสัญญาไว้กับเจ้า เพื่อที่จะได้อยู่ดูแลเจ้าไปนาน ๆ ใช่อยู่ว่าสามวันแรกที่เข้าใจว่าสูญเสียเจ้านั้นพี่ผิดคำพูดไปบ้าง กินเพียงกับแกล้ม ดื่มแค่สุรา แต่พอตั้งสติได้ก็รีบกลับมารักษาสุขภาพ ไม่เลือกกินอาหาร เดินออกกำลังในบ้านวนไปวนมาทุกวัน เพิ่งจะบังคับตนเองให้นอนไม่ได้ก็ราวเจ็ดวันที่ผ่านมานี้เอง”“เพิ่งจะนอนไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันถามอย่างมิเข้าใจนัก“เรื่องการนอนก็ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างจริง ๆ พอไม่ได้ฟังคำข
สาวงามที่ถูกเรียกถึงกับส่ายหน้า นับวันเจียอียิ่งโตยิ่งเอาแต่ใจ บางครั้งก็พูดยากจนน่าตี เช่นบอกให้เรียกว่าคุณหนูเสวียนก็ไม่ยอมเรียก ทั้ง ๆ ที่ตักเตือนหลายหนแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนเล็กในบ้านสกุลหลี่ ควรระมัดระวังกิริยาให้มาก แต่นางก็ยังไม่ยอมรับฟัง ทั้งยังไม่ปรับปรุงตัว มาวันนี้คงต้องดุมากสักหน่อยจะได้รู้ความเสียบ้าง ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำกันแน่ทว่าเสวียนหนิงอันยังมิทันได้สั่งสอนอย่างที่ตั้งใจไว้ สาวใช้คนโปรดก็รีบรายงานเรื่องสำคัญที่ทำให้นางถึงกับต้องเสียกิริยา“นายท่านหมดสติไปตั้งแต่เมื่อวาน ผ่านมาสิบสองชั่วยามแล้วยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!”เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากจวนของบิดาทันที!เสียงตวาดดังลั่นทำให้หวงซิงซวี่สะดุ้งสุดตัว แต่กระนั้นก็ยังไม่น่ากลัวเท่ายามที่เห็นน้องสาวคนงามถลาร่างเข้ามายืนข้าง ๆ บุรุษที่ยังไม่ได้สติ บนใบหน้างามเผยความเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดปัง“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง!” เสวียนหนิงอันเขย่าแขนสามีแรง ๆ ทว่าเขายังคงนอนนิ่งเฉยดังเดิม “ท่านทำอันใดกับเขา บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้!”“หนิงเอ๋อร์ใจเย็นก่อน...”“ท่านจะพูดหรือไม่!” เสวียนหนิงอันเดินเร็ว ๆ ไปยังหวงซิงซวี่ สองตาจ้อง
ยามพ่อบ้านหวังอู่แจ้งว่ามีแขกขอพบ เสวียนหนิงอันฟังแล้วไม่ใส่ใจ คิดไปว่าเป็นเล่ห์กลของสามีที่ต้องการวางแผนให้นางใจอ่อน แต่พอได้ยินชัด ๆ ว่าคนที่มาคือสตรีตั้งครรภ์นามว่าเฟยฮวากับสามี เสวียนหนิงอันก็พลันนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เลือดลมในร่างกายแปรปรวน โทสะร้อนพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเดิม“นางอายุครรภ์ไม่น้อยแล้ว แต่เขากลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้พบข้า! ต่อให้ไม่อยากพบหน้าก็คงต้องพบ พูดคุยให้รู้เรื่องว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ!”เสวียนหนิงอันให้สาวใช้เชิญเฟยฮวาและสามีใจร้ายไปพบกันที่สวน หลายวันมานี้อาการของนางดีขึ้นมากเพราะยอมรับกับตนเองแล้วว่าบางอย่างตัดออกจากชีวิตไปก็ใช่ว่าจะให้ผลดี สวนสวยใกล้เรือนนางในยามนี้จึงมีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวน เชิญชวนให้คนที่ผ่านทางไปมาอารมณ์ดีนางเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังร่างอวบอ้วนที่ยืนรออยู่ในศาลา ระหว่างนั้นก็เตรียมถ้อยคำเสียดสีเอาไว้มอบให้กับบุรุษที่นั่งอยู่ด้วย แต่พอเดินไปใกล้ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งผินหน้าชมดอกไม้โดยรอบ มิใช่บุรุษที่นางคะนึงหาแต่อย่างใดเขาคนนั้นร่างกายผ่ายผอมราวกับคนป่วยหนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนงามที่มองแล้วละสายตา







